บุกแดนฝัน-6

    ตอนที่ 6 เมือง
    พอลอยู่ที่สวนเลี้ยงสัตว์แห่งนี้เป็นเวลานานพอควร  เด็กชายอดคิดถึงคนทางบ้านไม่ได้  พ่อกับแม่คงสงสัยกันใหญ่แล้วที่อยู่ๆพอลก็ออกจากบ้านไปแต่เช้าโดยไม่บอกกล่าว  ช่างเถอะน่า  อย่ามัวคิดให้ปวดหัวตุ๊บๆเลย  เดี๋ยวจะไปเที่ยวไม่สนุกเปล่าๆ....พอรำพึงกับตัวเอง

    อย่างไรก็ตามพอลรู้สึกตนเองได้กำไรอย่างมหาศาลกับการมาที่สวนเลี้ยงสัตว์แห่งนี้ เขาได้เห็นโลกใบใหม่ที่แตกต่างไปจากโลกใบเดิมที่เคยอยู่
    ได้เห็นสัตว์ในเทพนิยายดังที่เคยฝันมาแต่เด็ก และที่สำคัญของฝากจากสวนเลี้ยงสัตว์แห่งนี้ถูกใจเขาไม่น้อย

    “ตัวอะไรเหรอฮะ?” พอลหันไปถามชายหนุ่มชาวแดนฝัน พลางก้มลงมองไข่ที่ฟอนแถมมาให้ในมือด้วยความสงสัย เจ้าไข่ใบนี้มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าไข่นกกระทาสักเท่าใดเปลือกสีเขียวมรกตที่สะท้อนแสงวาววับดูจับตาจับใจเสียใจ
    “มันเป็นไข่ของแฟรี่ เจ้าภูตนำสารตัวจิ๋ว พอลเอามันกลับไปฟักสักอาทิตย์ก็คงกลายเป็นตัวแล้ว”

    เด็กชายทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เริ่มจากการไปหาเศษผ้าขนหนูเนื้อนุ่มจากกองผ้าเก่าๆที่แม่ของเขาเก็บไว้ หาลังสักใบสำหรับใส่ผ้าจากนั้นจึงจัดการเอาไข่ใบจิ๋วยัดใส่กองผ้าเหล่านั้น

    ขาดอะไรไปอย่างล่ะ...พอลนั่งนึกลำดับขั้นตอน จริงสิ! ลืมรดน้ำไปนั่นเอง คิดได้ดังนั้นแล้วเด็กชายก็ลุกพรวดไปตักน้ำใสน้ำแข็งจนเย็นเจี๊ยบรดลงไปจนชุ่ม และนั่นทำให้เด็กชายได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา
    แสงสีเขียวมรกตดูจะเปล่งเรืองรองออกมาภายใต้ผ้าขนหนูก่อนจะค่อยๆจางลับหายไป
    เด็กชายทดลองรดน้ำเย็นลงไปอีกครั้ง และมันก็เป็นเช่นทุกครั้ง ไม่นานพอลก็เลิกให้ความสนใจกับเจ้าไข่ใบนี้



    ภายในความมืดมิดของหมอกควันที่รายล้อมไปทั่วบริเวณ เสียงระฆังดังแว่วมาแต่ไกลโดยปราศจากต้นเสียง
    ร่างๆหนึ่งยืนคว้างอยู่ด้วยความตระหนก เสื้อยืดขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดดูจะตัดกันได้ดีกับหมอกสีเทาดำซึ่งน่าแปลกที่หมอกควันเหล่านั้นกลับไม่ทำให้รู้สึกสำลักเลยสักนิด

    ขณะที่สายตาเริ่มชินกับความมืดรอบกายเขาก็เริ่มสอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่วทุกย่างก้าวที่ก้าวเท้าเดินไปล้วนห่อหุ้มด้วยกลุ่มควันดำทั้งสิ้น
    และในที่สุดเขาก็จำต้องนั่งลงพักด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่ได้มีผลคืบหน้าขึ้นเลยกับการเดินทางเป็นชั่วโมงๆครั้งนี้

    เด็กชายถอนหายใจอย่างท้อแท้ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆถึงได้หลงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้และเขาจะมีโอกาสกลับออกไปไหมหนอ
    ขณะที่กำลังนั่งท้อแท้อยู่นั้น...จู่ๆมือขวาของเขาก็รู้สึกถึงวัตถุกลมรีบางอย่างที่ถูกกำไว้ภายในมือ
    เขาค่อยๆแบมันออกด้วยความแปลกใจ มันไม่ต่างจากการเปิดไฟสักดวงท่ามกลางห้องที่มืดมิด

    ทันทีที่เจ้าวัตถุชิ้นนี้ได้เป็นอิสระมันก็ดีดตัวขึ้นจากมือเด็กชาย หมุนวนอยู่รอบศรีษะเขาไม่ต่ำกว่าสิบรอบได้ก่อนจะพุ่งตัวไปทางเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว  เด็กชายวิ่งตามเจ้าวัตถุทรงไข่เรืองแสงสีเขียวมรกตนี้ไปอย่างไม่ลดละโดยไม่รู้ว่าปลายทางของการเดินทางครั้งนี้จะไปสิ้นสุดตรงไหน

    นับเป็นเวลานานมากในความรู้สึกของเด็กชายกว่าที่ไข่สีเขียวจะยอมหยุดนิ่งกลับลงสู่อุ้งมือเขาอีกครั้ง และบัดนี้เขาก็ได้พบทางออกของสถานที่แห่งนี้แล้ว
    จุดแสงสว่างเล็กๆทางเบื้องหน้าค่อยๆขยายตัวออกกว้างกินบริเวณพื้นที่รอบกายจนในที่สุดกลุ่มควันทั้งหมดก็ได้เลือนหายไปกับแสงสว่างอันเจิดจ้า

    ณ บัดนี้เด็กชายกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าซึ่งครั้งหนึ่งมันคงเคยเขียวขจีสดใส หญ้าสีเหลืองแก่ปกคลุมพื้นดินอันแตกระแหงอยู่เป็นหย่อมๆ ต้นไม้หลายต้นหลงเหลือเพียงแค่ตอไม้กับบางต้นที่ยังคงพอยืนหยัดอยู่ได้หากแต่เหลือเพียงใบแก่ๆ สีน้ำตาลที่พร้อมจะล่วงลงมาเพียงลมพัด

    เหนือขึ้นไปเบื้องบนคือท้องฟ้าสีครามกับดวงอาทิตย์และแสงแดดอันแรงกล้าที่พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดินนี้ จึงไม่น่าแปลกอะไรถ้าดินแดนแห่งนี้จะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่

    การเดินทางในดินแดนอันแห้งแร้งแห่งนี้สร้างความเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก  ไอระอุจากพื้นดินและแสงแดดเผาไหม้ผิวกายของเด็กชายจนไหม้เกรียม ความกระหายน้ำค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ค่อยๆหดหายไป แต่แหล่งน้ำเดียวที่ดูจะหาได้ในขณะนี้คือเนื้อตัวของเขาเองที่ชุ่มไปด้วยเหงือไคลและดินจากการล้มลุกคลุกคลานเสียหลายครั้ง

    เด็กชายหยิบไข่สีเขียวมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์เป็นครั้งที่ยี่สิบได้ แต่มันก็เป็นเพียงไข่สีเขียวมรกตธรรมดาๆใบหนึ่งเท่านั้นไม่มีแสงเรืองรองหรือการเคลื่อนไหวใดๆปรากฎขึ้น มีหลายวิธีที่เขาพยายามทดลองกับเจ้าไข่ใบนี้ทั้งการกำมันไว้ในมือห่อมันด้วยเสื้อยืดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีขาวสะอาด ฝังมันไว้ท่ามกลางพื้นดินร้อนๆที่เกือบจะกลายเป็นทรายและอีกหลายๆวิธีที่เขาพยายามทำให้มันเรืองแสง แต่มันก็ไม่เคยสัมฤทธิ์ผลสักครั้ง

    เด็กชายหย่อนมันกลับลงกระเป๋าตามเดิม..อย่างน้อยมันก็เคยช่วยเขาให้ออกมาจากดินแดนที่มีแต่หมอกควันนั้นได้ถึงตอนนี้เขาก็เริ่มชักไม่แน่ใจว่านั้นคือความช่วยเหลือหรือการทำร้ายเขากันแน่ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็คงหนีไม่พ้นกับการเดินและค้นหาทางออกจากดินแดนประหลาดแห่งนี้

    เด็กชายเริ่มสังเกตถึงสภาพแวดล้อมรอบกายที่เปลี่ยนแปลงไป ตอและต้นไม้ใหญ่ที่เคยกระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องทุ่งกลับไม่เห็นหลงเหลือร่องรอยใดๆให้เห็นอีกสิ่งที่มาแทนที่ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้คือ ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างทั้งหลายซึ่งครั้งหนึ่งสถานที่แห่งนี้คงเป็นเมืองที่งดงามและน่าอยู่มาก่อน

    เบื้องหน้าเด็กชายคือถนนคอนกรีตที่พังยับเยิน รอยแตกระแหงถูกวาดไปทั่ว ราวเส้นใยแมงมุม เศษหินเศษอิฐต่างๆ ถูกปูลงบนทางถนนทำให้ยากต่อการเดิน ปลายสุดของถนนสายนี้คือซุ้มประตูหินอ่อนที่ถูกไม้เลื้อยพันจนไม่สามารถมองเห็นอักษรที่จารึกอยู่ด้านบนได้ เสาข้างหนึ่งของซุ้มประตูมีรอยร้าวปรากฏอยู่เด่นชัดและดูเหมือนมันพร้อมที่จะพังลงมาได้ทุกเวลา ซึ่งไม่เป็นการดีแน่หากเราจะยืนอ้อยอิ่งสำรวจบริเวณนี้ต่อไป เด็กชายจึงรีบสาวเท้าก้าวข้ามซุ้มประตูเมืองแห่งนี้
    (ในความคิดของเขาที่นี้คงเป็นเมืองร้างแห่งหนึ่ง) เข้าไปอย่างว่องไว

    ผ่านบริเวณด้านหน้าเข้ามาก็มาเจอกับลานกว้างรูปครึ่งวงกลมที่มีซากน้ำพุตั้งอยู่กึ่งของลานแห่งนี้ บนยอดเสากลางบ่อน้ำพุคือรูปหินสลักของสัตว์รูปร่างประหลาด
    มันไม่มีหัวซึ่งคาดว่าคงถูกตัดหรือหักไป ลำตัวและขาของมันมีลักษณะคล้ายช้างโดยขาหน้าทั้งสองกำลังยกขึ้นเหยียบหินรูปจันทร์เสี้ยวทางด้านหน้า

    กลางลำตัวของมันมีปีกที่แผ่กว้างออกไปไกลติดอยู่เด็กชายสังเกตอักษรที่สลักอยู่บริเวณเสาด้านล่างจึงทราบว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้มีชื่อว่า ฮอรัส
    ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง (ตัวเขาเองกลับแปลกใจที่สามารถอ่านอักษรเหล่านั้นได้ราวกับเจ้าของภาษา แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้)

    รอบบริเวณลานครึ่งวงกลมแห่งนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักฟังของตึกรามบ้านช่องรูปทรงต่างๆ เศษแก้วเศษหินหลากหลายขนาดกองกระจัดกระจายเต็มไปหมด ยอดโดมจากอาคารหลังหนึ่งหล่นมาปิดกั้นเส้นทางเข้าไปภายในตัวเมือง

    เด็กชายจึงจำต้องใช้เส้นทางอีกทางโดยลัดเลาะไปตามเส้นทางรอบเมืองเพื่อหาทางเข้าสู่ใจกลางนครแห่งนี้ เส้นทางที่เด็กชายผ่านมาล้วนแต่เป็นซากของนครที่ล่มสลายลงแล้วทั้งสิ้น น่าแปลกที่ว่าสิ่งใดกันสามารถทำลายล้างมหานครอันแสนจะยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้

    การเดินทางรอนแรมท่ามกลางความล่มสลายโดยปราศจากเพื่อนร่วมทางเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิศมัยเลยสักนิด แม้กระทั่งดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นเพื่อนร่ววมทางที่แสนจะโหดร้ายก็จำต้องลาลับไปจากขอบฟ้า ความมืดมิดแห่งรัตติกาลจึงค่อยๆโรยตัวเข้ามาปกคลุมอาณาจักรแห่งนี้แทน

    เด็กชายจำต้องพักลงในซอกแคบๆแห่งหนึ่งเนื่องจากไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ นับว่าโชคชะตายังคงเข้าข้างเขาอยู่เพราะไม่ไกลจากนี้นักเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะประจำเมืองแห่งนี้
    แม้ต้นไม้จำนวนมากจะเหี่ยวเฉาและล้มตายลงแต่ก็ยังหลงเหลือบางส่วนที่ยังสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ หนึ่งในจำนวนต้นไม้เล่านั้นยังคงออกผลให้เก็บกินประทังชีวิตไปได้

    รสชาติของมันออกจะขมและฝาดเล็กน้อยแต่เด็กชายสามารถลิ้มรสของมันได้อย่างเอร็ดอร่อยราวอาหารชั้นเลิศ เมื่อกลับมาในซอกแคบๆซึ่งเป็นที่ปลอดภัยที่สุดในความคิดของเขาก็สามารถล้มตัวลงนอนและหลับสนิทภายในเวลาตอมา

    การเดินทางในวันถัดมาและถัดมาไม่ได้สร้างความคืบหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนเขาจะยังคงเดินวนเวียนอยู่ในเส้นทางรอบนอกของนครแห่งนี้โดยไม่สามารถหาทางออกหรือเข้าสู่ใจกลางเมืองได้
    บ่ายแก่ในวันที่สามของการเดินทางเด็กชายก็พบกับสิ่งก่อสร้างชิ้นหนึ่งเข้าในตอนแรกเขาเห็นเพียงยอดที่เปล่งประกายสะท้อนแสงแดด
    เขาบอกไม่ถูกว่ามันคือที่อยู่อาศัยหรืออะไรกันแน่ มันถูกก่อสร้างขึ้นด้วยวัสดุชนิดหนึ่งซึ่งก่อตัวขึ้นคล้ายผลึกสีม่วงแกมเขียวคล้ำจนเกือบดำ เจ้าสิ่งนี้มันมีลักษณะคล้ายจอมปลวกขนาดยักษ์กินเนื้อที่ไม่ต่ำกว่าสิบไร่

    เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงได้เห็นส่วนที่ก่อขึ้นเป็นประตูบานมหึมาสูงเกือบสองชั้น ตรงบานประตูถูกสลักไว้ด้วยลวดลายของเจ้าฮอรัส...สัตว์ประจำนครแห่งนี้ ใบหน้าของมันมีลักษณะคล้ายสิงโตขนรอบคอแผ่ฟูแสดงถึงอำนาจอันน่าเกรงขาม
    หากแต่ใบหูของมันกลับมีลักษณะคล้ายหูของช้างที่ย่อส่วนลงมา นัยน์ตาทั้งสองข้างฝังด้วยมรกตเม็ดโตเจียเหลี่ยมแพรวพราว

    ราวกับมีบางสิ่งมาดลใจเด็กชายให้เอื้อมมือทั้งสองไปกดลงบนมรกตคู่นั้น
    “ครืน!!” เสียงบานนประตูทั้งสองข้างเปิดออกอย่างช้าๆพร้อมกับแสงจากภายนอกที่ส่องผ่านเข้ามาเห็นถึงทางเดินเบื้องหลังบานประตูทอดยาวไปไกลท่ามกลางความมืดสลัว

    ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งของเด็กชายก้าวผ่านประตูเข้าไป แสงจากเปลวไฟริมผนังทั้งสองข้างถูกจุดขึ้นด้วยมือที่มองไม่เห็น ดวงไฟสีส้มลอยคว้างให้ความสว่างตลอดระยะทางเดินไปจนจรดปลายทางเดินซึ่งมีลักษณะคล้ายปากทางเข้าถ้ำหากแต่มันกลับถูกขวางกั้นไว้ด้วยเยื่อขุ่นๆบางๆสีน้ำผึ้ง

    เด็กชายยืนนิ่งอยู่หน้าปากทางเข้าถ้ำพักใหญ่ ความที่ไม่สามารถมองเห็นภาพด้านในได้ทำให้เขาเกิดความลังเลไม่กล้าที่จะก้าวผ่านอุปสรรคเล็กๆชิ้นนี้ไป
    แต่เมื่อรวบรวมกำลังใจและความกล้าได้ทุกสิ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เด็กชายค่อยๆแหวกม่านสีน้ำผึ้งออกเป็นรูกว้างพอที่จะแทรกตัวผ่านเข้าไป

    แสงระยิยระยับของดวงไฟหลากสีดวงเล็กๆนับหมื่นดวงกระจายอยู่ทั่วบริเวณทั้งผนัง เพดาน และพื้นดิน เจ้าแสงเหล่านี้คือเหล่าแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่งคล้ายหิ่งห้อยขนาดไม่ใหญ่กว่านิ้วหัวแม่โป้งตัวเอง มันมีลักษณะคล้ายจักจั่นหากแต่ปีกทั้งสองข้างของมันทำหน้าที่เปล่งแสงสีเหลืองอำพัน แดงทับทิม เขียวมรกต และอีกมากมายจนยากจะบรรยายได้หมด

    โดยไม่ทันคาดคิดไข่สีเขียวมรกตที่สงบนิ่งอยู่ภายในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของเด็กชายมาเป็นเวลาหลายวันก็เริ่มเปล่งแสงเจิดจ้าจรัสขึ้นพร้อมกับลอยตัวมุ่งไปยังเบื้องหน้า ทั่วบริเวณที่ลำแสงมรกตสาดส่องถึงคือช่องว่างที่ปราศจากแมลงดวงไฟปีกแข็งเหล่านนั้น
    เขาวิ่งตามไข่สีเขียวมรกตมาเรื่อยๆ เริ่มจากปากทางเข้าถ้ำแคบๆเข้าสู่ป่าลึกคดเคี้ยวเลี้ยวไปตามพุ่มไม้และต้นไม้สูงใหญ่มากมาย หลายครั้งที่สะดุดเข้ากับรากไม้หรือเลือดออกซิบๆจากหนามไม้ยักษ์ จนในที่สุดก็มาหยุดลงตรงหน้าต้นสนสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งที่ตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด

    ไข่สีเขียวค่อยๆลอยตัวสูงขึ้นๆขนานไปกับลำต้นของสนยักษ์เป็นสัญญาณให้เด็กชายปีนต้นไม้ต้นนี้ขึ้นไป
    อาจดูเป็นเรื่องยากเกินไปสักหน่อยกับเด็กชายตัวเล็กๆที่ไม่เคยแม้แต่จะหัดปีนต้นไม้เตี้ยๆเลย แต่ในบางครั้งเรื่องยากก็กลับกลายเป็นเรื่องง่ายได้ภายในชั่วพริบตาโดยไม่รู้ว่าตัวเขาเองก็สามารถปีนข้ามกิ่งต่างๆไล่ตามขึ้นมาได้อย่างว่องไว

    จากคุณ : ไฟลี่ - [3 ส.ค. 45 17:55:03 A:210.203.181.6 X:]