บุกแดนฝัน-8

    ตอนที่ 8 ความฝัน

    หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงทั้งสามก็ได้มารวมตัวกันที่โรงพยาบาลแห่งฝันในชั้นบนสุด
    “ภารกิจครั้งนี้ถือว่าเป็นภารกิจสำคัญและมีความเสี่ยงมากฉะนั้นขอให้ทุกท่านโปรดจงใช้ความสามารถทั้งหมดที่ท่านมีและความรอบครอบให้จงหนักเพื่อช่วยเหลือเพื่อนสิ่งมีชีวิตร่วมดินแดนแห่งนี้” หัวหน้าแพทย์กล่าวย้ำแก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    “ท่านฟาราดา เนริออลและพอล คือผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เดินทางไปในครั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งสามจงจำไว้ไม่ว่าการเดินทางครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตามขอให้ทานจงกลับออกมาก่อนลูกแก้วเม็ดสุดท้ายจะตกลงมา” ลูสหันมาเตือนทั้งสาม
    ใช้เวลาไม่นานการเตรียมการเพื่อเดินทางในครั้งนี้ก็พร้อมเพรียง ภายในห้องประชุมซึ่งเป็นห้องใหญ่สุดถูกดัดแปลงกลายเป็นพื้นที่โล่งเกือบทั้งหมด เบื้องหน้าคือพื้นกระจกที่เพิ่งถูกปูขึ้นใหม่เป็นรูปวงล้อ
    ด้านซ้ายข้างวงล้อกระจกคือนาฬิกาลูกแก้วขนาดจำลองมาจากธนาคารแห่งฝัน
    ส่วนด้านขวาเป็นที่ตั้งของเครื่องมือทองเหลืองขนาดใหญ่ซึ่งจะช่วยในการเข้าสู่การเดินทางครั้งนี้ เครื่องมือชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายผลฟักทองขนาดยักษ์ ก้านทางด้านบนของผลถูกหันเข้ามาสู่ใจกลางวงล้อกระจกซึ่งเป็นที่ตั้งเตียงของคนไข้

    บนเตียงคนไข้บุด้วยผ้าห่มปุยฝ้ายนุ่มแสนนุ่มราวปุ๋ยเมฆ ภายใต้ผืนผ้าสีครามนี้เองคือร่างอันสลบไสลของเด็กสาวผู้หนึ่ง
    พอลมองดูร่างเพื่อนสาวอยู่ชั่วอึดใจ ร่างๆนี้ราวกับไม่ใช่เด็กหญิงที่เคยมีชีวิตที่สดใสยิ่งนานวันเพียงไรชีวิตก็ยิ่งดูจากไปไกลขึ้นทุกทีๆ เขาจะมีแรงพอไหมที่จะเหนี่ยวรั้งชีวิตเพื่อนสาวผู้นี้และอีกหลายๆคนไว้ได้
    พอไม่พอเขาก็จะทำให้ถึงที่สุด!! ..เด็กชายตอบกับตัวเองอย่างมั่นใจการเดินทางเข้าสู่จิตใจของเด็กสาวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจำนวนห้าคนช่วยกันหมุนผลฟักทองสุกอร่ามค่อยๆเขยื่อนก่อนหมุนติ้วราวลูกข่าง

    ณ ใจกลางลูกข่างฟักทองปรากฎแสงเรืองรองขึ้นก่อนกระจายตัวเข้าสู่ทุกพื้นที่ผิวของผลฟักทองอย่างรวดเร็วทำให้ผลฟักทองยักษ์ผลนี้ไม่ต่างอะไรกับโคมไฟขนาดใหญ่ที่กำลังเปล่งแสงสุกใสไปทั่วอาณาบริเวณ บริเวณพื้นที่กระจายรูปวงล้อที่ทั้งสามกำลังยืนอยู่พร้อมด้วยเตียงคนไข้คือบริเวณที่เป็นจุดรับแสงได้มากที่สุดประกายสีทองจากผลฟักทองเริ่มรวมตัวกันส่องตรงมายังวงล้อก่อนที่แสงทั้งหมดจะถูกดูดเข้าสู่วงล้อก่อให้เกิดแท่งแก้วกลมสูงขนาดใหญ่ครอบลงเหนือพื้นกระจกทั้งหมดและถูกปิดกั้นให้กลืนหายเข้าไปในความจ้าสว่างแห่งลำแสงพร้อมกับลูกแก้วเม็ดแรกที่ร่วงหล่นลงมา

    พอลค่อยๆลืมตาขึ้นหลังจากที่เขาสามารถทรงตัวอยู่บนอะไรบางอย่างได้ ในความสว่างเจิดจ้าที่ทอดตัวไปทุกอณูของดินแดนแห่งนี้ทำให้เด็กชายจำต้องหรี่ตาทั้งสองข้างลงเพื่อมองหาบุคคลผู้รวมทางทั้งสอง
    “พี่นัท! ท่านฟาเรดา!” เขาป้องปากตะโกน
    “ทางนี้” มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังก่อนที่เจ้าของเสียงจะวิ่งผ่าแสงอันเจิดจ้าเข้ามาหาเด็กชายได้
    “ทำไมที่นี่ถึงดูว่างเปล่าอย่างนี้ละครับ”  พอลเอ่ยถามขึ้นเมื่อหาชายทั้งสองพบ
    “ที่นี่คือดินแดนแห่งความว่างเปล่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางเข้าสู่จิตใจ เราจะต้องหาประตูทางเข้าสู่จิตใจของเบลให้พบในดินแดนแห่งนี้” ฟาราเดซึ่งจัดเป็นผู้ที่รอบรู้ที่สุดในบรรดาสามคนตอบ

    “แล้วจะหาประตูบานนั้นเจอได้อย่างไรในเมื่อที่นี่มองไปทางไหนก็พบแต่ความว่างเปล่าทั้งนั้น” เนริออลเอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจ
    “นั่นแหละคือปัญหาที่เราจะต้องหาทางแก้ว่าเราจะหาประตูทางเข้าได้อย่างไรในดินแดนซึ่งปราศจากทุกสิ่งเช่นนี้ พอล...ข้าจำเป็นต้องบอกว่านี่คือหน้าที่สำคัญของเจ้าที่จะเป็นผู้หาและเปิดประตูบานนั้นได้ หวังว่าเจ้าคงเข้าใจนะ” ชายชราหันไปพูดกับเด็กชาย
    “ผมเข้าใจครับ” เขาตอบ ในใจตอนนี้ของเด็กชายราวกับมีแท่งเหล็กหลายสิบตัวถ่วงเอาไว้
    พอลเริ่มต้นการค้นหาด้วยการกวาดตาไปทั่วอาณาบริเวณที่ยืนอยู่นี้อย่างละเอียด ดูเหมือนมันจะเป็นดังที่คาดไว้แต่แรกไม่มีอะไรหรือสิ่งใดเลยภายใต้แสงสว่างอันเจิดจ้านี้

    “ที่นี่กว้างแค่ไหนครับ” เด็กชายถามหลังจากที่พยายามเพ่งมองไปทั่วทุกทิศอยู่นาน
    “ไม่มีใครรู้หรอก อาณาเขตของดินแดนนี้กว้างไกลเกินกว่าชั่วชีวิตของเจ้าจะเดินทางรอบได้” นั่นคือคำตอบจากชายชราซึ่งไม่ได้สร้างความสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย
    เวลาในแต่ละวินาทีดูจะสูญเสียไปอย่างไร้ค่าในความรู้สึกของเด็กชายนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากให้เวลาหยุดนิ่งลงหรือเคลื่อนไปช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้
    “ลูกแก้วเม็ดที่ห้าสิบร่วงตกลงมาแล้วนะ” ฟาเรดาเตือนหลังจากก้มลงมองดูนาฬิกาลูกแก้วจำลองที่แขวนห้อยคออยู่
    เท่ากับว่าพวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงสามในห้าที่จะเข้าไปช่วยเด็กชาวเท่านั้น ตอนนี้สมองของเด็กชายทำงานอย่างหนักเขาไม่มีทางหาประตูหรือสิ่งใดในดินแดนแห่งความว่างเปล่าเจอแน่แต่ประตูทางเข้าก็ต้องอยู่ในดินแดนแห่งนี้สิไม่เช่นนั้นเขาจะเข้าไปได้อย่างไร
    “โอ๊ย” พอลอุทานด้วยความตกใจพลางชักมือออกจากกระเป๋ากางเกง

    “มีอะไรรึพอล” ชายหนุ่มชาวแดนฝันถามอย่างเป็นห่วง
    “ไม่มีอะไรหรอกครับแค่ถูกกระจกบาดนิดหน่อย” เด็กชายตอบแล้วหยิบเศษกระจกแก้วที่ติดกระเป๋ามาด้วยออกมาให้ดู
    รอยเลือดสีแดงยังคงติดอยู่ที่ขอบกระจกสีรุ้ง น่าแปลกที่เศษกระจกเล็กๆเพียงชิ้นเดียวกลับสามารถกระตุกหัวใจสองดวงของชายต่างวัยได้อย่างแรง
    “พอลเอามันมาจากไหน” เนริออลถามเสียงสั่น พยายามสลัดเงามืดในอดีตออกจากความทรงจำ
    “ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันมาจากไหน เอาเป็นว่ามีคนให้ผมมาละกัน”
    “เช็ดรอยเปื้อนเลือดนั่นออกก่อนเถอะ” ฟาเรดาเสนอ ชายชราเองก็มีปฏิกริยาไม่ต่างจากชายหนุ่มชาวแดนฝันเท่าไร
    เด็กชายไม่ค้านอะไรเขาเช็ดรอยเปื้อนเลือดเข้ากับชายเสื้อเชิ้ตสีดำของตัวเอง ทันทีที่ชายเสื้อสัมผัสถูกเศษกระจกความดำมืดของตัวเสื้อก็ดูจะถูกถ่ายทอดลงไปด้วย จากเศษกระจกสีรุ้งจึงเปลี่ยนไปเป็นดำทะมึนในพริบตา

    “อะไรกันนี่” พอลร้องอย่างตกใจ
    “ไม่ต้องตกใจไปหรอกเด็กน้อย อีกไม่นานข้าก็กลับคืนสภาพเดิมได้” เสียงใสแปลกหูดังออกมาจากกระจกชิ้นนั้นก่อนภาพรางๆของใครบางคนจะปรากฎขึ้นในความดำมืดบนกระจก
    “ใครกันนะ” เด็กชายก้มลงเพ่งมองอย่างตั้งใจ
    “สำคัญด้วยหรือว่าเป็นใคร สิ่งที่สำคัญในตอนนี้มิใช่การช่วยเพื่อนเจ้าหรอกรึ” เสียงในกระจกตอบกลับมา
    “คุณช่วยผมได้ใช่ไหมครับ”
    “ได้สิหากเจ้าปฎิบัติตามคำแนะนำของข้า”

    “รับรองเลยว่าผมจะทำตามทุกอย่าง ขอเพียงแต่ช่วยเบลได้ผมยอมทั้งนั้น”
    “งั้นจงฟังให้ดี...........”เสียงในกระจกดังก้องกังวานออกมา

    “พอล...พอล”
    “ฮะ เมื่อกี้พี่นัทพูดว่าอะไรเหรอ”
    “เป็นอะไรไปน่ะจู่ๆก็ยืนนิ่งไปเฉยๆ พี่เรียกตั้งหลายทีก็ไม่รู้สึกตัว”
    เด็กชายก้มลงมองเศษกระจกในเมื่อซึ่งกลับสู่สภาพเดิมเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวเขาเองก็ชักงงๆแล้วว่าเหตุการณ์เมื่อกี้คืออะไรกันแน่

    “ผมหาประตูทางเข้าเจอแล้วนะครับ” พอลตอบ ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของเพื่อนสาวเขาอีกแล้ว เด็กชายตัดปัญหาทุกอย่างออกจากหัวสมองเขาหมด
    “จริงๆหรือพอล มันอยู่ที่ไหนกัน” ชายหนุ่มชาวแดนฝันถามอย่างตื่นเต้น
    “ใจจิตใจของตัวเราเองไงครับ ถ้าเราเชื่อมต่อจิตใจของพวกเรากับจิตใจของเบลได้ประตูบานนั้นก็จะเปิดออก”
    “แล้วเจ้าจะเชื่อมอย่างไรเล่า” ฟาเรดาถาม
    “สมาธิไงครับ”
    ภายใต้ดินแดนที่เต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้าแห่งนี้ ร่างทั้งสามของชายต่างวัยกำลังนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลมอยู่ มือทั้งสองของทั้งสามคนต่างเกาะกุมไว้ซึ่งกันและกัน ดวงตาที่ปิดสนิททั้งสามคู่ดูราวกับทำให้เวลาหยุดเคลื่อนไปได้ชั่วขณะ และถ้าจะสังเกตให้ดีก็จะเห็นถึงลมหายใจของทุกคนพร้อมเพียงกันเป็นหนึ่งเดียวกัน

    เข้า....ออก....เข้า....ออก..!!

    ณ ปลายสุดของความมืดสลัวคือแสงกระพริบจากบางสิ่งที่ส่องผ่านเข้ามาเป็นสัญญาณให้มุ่งตรงไปในเส้นทางสายนี้
    “นั่นไงล่ะประตูทางเข้า”
    “เจ้าแน่ใจแล้วหรือที่จะเปิดมัน” เสียงๆหนึ่งท้วงขึ้นก่อนที่จะทันเอื้อมมือไปผลักบานประตู
    “ทำไม”
    “เบื่องหลังบานประตูแห่งนี้คือจิตใจของบุคคลคนหนึ่งซึ่งถูกทำลายเหลือเพียงแต่ซากเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าไปเลยเจ้าจะเอาจิตใจของเจ้ามาทิ้งไว้เบื่อง
    หลังประตูบานนี้เปล่าๆ มันคุ้มค่าเช่นนั้นหรือ” เสียงกึกก้องดังกลับมา
    “คุ้มสิต้องคุ้มค่าแน่ มันจะไม่มีวันจบลงอย่างที่ท่านบอกหรอกเพราะผมเชื่อว่าจะต้องช่วยเธอกลับมาได้” เขาตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับเอื้มมือไปผลักบานประตูอย่างไม่ลังเล

    ทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบลงบนดินแดนแห่งใหม่ภายใต้จิตใจของบุคคลซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงสดใส สิ่งแรกที่พวกเขาสัมผัสได้ก็คือความหนาวเย็นที่ซึมผ่านเข้าสู่กระดูก

    ภายใต้ความมืดสลัวเบื้องหน้าสิ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากหิมะและน้ำแข็งที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดน
    ต้นสนที่เคยสูงละลิ่วเป็นทิวแถวหักโค่นลงมากองระเนระนาดอยู่บนพื้นหิมะขาวที่ยังหลงเหลือยืนต้นอยู่ได้บ้างก็ปราศจากใบอันเขียวขจีมีเพียงกิ่งก้านสีน้ำตาลแก่ๆที่พร้อมจะหักหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
    บนท้องฟ้าในความมืดสลัวเช่นนี้แทนที่จะมีแสงจันทร์หรือหมู่ดาราประดับอยู่กับถูกบดบังไว้ด้วยหมู่เมฆดำทะมึนและฝูงค้างคาวที่บินโฉบไปมา

    ถัดจากทิวสนร้างไปไม่ไกลนักเป็นที่ตั้งของสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งครั้งก่อนคงเป็นหมู่บ้านที่สวยงาม ตอดำเป็นตะโกหลายสิบแห่งตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะขาวพร้อมกับเศษซากไม้ที่ไหม้เกรียม
    บ่งบอกชัดถึงสภาพไฟไหม้ครั้งใหญ่ของหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ณ ที่แห่งนี้และไม่มีใครที่กล้าที่จะคาดเดาได้

    “นี่มันดินแดนแห่งความตายชัดๆ” เนริออลพึมพำเสียงแห้งผาด
    “ยังหรอก...เชื่อข้าสิดินแดนแห่งนี้จะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ในไม่ช้า พวกเรารีบตามหาเจ้ามารร้ายตนนั้นกันเถอะ”ฟาเรดากล่าว
    “แล้วจะหามันได้ที่ไหนละครับ”

    “ใจกลางนครมักเป็นแหล่งสะสมพลังและน่าจะเป็นแหล่งพลังชีวิตขุมสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในขณะนี้” ชายชราตอบอย่างผู้รอบรู้
    “งั้นเราก็มุ่งหน้าไปยังใจกลางนครกันเลย”
    ทั้งสามเริ่มออกเดินทางฝ่าพายุหิมะที่เริ่มก่อตัวขึ้นสู่ทิศทางซึ่งเป็นที่ตั้งของใจกลางนคร แต่เดินกันไปได้ไม่เท่าไหร่เด็กชายก็เริ่มรู้ถึงความสามารถของตนเอง
    “พี่...น...นัท” เด็กชายเรียกเสียงสั่น ฟันของเขาเริ่มกระทบกันอย่างระงับไม่อยู่
    “ทำไมเหรอพอล” ชายหนุ่มชาวแดนฝันถาม ความที่เขาเดินนำหน้าเด็กชายจึงไม่สามารถสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของพอล

    “ผะ...ผม...หนาว....ครับ” เด็กชายบังคับริมฝีปากพูดออกมาจนได้
    นั่นแหละชายหนุ่มจึงหันกลับมามองรวมทั้งฟาเรดาที่ก้มหน้าก้มตาเดินฝ่าหิมะมาด้วยกัน
    “ไปหาที่หลบพายุกันก่อนก็ได้” ชายชราเสนอ
    พวกเขาจึงเลือกถ้ำเล็กๆไม่ไกลจากที่นี่นักเป็นที่หลบภัย
    “ข้าจะจุดไฟให้เจ้าละกัน”
    พร้อมกันนั้นกองเพลิงขนาดย่อมก็ลุกโชนขึ้นท่ามกลางกองหิมะเบื้องหน้าเด็กชายขยับตัวเข้าไปใกล้อย่างอัตโนมัติเพื่อขับไล่ความหนาว

    “เอ้า....ห่มซะ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับผ้านวมผืนใหญ่ที่ถูกคลุมลงบนร่างของเด็กชาย
    “พี่เอาผ้านี่มาจากไหนครับ แล้วกองไฟนี้ด้วย” พอลถามอย่างงุนงง เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชาวแดนฝันจะมีความสามารถในการทำสิ่งเหล่านี้ได้
    “พอลลืมแล้วหรือว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกัน เราอยู่ภายในจิตใจของเพื่อนพอลหรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือเราเดินทางเข้าสู่ความฝันของเบลแล้ว และพวกพี่ก็เป็นชาวแดนฝันซึ่งทุกๆคนจะได้รับการฝึกหัดให้สร้างฝัน สิ่งเหล่านี้ก็คือความสามารถส่วนหนึ่งที่เรียนรู้มาจากการสร้างฝัน” เนริออลอธิบาย

    “งั้นก็มีผมคนเดียวสิครับที่แย่ แล้วพี่นัทจะสอนผมได้ไหมครับ” เขาถามด้วยความกระตือรือร้น
    “เรื่องสอนนะไม่มีปัญหาหรอกเพียงแต่ตอนนี้เราไม่มีเวลาขนาดนั้น ถ้าพอลหายหนาวแล้วพี่ว่าเรารีบออกเดินทางกันดีกว่า”

    จากคุณ : ไฟลี่ - [5 ส.ค. 45 18:21:19 A:210.203.183.142 X:]