*** THE IVORY CHILD *** เทวรูปงาช้าง *** บทที่ ๗ เรื่องของลอร์ดแรกนอล

    บทที่ ๗
    เรื่องของลอร์ดแรกนอล


    คืนนั้นฮานส์นอนพักที่บ้านข้าพเจ้า         หรือน่าจะเป็นที่นอกบ้านในสวน       หรือนอนอยู่บนนอกชาน        บอกว่าเขากลัวจะถูกจับถ้าเข้าไปในเมืองจากการวิวาทกับคนขาว        แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือว่าคู่กรณีของเขาไม่ได้มาก่อกวนกับเรื่องนี้อีกเลย         บางทีเขาอาจจะเมามากจนจำไม่ได้ว่าใครอัดเขาตกลงไปในคูหรือไม่ก็คิดว่าเขาคงตกลงไปเองเพราะอุบัติเหตุ

    เช้าวันต่อมาเรามาพิจารณาปัญหากันใหม่         ถกเถียงกันทุกรายละเอียดของเหตุผลที่เป็นไปได้ที่จะไปให้ถึงถิ่นของพวกแคนด้าห์ด้วยค่าใช้จ่ายที่เรารับได้        เหมือนกับเมื่อคืนที่ผ่านมามันยืนยันว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้         เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าการเดินทางไกลที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนั้นต้องมีเงินทุนพอสมควร-เราจะเอาเงินมาจากไหน ?         ในที่สุดข้าพเจ้าก็มาถึงบทสรุปว่าถ้าเราจะไปให้ได้ในสภาพการณ์เช่นนี้        ฮานส์กับข้าพเจ้าจะออกเดินทางกันเพียงสองคนด้วยเกวียนโดยสารของชาวสก็อตที่ลากด้วยโคขับด้วยพรานชาวซูลูสองคน      ซึ่งเราสามารถบรรทุกเอาเครื่องอาวุธปืนกับของใช้ที่จำเป็นอีกเล็กน้อย

    ด้วยของใช้จำนวนน้อยเราคงเดินทางไปถึงดินแดนซูลูจากนั้นขึ้นเหนือสู่เมืองบีซา      เมืองหลวงของพวกมาซิตูที่เราแน่ใจว่าจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี        หลังจากนั้นเราต้องเสี่ยงกับโชคชะตา        มันอาจจะเป็นไปได้ว่าเราไม่มีวันที่จะไปถึงดินแดนที่คาดว่าพวกแคนด้าห์ตั้งถิ่นฐานอยู่         แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าคงสังหารช้างได้บ้างในป่าเหนือดินแดนซูลู

    ขณะที่เรากำลังพูดกันอยู่นั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงปืนยิงขึ้นเพื่อแจ้งว่าเรือบรรทุกไปรษณีย์ภันฑ์ของอังกฤษมาถึงแล้ว       จึงเดินออกไปที่ชายสวนมองดูเรือกลไฟจอดทอดสมออยู่ที่นอกแนวสันดอน        จากนั้นข้าพเจ้ากลับเข้ามาในบ้านเพื่อเขียนจดหมายธุรกิจบางฉบับ       ซึ่งตั้งแต่ข้าพเจ้าจมอยู่กับเหมืองทอง:-)นั้นมันแทบจะเป็นงานประจำวันของข้าพเจ้า         ข้าพเจ้าเขียนจบไปหลายฉบับพร้อมกับเสียงพึมพัมไม่พอใจหลายครั้งเพราะไม่มีสักฉบับเดียวที่มันเข้ากันได้กับบรรยากาศ        เมื่อฮานส์ยื่นหัวเข้ามาทางช่องหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกับที่พวกงูใหญ่ทำแล้วพูดว่า      "เจ้านาย      ฉันคิดว่ามีเจ้านายสองคนที่ถนนมาตามหาเจ้านาย       เป็นเจ้านายแต่งตัวดีที่ฉันไม่รู้จัก"

    "ผู้ถือหุ้นของบริษัทเหมืองทองแท้"     ข้าพเจ้าคิดกับตัวเอง       จากนั้นจึงกล่าวออกไปขณะที่เตรียมตัวจะออกไปทางประตูหลัง     "ถ้าพวกเขามาที่นี่บอกพวกเขาว่าฉันไม่อยู่บ้าน        บอกพวกเขาว่าฉันออกไปแต่เช้ายังแม่น้ำคองโกเพื่อหาแหล่งกำเนิดของแม่น้ำไนล์"      

    "ครับ  เจ้านาย"      ฮานส์ พูดขึ้นแล้วทิ้งตัวออกไปทางนอกชาน

    ข้าพเจ้าออกไปทางประตูหลัง         รู้สึกเสียใจที่ข้าพเจ้านายอัลลัน  ควอเตอร์เมนต้องมาสร้างรอยด่างพร้อยให้กับชีวิต        เมื่อข้าพเจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าเพราะกลัวในสิ่งที่เขาจะพูดกับข้าพเจ้า       ทันใดนั้นความหยิ่งในตัวเองของข้าพเจ้าก็สำแดงตัวออกมา         แท้ที่จริงแล้วข้าพเจ้ามีอะไรที่จะต้องละอายใจ ?       ข้าพเจ้าควรจะเผชิญหน้าผู้ถือหุ้นซึ่งโกรธแค้นพวกนี้เช่นเดียวกับที่เผชิญหน้ากับคนอื่น ๆ เมื่อวานนี้

    ข้าพเจ้าเดินอ้อมบ้านหลังน้อยมายังสวนด้านหน้าซึ่งปลูกต้นส้มเอาไว้        ผ่านมายังหมู่ต้นดอกแสงจันทร์ขนาดใหญ่ข้าพเจ้าเชื่อว่าต้นลำโพงเป็นชื่อที่ถูกต้องของมัน        พวกมันขึ้นอยู่ใกล้ ๆ แนวรั้วต้นทับทิมซึ่งใช้แบ่งเขตที่ดินของข้าพเจ้ากับถนน       ที่นั่นการสนทนายังดำเนินอยู่       ถ้าหากว่ามันอาจจะเรียกว่าแบบนั้นได้

    "อิโคนา"(ฉันไม่รู้หรอก)  "อินคูสี"(หัวหน้า)"    เสียงชาวพื้นเมืองบางคนพูดด้วยเสียงยานคางน่าเกลียด

    มีเสียงสะดุดใจข้าพเจ้าว่าจะคุ้นเคย       พูดตอบ

    "เราต้องการรู้ว่าจอมพรานผู้ยิ่งใหญ่พักอยู่ที่ไหน"

    "อิโคนา"(ฉันไม่รู้)"    ชาวพื้นเมืองพูดขึ้น

    "แกจำชื่อพื้นเมืองของเขาได้ไหม ?"     มีอีกเสียงหนึ่งถามขึ้นซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกคุ้นเคยเช่นเดียวกัน       เพราะข้าพเจ้าไม่เคยลืมน้ำเสียงแม้ว่าข้าพเจ้าจะนึกไม่ออกในทันทีนั้น

    "จอมพรานชื่อ เฮีย-คัม-อะ-เซนี"     เสียงชายคนแรกพูดขึ้นอย่างภาคภูมิ        และในทันใดมันก็วูบขึ้นมาในใจของข้าพเจ้าด้วยภาพห้องรับแขกอันโอ่อ่าของปราสาทแรกนอล      และหัวหน้าคนรับใช้ท่าทางสง่าแนะนำชายในชุดเสื้อคลุมขาวสองคนที่ดูเหมือนกับชาวอาหรับ

    "คุณเซาเวจ  คุณพระช่วย !"    ข้าพเจ้าพึมพัม     "พระเจ้าองค์ไหนกันที่ให้เขามาที่นี่ ?"

    "นั่นไง"    เสียงพูดจากชายคนที่สอง    "เพื่อนชาวผิวดำของแกมึนไปเลย       และไม่ต้องสงสัยเพราะว่าใครจะมีชื่อเรียกบ้าบอแบบนั้น ?      ถ้าแกทำอย่างที่ฉันบอกนะเซาเวจ       และจ้างคนนำทางชาวผิวขาวมันคงไม่ทำให้พวกเราต้องลำบากอย่างนี้       ทำไมแกถึงชอบคิดว่าแกรู้ดีกว่าคนอื่น ๆ ทั้งหมด ?"

    "มันเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นนะครับ  นายท่าน     พิจารณาถึงว่าเราเดินทางมาอย่างไม่เปิดเผย"

    "เราจะเดินทางอย่างไม่เปิดเผยได้นานเท่าไหร่กัน       ถ้าแกยังเรียกฉันว่า นายท่านอยู่ทุกคำ เซาเวจ ?     มีบ้านอยู่ในหมู่ไม้นั่น      เข้าไปถามเขาซิว่าจะไปทางไหน"

    ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าไปถึงประตูแล้วเปิดออกไป     กล่าวขึ้นอย่างเงียบ ๆ

    "สบายดีหรือครับ  ลอร์ดแรกนอล ?     สบายดีหรือครับคุณเซาเวจ ?     ผมคิดว่าจำเสียงพวกคุณได้จากถนนจึงออกมาดูว่าใช่หรือเปล่า      โปรดเดินเข้ามาเลยครับถ้าผมเป็นคนที่พวกคุณจะมาเยี่ยม"

    ขณะที่ข้าพเจ้าพูดข้าพเจ้าสำรวจดูพวกเขาทั้งคู่        และสังเกตเห็นว่าขณะที่คุณเซาเวจยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าจะออกมาอยู่ยังสิ่งแวดล้อมที่แปลกออกไป        เวลาที่ผ่านไปหลังจากที่เราได้พบกันเปลี่ยนแปลงลอร์ดแรกนอลไปเป็นอย่างมาก        เขายังคงเป็นคนที่มีบุคลิกสง่างามเป็นคนที่ใครได้เห็นแล้วไม่อาจจะลืมได้         แต่ตอนนี้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามีริ้วรอยของความทุกข์         ข้าพเจ้ารู้สึกโดยทันทีว่าเขาตกอยู่ในความโศกเศร้า      เงาในดวงตาอันดำสนิทของเขาและร่องรอยซูบซีดที่แสดงออกทางริมฝีปากบอกข้าพเจ้าว่าเป็นอย่างนั้น

    "ใช่แล้ว  ควอเตอร์เมน"      เขาพูดขึ้นขณะที่จับมือกับข้าพเจ้า       "เป็นคุณนั่นแหละที่ผมเดินทางมาเจ็ดพันไมล์เพื่อมาเยี่ยม        และต้องขอบคุณพระเป็นเจ้าที่ผมโชคดีหาคุณพบ        ผมกลัวเหลือเกินว่าคุณอาจจะตายไปแล้วหรือว่าเดินทางไกลไปในใจกลางทวีปอาฟริกาซึ่งผมไม่มีทางติดตามหาคุณพบได้"

    "บางทีอีกสักอาทิตย์คุณก็ไม่พบผมแล้ว     ลอร์ดแรกนอล"    ข้าพเจ้าตอบ     "เป็นเพราะว่าโชคร้ายทำให้ผมยังอยู่ที่นี่"

    "และเป็นเพราะว่าโชคร้ายทำให้ผมมาที่นี่   ควอเตอร์เมน"

    ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้ตอบเซาเวจก็ก้าวเข้ามาเราจึงเดินไปที่บ้าน

    "คุณมาทันเวลาอาหารกลางวันพอดี"     ข้าพเจ้าพูด     "และคุณก็โชคดีเรามีปลาค็อดหินและขากวางโอริบให้รับประทาน      ไอ้หนูจัดเพิ่มอีกสองที่"

    "ที่เดียวก็พอนะครับท่าน"     เซาเวจพูดขึ้น      "ผมอยากจะทานอาหารของผมเองหลังจากนั้น"

    "คุณต้องได้กินพวกมันแน่ในอาฟริกา"     ข้าพเจ้าพึมพัม      ปล่อยให้เขาทำตามความพอใจ     ผลของมันต่อมาก็คือภาพแปลกประหลาดของคนรับใช้ชาวอังกฤษท่าทางสง่ายืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ของข้าพเจ้าในห้องเล็ก ๆ ประคองขวดเหล้าราวกับว่ามันเป็นขวดแชมเปญ          มันเป็นภาพที่กระตุ้นความสนใจเป็นอย่างมากในบ้านเก่าแก่โบราณของข้าพเจ้าและทำให้ฮานส์กับพวกชาวพื้นเมืองบางคนมายืนออมองดูกันอยู่ที่หน้าต่าง                อย่างไรก็ตามลอร์ดแรกนอลทำเหมือนกับเป็นเรื่องปกติและข้าพเจ้าคิดว่าไม่ไปยุ่งกับเรื่องของพวกเขาจะดีกว่า

    เมื่อเราทานอาหารเรียบร้อยแล้วจึงออกมาที่นอกชานสูบกล้องยาสูบ       ปล่อยให้เซาเวจกินอาหารของเขา      และข้าพเจ้าถามลอร์ดแรกนอลว่ากระเป๋าสัมภาระของเขาอยู่ที่ไหน       เขาตอบว่าทิ้งเอาไว้ที่ด่านศุลกากร   "ถ้าอย่างนั้น"   ข้าพเจ้าพูดขึ้น   "ผมจะส่งคนพื้นเมืองไปพร้อมกับเซาเวจจัดการเอาพวกมันมาที่นี่        ถ้าคุณไม่รังเกียจที่พักอันไม่ค่อยเรียบร้อยของผมมีห้องพักสำหรับคุณ       และให้คนของคุณกางเต๊นท์พักอยู่ในสวน"

    หลังจากคัดค้านกันเล็กน้อยเขายอมรับด้วยความขอบคุณ        และอีกสักพักต่อมาจึงให้เซาเวจไปกับคนพื้นเมืองพร้อมกับหนังสือถึงคนที่มีรถลากด้วยลาให้เช่า

    "ตอนนี้"     ข้าพเจ้าพูดขึ้นเมื่อประตูปิดหลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว      "คุณกรุณาบอกผมหน่อยว่ามาอาฟริกาทำไม ?"

    "เรื่องหายนะ"    เขาตอบ    "เรื่องหายนะอย่างเลวร้ายที่สุด"

    "ภรรยาคุณเสียชีวิตหรือ    ลอร์ดแรกนอล ?"

    "ผมไม่รู้     ผมเกือบจะหวังว่าเธอเสียชีวิตไปแล้ว      อย่างไรก็ตามเธอหายไป"

    ความคิดวูบขึ้นมาในใจของข้าพเจ้าว่าเธออาจหนีตามใครสักคนไป      ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ       แต่โชคดีที่ข้าพเจ้าเก็บความคิดนั้นเอาไว้ในใจและเพียงแต่พูดว่า

    "เธอเกือบจะหายไปครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ ?"

    "ใช่แล้ว    ตอนนั้นคุณช่วยเธอเอาไว้ได้      โอ ! ถ้าหากว่าคุณอยู่กับพวกเราด้วย ควอเตอร์เมน    เรื่องพวกนี้คงไม่เกิดขึ้น       ฟังนะ       เมื่อประมาณสิบแปดเดือนที่ผ่านมาเธอมีลูกผู้ชายเป็นเด็กงดงามมาก       เธอฟื้นตัวได้เป็นอย่างดีจากการคลอดบุตรและเราสองคนมีความสุขอย่างเช่นคนธรรมดาสองคนจะพึงมีเพราะเราต่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน ควดเตอร์เมน     พระผู้เป็นเจ้าประทานพรให้แก่เราแทบทุกอย่าง        เรามีความสุขเป็นอย่างมากแต่เธอเคยบอกผมว่าโชคดีอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว        วันหนึ่งตอนปลายเดือนกันยายนเมื่อผมออกไปล่าสัตว์        เธอขับรถม้าตัวน้อยของเราออกไปพร้อมกับนางพยาบาลและเด็กไม่มีผู้ชายไปด้วย           เพื่อไปเยี่ยมคุณนายสครูปที่เพิ่งคลอดบุตรเมื่อเร็ว ๆ นี้เช่นเดียวกัน       เธอออกไปเช่นนี้บ่อย ๆ เพราะว่าม้าน้อยเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไว้นานแล้วมันเชื่องเหมือนแกะ"

    จากคุณ : Sv - [ 28 ส.ค. 45 10:40:35 ]