บุกแดนฝัน-9

    ตอนที่ 9 ดินแดนแห่งอสรพิษ

    หลังจากออกมาจากหมู่บ้านใบจากได้ ทั้งสามก็ได้พบกับเส้นทางซึ่งถูกโรยด้วยถ่านสีดำยาวไปตลอดแนวตามที่แม่เฒ่าได้บอกไว้
    “เดินไปตามทางถ่านหินสายนี้จนสุดทางแล้วจะได้พบกับสิ่งที่กำลังตามหาอยู่ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนทางสายนี้ไม่เคยมีผู้ใดเคยเดินกลับมาได้เลย ขอให้พวกเจ้าโชคดีเถิด” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของแม่เฒ่าก่อนที่จะจากกัน

    พวกเขาก้าวเดินไปเบื้องหน้าบนเส้นทางสีดำอย่างไม่ลังเล พวกเขาไม่ได้หันกลับมามองเบื้องหลังเลยเพราะในหัวใจของเขาทั้งสามต่างเชื่อว่าสักวันหนึ่งเส้นทางสายนี้ยังคงต้องต้อนรับพวกเขาอีกครั้ง

    ไม่ต้องพูดถึงสองข้างทางของถนนสายถ่านหินนี้เพราะมันไม่ได้มีอะไรนอกไปจากต้นไม้เหี่ยวแห้งกับพื้นดินที่ใกล้เป็นทะเลทรายลงทุกทีจะยังดีอยู่บ้างก็ตรงที่บางแห่งยังคงสามารถเหนี่ยวรั้งความเขียวขจีไว้ได้บ้างแต่ก็คงอีกไม่ช้าที่มันจะกลายสภาพเป็นเหมือนพื้นดินรอบๆ

    เดินทางกันมาได้พักใหญ่ก็ได้มาถึงปลายทางของถนนเส้นนี้ มันคือถ้ำหินขนาดใหญ่ที่ไม่อาจประมาณความลึกของมันได้ บริเวณปากทางเข้าถ้ำด้านในปรากฎแสงสลัวๆของคบเพลิงที่ถูกจุดอยู่ตลอดระยะทางเดินในตัวถ้ำ
    “ไปเถอะเวลาของเราเหลือไม่มากนัก” ฟาเรดาเตือน

    เปลวแสงสีส้มจากคบเพลิงเคลื่อนไหววูบวาบทั้งๆที่ไม่มีสายลมใดพัดผ่านเข้ามาก่อให้เกิดภาพเคลื่อนไหวของบางสิ่งที่ดูคล้ายเงาของมนุษย์จำนวนนับสิบคน พวกมันเต้นไปรอบๆถ้ำย้ายจากผนังด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง โผล่ลงมาจากเพดานถ้ำรวมทั้งผุดขึ้นมาจากพื้น หลายครั้งที่เจ้าเงาเหล่านี้มักจะฉุดรั้งทั้งสามไม่ให้เดินเข้าไป หรือพยายามผลักพวกเขากลับไปสู่ปากถ้ำ

    “เจ้าพวกนี้มันเป็นตัวอะไรกันแน่สมุนของเจ้าปีศาจรึไง” เนริออลกล่าวเมื่อพยายามบิดตัวเองออกจากการเกาะกุมของพวกเงา
    “ข้าว่าไม่ใช่หรอก เจ้าพวกนี้ไม่ได้คิดที่จะทำร้ายเราสักนิด บางทีพวกเขาอาจเป็นวิญญาณหรือพลังงานส่วนหนึ่งของผู้ที่เคยก้าวผ่านเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ก็เป็นได้” ฟาเรดาคาดเดา

    “งั้น...ปล่อยพวกข้าเถอะ สิ่งที่พวกท่านเคยคิดที่จะทำเมื่อก้าวย่างเข้ามาในถ้ำหินแห่งนี้ก็คือสิ่งที่พวกข้าคิดจะทำเช่นกัน” ชายหนุ่มชาวแดนฝันตั้งใจกล่าวกับเงาเหล่านั้น
    “ได้ผล!! เงาทั้งหมดหยุดยื้อยุดพวกเขาในทันที ดูเหมือนพลังงานเหล่านี้จะเป็นอย่างที่ชายชรากล่าวไว้

    บุคคลทั้งสามเดินลึกเข้าไปในถ้ำโดยมีเงานับสิบล่องลอยตามไปเป็นขบวน รวมทั้งในบางครั้งพวกมันเป็นฝ่ายนำทางให้ยามเมื่อเดินมาถึงทางแยก
    สุดปลายทางวงกตของถ้ำหินแห่งนี้คือโพรงที่ขยายกว้างออกไปราวห้องขนาดใหญ่ หินงอกหินย้อยมากมายปรากฎขึ้นเรียงรายอยู่รอบๆบ้างก็มีลักษณะคล้ายจอมปลวกมือคนขนาดยักษ์ และสัตว์อีกหลายชนิด
    ใจกลางโพรงแห่งนี้คือบ่อขนาดใหญ่ที่เต็มปริมไปด้วยน้ำสีแดงเข้มดั่งเลือด ใจกลางบ่อแห่งนี้เองเป็นที่ตั้งของดอกไม้สีแดงเข้มเช่นเดียวกับสีน้ำในบ่อกลีบดอกแต่ละกลีบทั้งหนาและใหญ่แต่มันก็ใสราวกับถูกหุ้มไว้เพียงเยื่อบางๆทำให้สามารถมองเห็นเกสรด้านในของดอกที่ครอบคลุมร่างอันสลบไสลร่างหนึ่งไว้

    “นั่นไงล่ะราชินีเบลาลีน” ฟาเรดาชี้ไปยังร่างของเด็กหญิงที่นอนอยู่ภายใต้เกสรดอกไม้สีเลือดที่มีลักษณะคล้ายเมือกห่อหุ้มร่างนั้นไว้
    แม้จะอยู่ห่างกันเด็กชายก็สามารถสังเกตเห็นใบหน้าของราชินีเบลาลีนที่มีลักษณะเหมือนเบลเพื่อนของเขายิ่งนัก

     “เบลาลีนก็คือจิตใต้สำนึกของเบลเพื่อนเธอนั่นแหละ ถ้าเราช่วยเบลาลีนออกมาได้ก็เท่ากับเราสามารถช่วยให้เบลหายได้เช่นกัน” เนริออลอธิบาย
    “ว่าแต่ว่าเจ้าปีศาจนั้นมันหายไปไหนเสียละ” ฟาเรดาเอ่ยขึ้นพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆอย่างระมัดระวัง

    ไม่ทันขาดคำพูดพญานาคตัวยาวไม่ต่ำกว่าสิบเมตร ลำตัวมีสีดำสนิทมีเกล็ดนิลวาวระยับประดับอยู่ทั่วตัว โผล่พรวดออกมาจากผนังถ้ำด้านข้างไม่ไกลจากที่ทั้งสามยืนอยู่นัก นัยตาของเจ้าพญานาคมีสีแดงก่ำส่องประกายอันแรงกล้าจนแทบจะเผาไหม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าลงได้ในไม่กี่วินาที
    “หลบเร็ว” เนริออลตะโกนเมื่อหัวของมันฉกลงบริเวณที่ทั้งสามยืนอยู่
    “ตูม!!!” เสียงพื้นดินแตกแยกกระจายพร้อมๆกับโพรงหินยักษ์ที่สั่นสะเทือน

    เศษหินจำนวนไม่น้อยต่างร่วงพรูกันลงมาทับบุคคลทั้งสาม แต่ยังดีที่ชายหนุ่มไหวตัวทันรีบคว้าทั้งชายชราและเด็กชายเเข้าหาที่กำบังก่อนที่จะจมมิดลงในกองหิน
    “เป็นอะไรกันรึเปล่า” เนริออลถามอย่างเป็นห่วงและก็ต้องหน้าเสียไปเมื่อเหลือบไปเห็นศรีษะของชายชราที่มีเลือดสีแดงสดไหลออกมา

    “แผลไม่ใหญ่นักหรอกเจ้าไม่ต้องห่วงข้า” ชายชรากลับเป็นผู้ปลอบขวัญบุคคลทั้งสองแทน

    “ฟู่....ฟู่...” เสียงขู่อันทรงพลังของงูยักษ์ดังแทรกผ่านเข้ามา ช่วยเรียกสติสัมปชัญญะของทั้งสามกลับคืนมาทันที
    “วิ่งไปหลบหลังหินงอกก้อนนั้นเร็ว” ชายชราออกคำสั่ง และทั้งสามก็ออกวิ่งทันทีก่อนที่ลำแสงสีแดงเพลิงอันเจิดจ้าจากปากของพญานาคที่พ่นออกมาจะเผาไหม้เอาที่กำบังเป็นจุณ

    “โอ๊ย!” เด็กชายสดุดก้อนหินล้มลงระหว่างทาง เขาหันไปมองเบื้องหลังด้วยความหวาดหวั่น เจ้างูร้ายกำลังเลื้อยมุ่งหน้ามาใกล้เด็กชายเต็มที
    “พอล!!” เนริออลตะโกนสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวจับใจ เขาไม่ต้องการที่จะสูญเสียเพื่อนต่างวัยผู้เปรียบเสมือนน้องชายของเขาไป

    เด็กชายหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ในตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะลุกขึ้นยืนหรือทำอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งที่กำลังไล่ตามมาขณะนี้คือความตายอันน่าสะพรึงกลัว
    “ลุกขึ้นสิพอล ลุกขึ้นวิ่งเร็ว!” เนริออลยังคงตะโกนฝ่าเสียงอันกึกก้องมาหาเขา
    “ผม....” เด็กชายพยายามตอบกลับไป แต่ดูเหมือนว่าริมฝีปากของเขาจะไม่ยอมทำตามคำสั่ง นี่เองกระมังที่เขาเรียกว่ากลัวจับใจ

    “ฟู่...ฟู่....” เสียงอันเย็นยะเยือกดังอยู่เหนือศรีษะของเขาในขณะนี้ วินาทีต่อมาซึ่งในความรู้สึกของพอลกลับเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ เจ้างูยักษ์ก็เลื่อยมุ่งหน้าต่อไปจนลำตัวของมันเกือบจะชนร่างเด็กชาย ดีที่เขายังพอมีสติอยู่บ้างจึงกลิ้งหลบทัน
    “ไม่เป็นไรนะพอล” เนริออลถามเมื่อวิ่งเข้ามาถึง
    ชายทั้งสองแปลกใจอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อเจ้างูมุ่งหน้าตรงไปยังชายชราผู้ที่นั่งหลบอยู่หลังหินงอก
    “ท่านฟาเรดาหลบเร็ว มันตามกลิ่นเลือดของท่านมา”

    ไม่ต้องย้ำเป็นครั้งที่สองชายชราก็พุ่งตัวออกจากที่กำบัง เขาวิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อหลบหัวงูยักษ์ที่พร้อมจะฉกลงมาทุกเมื่อที่มีโอกาศ
    “เราจะต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะหมดแรง”
    “พี่นัทจะทำอย่างไรครับ” เด็กชายถามอย่างร้อนรน
    “ใจเย็นๆพอล สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือสติ เราต้องตั้งสติให้ดีก่อน

    “ แต่..” เด็กชายพยายามข่มอารมณ์อย่างที่สุด ก็เวลาอย่างนี้ใครจะทำใจให้สงบลงได้
    “พี่นัททำอะไรนะ!!” พอลร้องอย่างตกใจที่จู่ๆชายหนุ่มก็หยิบดาบสีทองคมกริบซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเนริออลไปเอามาจากไหน ชายหนุ่มจรดปลายดาบลงบนท่องแขนของตัวเองแล้วกรีดเป็นทางยาวเลือดสีแดงเข้มสดค่อยๆไหลหยดลงมาบนผืนผ้าสีขาวที่ชายหนุ่มเตรียมไว้รองรับจนชุ่ม

    “พันแผลให้พี่ทีสิ” เนริออลออกคำสั่ง
    เด็กชายคว้าผ้าสีขาวสะอาดมาพันแผลให้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว เขาสังเกตเห็นถึงริมฝีปากอันซีดเซียวเนื่องจากการเสียเลือดอย่างหนัก แต่เด็กชายก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไร
    “อยู่นี่ก่อนนะพอลพี่จะไปช่วยท่านฟาเรดา” ชายหนุ่มชาวแดนฝันกล่าวก่อนผละไปโดยไม่ฟังคำทัดทานของเด็กชาย

    พอลจึงได้แต่มองตามโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะช่วยอะไรชายทั้งสองได้
    ฝ่ายเนริออลเมื่อผละจากเด็กชายมาแล้ว เขาก็วิ่งตรงไปยังเจ้าสัตว์เลื้อยคลานร่างยักษ์ อย่างไม่รีรอ มือขวากระชับดาบสีทองมั่น ส่วนมือซ้ายถือผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดของเขา ชายหนุ่มเรียกร้องความสนใจของเจ้าพญานาคด้วยการขว้างดาบไปปักลงบริเวณลำตัวด้านล่างของมันจนมิดด้าม

    “ฟู่.......” เจ้าสัตว์ร้ายส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับเบนเป้าหมายมายังเหยื่อรายใหม่ในทันที
    “ตูม...ตูม...ตูม” ลำแสงเพลิงไล่ตามหลังชายหนุ่มชาวแดนฝันไปอย่างไม่ลดละ
    เนริออลหาจังหวะหลบเข้าที่กำบังแล้วจึงขว้างผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดไปยังอีกฝั่งหนึ่งอย่างสุดแรง

    ได้ผล เจ้าสัตว์ร้ายเลื้อยตามกลิ่นคาวเลือดไปยังกองผ้าที่ห้อยอยู่บนยอดหินงอกก้อนหนึ่ง
    “ควับ.....” ชายหนุ่มชาวแดนฝันตวัดดาบโค้งวงพระจันทร์เสี้ยวที่เขาสร้างขึ้นมาลงบนลำตัวของพญานาคทันที
    เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากร่างยาวที่ดิ้นขดตัวไปมาก่อนจะแน่นิ่งไป
    “ท่านฟาเรดาไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เนริออลเดินกลับไปหาชายชราที่นั่งหมดแรงอยู่ข้างเด็กชาย

    “ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วล่ะ” ชายชรากล่าวบริเวณศรีษะของเขาถูกพันแผลไว้อย่างลวกๆจากฝีมือของพอล
    “คงต้องหาวิธีเอาตัวเบลออกมาจากบ่อนั่น”
    “ระวังตัวหน่อยนะ” ผู้แก่วัยกว่าเอ่ยเตือน
    เนริออลเดินตรงไปยังบ่อน้ำสีเลือด เขาลองเอาดาบจุ่มลงไปในน้ำสีเลือดเข้มเพื่อหยั่งเชิงก่อน ทันทีที่ปลายดาบแตะลงบนผิวน้ำ ความร้อนจากมันก็ถูกถ่ายทอดขึ้นสู่ตัวดาบอย่างรวดเร็ว จนมือของชายหนุ่มสุกพอง เนริออลปล่อยดาบตกลงไปด้วยความตกใจก่อนที่มันจะถูกกลืนหายไปในความร้อนระอุ

    “พี่นัทระวัง”เสียงเด็กชายร้องตะโกนมาจากทางเบื่องหลัง
    และด้วยความว่องไวเขาจึงสามารถหลบพ้นเปลวเพลิงที่พุ่งตรงลงมาได้อย่างหวุดหวิด แต่แขนข้างขวาของเขากลับโดนครอกด้วยเพลิงพระกาฬนั่น
    “อ๊าก....!!” เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของเขาอย่างระงับไม่อยู่
    “พี่นัท!” เด็กชายร้องตะโกนสุดเสียง ผวาวิ่งเข้าไปลากตัวชายหนุ่มออกมาให้พ้นจากกองเพลิงมรณะ
    “ทำใจดีๆไว้นะพี่นัท”พอลปลอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆด้วยความตกใจ

    และไม่มีการให้โจมตีรอบสองเกิดขึ้น เด็กชายดึงดาบสีทองขึ้นมาจากส่วนล่างของลำตัวเจ้าพญานาคแล้วพุ่งตัวไปประจันหน้ากับท่อนบนของลำตัวที่ยังไม่สิ้นฤทธิ์
    แม้จะอ่อนแรงลงมากเนื่องจากการถูกตัดไปแล้วครึ่งท่อน แต่พญานาคก็ใช่ว่าจะสิ้นฤทธิ์ลงง่ายๆ มันทั้งพ่นไฟและฉกเด็กจนแทบไม่มีเวลาตั้งตัว และความที่ไม่ชินกับการใช้อาวุธเท่าไรนัก พอลจึงทำดาบหลุดมือไปตอนที่กลิ้งหลบเพลิงพระกาฬอันร้อนระอุ

    เด็กชายพยายามเอื้อมมือไปคว้าดาบกลับมา แต่ดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นเกิดขึ้นอีก
    “ฟู่...” เสียงคำรามอย่างเยือกเย็นดังขึ้นเมื่อมันพยายามชูลำคอให้สูงขึ้นเหนือร่างเด็กชาย
    ในขณะที่หัวของมันฉกลงมานั้น เด็กชายก็คว้าเศษกระจกที่ติดตัวมาขึ้นปักเข้ากลางหน้าผากของพญานาค
    “ตูม!!” เสียงระเบิดดังขึ้นก่อนที่ร่างของพญานาคจะเปลี่ยนไปกลายเป็นควันดำและลอยหายไปทางเพดานถ้ำด้านบน

    “พ...พอล” เนริออลครางออกมาทันทีท่ได้สติ
    “ผมอยู่นี่ครับ เราทำสำเร็จแล้วมันตายแล้วครับพี่นัท” เด็กชายกล่าวด้วยความยินดี
    “ครืน!!” เสียงสั่นสะเทือนดังมาจากบริเวณบ่อน้ำสีเลือดพร้อมๆกับน้ำที่เดือดพุ่งกระจ่ายออกไปบริเวณกว้าง ดอกไม้สีเลือดกลางบ่อค่อยๆแย้มกลีบเบ่งบานออกจนกระทั่งร่างของราชินีเบลาลีนได้รับอิสรภาพ

    “ผมจะไปช่วยเบลนะครับ” เด็กชายวิ่งตรงไปยังร่างนั้นทันทีโดยไม่ฟังคำทัดทานของชายทั้งสอง
    พอลว่ายข้ามน้ำเสียเลือดเข้าไปช่วยร่างของราชินีเบลาลีนได้ทันก่อนที่จะถูกกลืนลงไปใต้น้ำสีเลือด
    “ไม่เป็นไรนะพอล” ชายหนุ่มชาวแดนฝันถามด้วยความห่วงใยและแปลกใจที่ร่างของเด็กชายไม่ได้ไหม้หรือพุพองแต่อย่างใดก็เบาใจขึ้น
    “เบล...เบล...” เด็กชายเรียกองค์ราชินีหรือเบลเพื่อนสาวของเขานั่นเอง
    “ใจเย็นๆสิพอล” ชายหนุ่มชาวแดนฝันเตือน
    ไม่นานนักองค์ราชินีก็เริ่มรู้สึกตัว เธอเปิดเปลือกตาเต็มไปด้วยขนตาดกดำขึ้นจ้องมองเด็กชายด้วยความงุนงง

    จากคุณ : ไฟลี่ - [7 ส.ค. 45 18:10:49 A:210.203.184.73 X:]