บุกแดนฝัน-5

    ตอนที่ 5 ใคร?
    “มีเรื่องฉุกเฉินอะไร...ใครเป็นคนส่งสัญญาณนี้” ลูสหัวหน้าแพทย์ถามด้วยความไม่สบายใจ เขาไม่อยากให้โรงพยาบาลแห่งนี้วุ่นวายมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แค่นี้ก็นับว่าเป็นเรื่องวุ่นที่สุดในรอบสิบสามปีมาแล้ว ผมบนศีรษะเถิกๆที่เคยมีสีเทาแซมอยู่บ้างกลับจางหายลงอย่างรวดเร็ว

    “ข้าเป็นคนสั่งให้สัญญาณนี้เอง” ฟาเรดาเอ่ยขึ้น
    “เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรรึท่าน”
    “มีคนสับเปลี่ยนยาข้า ยาที่ข้าปรุงขึ้นเพื่อใช้รักษาพวกเด็กๆ มันผู้นั้นจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในชั้นนี้และข้าขอสั่งตรวจสอบทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ไม่ว่าจะเป็นหมอ นางพยาบาล เจ้าหน้าที่ บุคคลมาเยี่ยมหรือแม้แต่ผู้ป่วยในชั้นนี้” ชายชราสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
    นับเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงกิริยาแบบนี้ออกมาต่อหน้าฝูงชน
    เนื่องจากความกดดันบวกกับเวลาอันกระชั้นชิดในการรรักษาชีวิตน้อยๆห้าสิบกว่าชีวิตให้รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราช และดูเหมือนว่ามัจจุราชตนนี้จะไม่มีวันแพ้ง่ายๆ

    การตรวจหาคนร้ายเป็นไปอย่างรวดเร็วและรอบครอบ มีการตรวจตราบุคคลทุกคน (แม้แต่ฟาเรดาและลูสก็ไม่มีข้อยกเว้น)
    รวมไปถึงญาติที่มาเยี่ยมผู้ป่วยทั้งชาวแดนฝันและญาติของเด็กที่ป่วยบางคนที่เป็นคนในดินแดนนี้  หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยเองก็มีการถูกตรวจจะยกเว้นก็เพียงแต่ห้องฉุกเฉินที่ยังคงปิดประตูเงียบไม่ต้อนรับผู้ใด

    ผลการตรวจค้นดูจะไม่ใช่สิ่งที่แปลกนักถ้าจะหาร่องรอยคนร้ายไม่พบ
    “ท่านจะทำต่อไปอย่างไรท่านฟาเรดา” หัวหน้าแพทย์กล่าวในที่ประชุมหลังจากการตรวจค้นเสร็จสิ้นลง
    “ขอบอกตามตรงว่า ยาทั้งหมดที่ได้ปรุงขึ้นถูกขโมยไป และข้าก็ไม่สามารถปรุงมันขึ้นมาได้อีกภายในวันสองวันนี้ เนื่องจากข้าไม่มีตัวยาสำคัญเหลือเพียงพอที่จะปรุงมันใหม่”

    ความเงียบและเย็นยะเยือกถูกปกคลุมไปทั่วทั้งห้องประชุม เป็นเวลาเกือบห้านาทีเต็มที่ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา
    “ท่านบอกตัวยาเหล่านั้นมาเถอะ แล้วพวกข้าจะจัดการหามาให้”
    “ไม่ใช่สิ่งง่ายเลยท่าน เพราะตัวยาสำคัญที่สุดคือน้ำค้างบริสุทธิ์ที่ได้จากทุ่งบุปผาในเทือกเขาทรงกรดทางใต้”
    “มันอยู่ไกลแค่ไหนข้าก็สามารถเดินทางไปถึงได้”
    “ข้ารู้ว่าระยะทางไม่ใช่ปัญหาแต่เวลานี่สิเป็นปัญหาสำคัญ เพราะน้ำค้างจะมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อเก็บมันในคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้นและข้าพึ่งไปเก็บมันมาเมื่อสามวันก่อนที่แล้ว”

    “หมายความว่าจะต้องรออีกเป็นเดือนงั้นรึ พวกเด็กๆคงไม่มีพลังมากพอที่จะอยู่ถึงเวลานั้น” เสียงใครคนหนึ่งในที่ประชุมเอ่ยแทรก
    “ตอนนี้ข้าทำได้ก็แต่เพียงให้ยาระงับอาการของโรคเพื่อชะลอมันลง
    ได้เท่านั้น”
    “นานแค่ไหนกัน?” เนริออลถาม
    “เด็กที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยก็ราวอาทิตย์นึ่ง ส่วนในห้องฉุกเฉินคงได้อีกเพียง 3 วันเท่านั้น!!”
    ความเงียบกลับมาเป็นเจ้าครองเรือนอีกครั้งหนึ่งและคราวนี้มันกลับติดตามมาด้วยเงาดำทะมึนของบุคคลใต้ผ้าคลุมสีดำ

    “ข้าขอเสนออะไรหน่อยเถอะท่าน” นาราฟาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ปิดปากเงียบนั่งฟังมานาน
    “เชิญเลยแม่สาว”
    “ข้าจำได้ว่าการวิเคราะห์โรคของท่านในเช้าวันนี้ ท่านกล่าวว่าโรคนี้มีลักษณะคล้ายการกระทำของใครบางคนมากกว่าที่จะเกิดขึ้นเอง”
    “ใช่...มันดูเหมือนเป็นการจงใจของการใช้...ข้าเรียกไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่ามันมีลักษณะคล้ายวิชามนต์ดำแขนงหนึ่งที่ดูดกลืนพลังชีวิตของเหยื่อเข้าไป นั่นคือสาเหตุที่ร่างกายของพวกเขาทรุดโทรมลงเรื่อยๆทั้งที่ได้รับอาหารและการ

    พักผ่อนเพียงพอ ซึ่งตัวยาของข้าจะสามารถขับไล่เจ้าสิ่งที่มันอยู่ในร่างกายของเด็กพวกนี้ออกไปได้”
    “นั่นสมควรเป็นวิธีที่ใช้ได้ผล แต่การขับไล่มนต์ร้ายออกก็ไม่ได้มีเพียงทางนี้ทางเดียวมิใช่หรือ” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บอกการตัดสินใจดีแล้ว
    “ท่านคงไม่ได้หมายถึงการเข้าไปสู่จิตใจของผู้ป่วยหรอกนะ!” ลูสถาม
    “ข้าหมายความเช่นนั้นท่านลูส”

    “แต่นั้นอาจเป็นการทำร้ายเจ้าของจิตใจได้ เพราะพวกท่านไม่สามารถล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในของแต่ละคนได้ มันละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ใครจะรับรู้ แม้แต่ข้าเองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้” ฟาเรดาแย้ง
    “แต่ข้าเห็นด้วย หรือท่านมีวิธีการที่ดีกว่านี้ ท่านสามารถหาตัวคนทำ
    มาได้ภายในสามวันนี้หรือเปล่า หรือปรุงยาได้อีก” เสียงของผู้ประชุมคนหนึ่งเอ่ย

    “แต่มันเสี่ยงเกินไป!” ใครคนหนึ่งทางหลังห้องแย้ง
    ไม่นานนักเสียงจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายระหว่างความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยซึ่งแต่ละฝ่ายก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เชื่อ
    “ข้าคิดว่าก่อนอื่นเราควรจะส่งเรื่องไปยังกระทรวงเพื่อขออนุมัติเสียก่อน คงต้องใช้เวลาอีกวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นค่อยกลับมาหาข้อสรุปกันก็ได้” หัวหน้าแพทย์เอ่ยขึ้นเพื่อไกล่เกลี่ย การประชุมจึงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างสงบ มีการพูดถึงเรื่องการหาตัวคนร้ายและปัญหาจิปาถะอีกเล็กน้อยก่อนเลิกประชุม

    พอลชวนเนริออลไปเยี่ยมเบลที่ห้องพักผู้ป่วย เมื่อไปถึงเด็กชายจึงเห็นแม่ของเบลกำลังเฝ้าลูกสาวอยู่ด้วยความเป็นห่วง
    “สวัสดีครับคุณป้า” พอลยกมือไหว้
    “จ๊ะ” นางตอบ
    แม้แม่ของเด็กสาวดูจะสงบนิ่งแต่พอลก็สามารถสัมผัสได้ดีถึงความทุกข์และความห่วงใยในอาการของบุตรสาวที่ไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเลย

    “คุณหมอบอกว่าอีกไม่นานเธอจะต้องหายแน่ๆ” เนริออลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อชวยคลายความกังวลใจให้กับผู้เป็นแม่
    “ขอบใจจ๊ะ ป้าเห็นทีคงต้องกลับไปดูแลร้านต่อแล้วขอตัวก่อนนะ”
    หลังจากมารดาของเด็กสาวจากไปได้ไม่นาน ฟาเรดาและหมอหลายคนก็เดินเข้ามาตรวจอาการคนไข้
    “อาการเริ่มชะลอตัวลงแล้วครับท่าน” หมอคนหนึ่งรายงานหลังจากที่ตรวจอาการเด็กที่ได้รับยาแล้ว”
    “มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย ข้าต้องการรักษาพวกเขาให้หายไม่ใช่เพียงเพื่อชะลอมันไว้เช่นนี้” ชายชราหันมาบ่นกับคนทั้งสอง

    “ท่านทำดีที่สุดแล้วท่านฟาเรดา เราทุกคนก็ไม่อยากให้มันเป็นเช่นนี้”
    เนริออลปลอบ
    “ขอโทษนะเด็กน้อยที่ข้าทำเหมือนคนไม่รักษาสัญญา” เขาหันมาพูดกับพอล
    เด็กชายไม่เคยคิดโกรธเคืองชายชราผู้นี้เลยแม้แต่น้อย พอลรู้ดีว่าเขาทุ่มเทความสามารถทั้งหมดให้กับงานนี้โดยเฉพาะ มันจึงควรเป็นสิ่งที่น่ายกย่องมากกว่าการโกรธเคือง
    “มันยังไม่หมดหวังนี่ครับ ผมเชื่อว่ายังไงเบลและคนอื่นๆก็ต้องหาย”
    “ข้าก็ภาวนาเช่นเดียวกับเจ้า” ฟาเรดาตอบก่อนเดินจากไป

    “ไหนพี่บอกว่าชั้นบนนี้ห้ามคนภายนอกเข้าไม่ใช่หรือครับ” พอลตั้งคำถามขณะที่ลงลิฟต์มาด้วยกัน
    “ไม่ได้ห้าม เพียงแต่คนธรรมดาไม่สามารถที่จะได้เห็นชั้นบนสุดของโรงพยาบาลนี้ต่างหาก”
    “แล้วแม่ของเบลกับ...”
    “มีคนช่วยพาเขาขึ้นมานะสิเพราะเราไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้เขามาเยี่ยมลูกของเขานี่น่า”
    “แล้วพวกเขาไม่งงแย่หรือครับ” พอลถาม เพราะวันแรกที่เด็กชายเข้ามาที่นี่  มันได้สร้างความประหลาดใจให้เขาไม่น้อยเลย

    “ไม่หรอก..พี่เคยบอกแล้วไงว่าพวกเขาไม่สามารถมองเห็นในสิ่งที่ชาวแดนฝันเห็นได้ ในสายตาพวกเขาก็จะเห็นเป็นเพียงห้องพักธรรมดาๆของผู้ป่วยกับวิธีการตรวจรักษาเช่นที่หมอทุกคนควรปฎิบัติ พูดง่ายๆก็คือมีเราคนเดียวเท่านั้นแหละที่ผิดปกติ” เนริออลหันมายิ้มให้กับเด็กชาย จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สามารถพิสูจน์หาสาเหตุของการเห็นของเด็กชายได้แต่ตัวชายหนุ่มเองก็ยินดีที่จะนับเด็กชายผู้นี้เข้าเป็นหนึ่งในชาวแดนฝันแม้สายเลือดของเขาจะไม่มีความเป็นชาวแดนฝันอยู่เลย
    “แล้วคนป่วยคนนั้นละครับเขาเป็นยังไงบ้างแล้ว” เด็กชายดึงความคิด
    ของเขากลับมาสู่ที่เดิม

    “อาการดีขึ้นแล้วแต่ยังคงรักษาตัวอยู่ในห้องฉุกเฉิน”
    “แปลว่ายังไม่ปลอดภัย”
    “ก็ประมาณนั้น” ชายหนุ่มตอบ

    คืนนี้เป็นคืนที่ยุ่งและวุ่นที่สุดในชีวิตของเขานับตั้งแต่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่เลยก็ว่าได้ทั้งๆที่ตัวเนริออลไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยแต่เขากลับต้องมาช่วยร่างหนังสือที่จะส่งไปยังกระทรวงแห่งฝันเพื่อขออนุมัติการล่วงละเมิดเข้าสู่จิตใจผู้อื่นโดยไม่ผ่านการยินยอมของผู้เป็นเจ้าของ แม้เนริออลจะเข้ามาช่วยด้วยความเต็มใจแต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็สร้างความเบื่อหน่ายไม่ใช่น้อยให้กับตัวชายหนุ่ม
    ผิดกับนาราฟาผู้เป็นน้องสาวที่เป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้

    “จุดนี้ใช้ไม่ได้พี่ใช้สำนวนที่เยิ่นเย้อไป เอาให้สั้นกว่านี้จะดีกว่า” เสียงหญิงสาวดังแจ้วๆมาตลอดเวลา
    “พี่ว่าส่งๆไปเถอะเอาแค่เนื้อหาสาระครบเขาก็พิจารณาแล้ว” เนริออลแนะ
    “ไม่ได้! ขืนทำอย่างนั้นได้รอเป็นอาทิตย์แน่นะสิ ถ้าเราไม่จัดการอะไรให้เรียบร้อยกะทัดรัดและส่งไปในแนวของเรื่องด่วนล่ะก็ไม่มีทางส่งกลับมาในวันพรุ่งนี้แน่” เธอตอบอย่างผู้ที่รู้จักหลักเกณฑ์เป็นอย่างดี
    “งั้นเราก็รับผิดชอบไปละกัน เดี๋ยวพี่เป็นคนนำสารไปให้เอง”

    “พี่ไปพักก่อนเถอะ” หญิงสาวบอกเสียงอ่อนเมื่อสังเกตถึงความเหนื่อยล้าของพี่ชาย
    “เสร็จเมื่อไหร่ก็มาตามพี่นะ” เนริออลตอบพร้อมกับเดินไปยังโซฟาตรงมุมห้องก่อนล้มตัวลงนอนและหลับสนิทภายในเวลาต่อมา
    “เป็นเวลาเกือบรุ่งสางกว่านาราฟาจะจัดการกับเอกสารทุกชิ้นให้เสร็จสมบูรณ์ได้ หญิงสาวจัดการบรรจุข้อมูลทั้งหมดลงในลูกแก้วสีนิลมันวาวขนาดเท่ากำปั้นก่อนจะวางมันลงอย่างเงียบกริบข้างตัวชายหนุ่ม

    รออีกสักแป๊บหนึ่งก็ได้....เธอบอกตัวเองในใจเมื่อเห็นพี่ชายยังคงหลับอยู่
    เนริออลตื่นขึ้นมาเมื่อตะวันเริ่มโผล่พ้นจากขอบฟ้า การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ความกระปรี้กระเปร่ากลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบออกเดินทางทันทีเขาจัดแจงเก็บลูกแก้วสีนิลซึ่งเป็นสาส์นสำคัญที่จะนำไปส่งในครั้งนี้อย่างมิดชิด ขณะที่กำลังเดินไปยังดาดฟ้าเสียงของใครคนหนึ่งก็เรียกเขาไว้

    “พี่จะไปไหนหรือครับ” พอลถามด้วยความสนใจ
    “ไปกระทรวงการฝันเอาเรื่องที่พูดกันเมื่อวานไปเสนอ”
    “พี่จะขี่เจ้าเปกาซัสสีทองตัวนั้นไปใช่ไหม ขอผมไปด้วยคนนะครับ” เด็กชายถามอย่างกระตือรือร้น เขาชอบนักละกับการขี่เจ้าสัตว์ในเทพนิยายบินไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล
    “พี่ไปธุระนะพอล” เขาเอ็ด แต่พอเห็นดวงตาละห้อยของเด็กชายแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้

    “แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนรึไง”เนริออลมีสีหน้าฉงน
    “วันนี้วันหยุดครับ ผมถึงมาที่นี่ได้แต่เช้าไง ให้ผมไปด้วยคนนะครับพี่” เด็กชายออดอ้อน
    ผลสุดท้ายเนริออลก็ไม่สามารถปฏิเสธเด็กชายได้เช่นเคย
    การเดินทางบนท้องฟ้าในครั้งนี้ออกจะสบายกว่าครั้งก่อนมากเนื่องจากยังเป็นเวลาเช้าอยู่ แสงอาทิตย์สีทองจึงส่องผ่านกลุ่มเมฆออกมาเพียงรำไรสร้างความอบอุ่นให้แก่บุคคลทั้งสองได้เป็นอย่างดี
    และที่สำคัญภาพทะเลเมฆสีทองเบื้องล่างที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาช่างดึงดูดความสนใจของเด็กชายให้จดจ่ออยู่กับภาพนั้น

    พอลไม่อาจคาดเดาได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดเมื่อเนริออลบังคับเจ้าสัตว์สี่เท้าสีทองร่อนลง ณ.บริเวณลานกว้างแห่งหนึ่ง
    สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่กลางใจเมืองเช่นที่เขาไปทุกๆครั้งเพราะมันถูกล้อมรอบด้วยหุบเขาสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณไม้นานาพันธุ์ ลานกว้างแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณสิบถึงสิบห้าเอเคอร์ได้
    (พอลคาดเดาไม่ถูกเพราะเขาไม่เก่งนักในเรื่องวิชาคำนวณ) มันถูกปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าและวัชพืชต่างๆ มีบึงใสขนาดใหญ่อยู่ทางด้านซ้ายมือและบริเวณกลางทุ่งกว้างแห่งนี้เองเป็นที่ตั้งของบ้านขนาดใหญ่

    มันเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ถูกปลูกขึ้นมาเป็นเวลานาน  ตัวบ้านทำมาจากไม้สนขนาดย่อมเรียงต่อกันเป็นกำแพงสี่ด้าน
    กระดังงาเหลืองสดเลื้อยขึ้นปกคลุมไปทั่วหลังคาเลยมาถึงบริเวณกำแพงบ้านด้านบน
    ข้างบ้านมีปาล์มสองต้นสูงชะลูดเลยหลังคาบ้านไปเกือบเมตรตั้งอยู่ บ้านนี้จึงตกอยู่ในวงล้อมของเสาแปดต้น

    เนริออลเดินนำไปยังบ้านหลังนั้นทันทีที่เท้าก้าวลงเหยียบพื้นได้ เขาลอดผ่านต้นปาล์มยักษ์ไปยังผนังด้านหนึ่ง พอลกวาดตามองไปทั่ว...จะเข้าไปได้อย่างไรกันในเมื่อมันไม่มีประตูทางเข้าหรือหน้าต่างสักบาน เด็กชายคิด

    ไม่ช้าเขาก็ได้รับคำตอบ เนริออลวางฝ่ามือขวาลงบนลำต้นปาล์มด้านขวาก่อนจะหยิบแท่งแก้วสีแดงสดกว้างครึ่งนิ้วยาวครึ่งฟุตออกมาจากลำต้นและเสียบมันลงไปในรูเล็กๆที่ผนังบ้านซึ่งถ้าไม่สังเกตดีๆก็ยากที่จะหาเจอ
    “ครืน” เสียงวัตถุใหญ่ๆเคลื่อนตัวอยู่ภายในบ้าน และผนังด้านหน้าของพวกเขาก็เปิดออก
    “เข้าไปข้างในกันเถอะ” เนริออลกล่าว

    จากคุณ : ไฟลี่ - [2 ส.ค. 45 18:23:13 A:210.203.184.40 X:]