Jude Law (ตอนที่ 1)

    จูด  ลอว์
    ผู้ชายมีอยู่สองแบบ  แบบแรก:  เป็นพวกที่มีรอยสักชื่อแฟนโชว์หราอยู่นอกร่มผ้า   เป็นคนไม่ชอบเก็บงำความรู้สึก  ไม่เคยเดือดร้อนว่าอะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเปลี่ยนไป หรือความรักจะจืดจาง   คนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันโดยไม่เสียเวลาค้นหาตัวตนในอีกสิบยี่สิบปี หรือห้าสิบปีข้างหน้า  (หรือแม้แต่ตอนนี้ก็เถอะ)  คนที่ไม่แคร์ว่ารอยสักอันนั้นจะเป็นยังไงบนเนื้อหนังเหี่ยว ๆ ยามแก่ตัวลง  เพราะเขาไม่เคยนึกภาพตัวเองยามแก่  ผู้ชายที่ไม่สามารถจินตนาการตัวเองเป็นอื่นได้นอกจากตัวเองในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยพลัง น่ารัก โชคดี มีสุข
    กับผู้ชายอีกประเภท:  พวกไม่มีรอยสัก....
    จูด ลอว์  หนุ่มหล่อพ่อลูกสามวัย 28  และกำลังดังเปรี้ยงปร้าง  จัดเป็นพวกที่มีรอยสัก  แต่งงานอยู่กินมาร่วม 4 ปีแล้วกับเซดีย์ ฟรอสต์ เป็นนักแสดงเหมือนกัน (Bram Stoker’s Dracula)  เขามีรอยสักเป็นเนื้อเพลง Sexy Sedie ของเดอะ บีเทิ้ลยาวสามแถว  สักไว้ที่ด้านหลังของข้อศอกข้างซ้าย
    You came along / To turn on everyone / Sexy Sadie
    นับแล้วตั้ง 37 ตัวแน่ะ  คงเจ็บน่าดู
    หากลอว์เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า  เขาคงสามารถติดเครื่องไฟฟ้าในบ้านได้หมดทุกชิ้นด้วยความไฟแรงของเขา    ในเช้าวันสดใสกลางฤดูใบไม้ผลิ  เรานัดกันในร้านอาหารกรีกบรรยากาศดีแถวบ้านของลอว์ทางเหนือของลอนดอน  แหล่งถิ่นฐานของผู้มีอันจะกินใกล้กับ พริมโรส ฮิล  (แถบนั้นเป็นบ้านก่ออิฐสูง 3 ชั้น  หน้าต่างที่เรียงรายด้วยกระถางต้นไม้สามารถมองออกไปเห็นแม่น้ำเทมส์ได้   รถเข็นเด็กแบบทันสมัยไฮเทคเลื่อนไปมาบนถนน  และมีเสียงเพลงแว่วอยู่กลางอากาศ)
    ลอว์ได้ที่นั่งเป็นบูธสำหรับสี่คน  ซึ่งก็ดีแล้วเพราะเขายุกยิกอยู่ไม่สุขยังกับลูกหมาอัลเซเชี่ยนขี้เล่น  รูปโฉมสง่างามแต่มีเรี่ยวแรงเหลือกำลังและไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ สักนาที  ประเดี๋ยวก็โน้มไปข้างหน้า  เดี๋ยวก็นั่งเอนไปข้างหลัง  สักครู่ก็ชันเข่าขึ้นมาได้เดี๋ยวเดียวแล้วยกตัวขึ้นมาใหม่  แล้วนั่งห่อไหล่งอตัวจนหน้าเกือบทิ่มโต๊ะ  ลอว์เป็นมังสวิรัติสั่งอาหารจานผักมาทีเดียว 6 ที่  “ผมขอถั่วจานนึง  ชีสหนึ่งที่  กรีกสลัด  ฮัมมูส แท็บโบเล และก้อมันฝรั่งด้วยนะครับ”  แล้วคุ้ย ๆ เขี่ย ๆ  และชิมมันไปเสียทั่วทุกจาน

    ลอว์หุ่นผอมสูง  ดูชะลูดยังกับเสาไฟฟ้าแม้จะสุมเสื้อมาอย่างหนาแล้วก็ตาม  วันนี้เขาสวมเสื้อผ้าเข้ารูปโทนสีเทาเข้มอมน้ำเงินทุกชิ้น  ไม่ว่าจะเป็นเชิร์ต สเวทเตอร์หรือสูท  สวมรองเท้าไนกี้สีขาวสะท้อนแสงคู่ใหญ่  และติดกระดุมข้อมือสีทองรูปหัวกระโหลก   รูปหน้าหล่อเหลือร้ายที่ถูกปั้นแต่งให้โหนกหรือนูนอย่างได้สัดส่วนเหมาะเจาะพอดี   ขนตาล้อมรอบดวงตาสีเขียวอมน้ำเงิน  ส่วนผมหยักศกของเขานั้นดกหนายังกับไม้ในป่าดงดิบ  วันนี้เขาหวีมันเสียเรียบแปร้
    ตัวจริงของลอว์เต็มไปด้วยชีวิตชีวา  กันเอง  เปิดเผยและอบอุ่น  แตกต่างกับมาดขรึม ๆ ในจอที่เราเห็นเสมอ   ลอว์ฝีมือกินขาดกับบทชายบ้าอำนาจผู้ชอบย่ำยีคนอ่อนแอไร้น้ำยา  อย่างใน Gattaca ภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกของเขาในปี 1997   รับบทเป็นมนุษย์สายพันธุ์สมบูรณ์แบบที่กลายเป็นอัมพาตอย่างน่าสมเพช  แล้วคอยแต่จะข่ม อีธาน  ฮอล์ค อยู่ตลอดทั้งเรื่อง   หลังจากภาพยนตร์เรื่องนั้น ออกฉาย  เหล่าเอเยนต์ในแอลเอตบเท้ากันเข้ามาเสนอบทให้เขามากมาย  แต่ลอว์เมินข้อเสนอเหล่านั้นหันไปเล่นเป็นเกย์แทนถึงสองครั้งติด ๆ กัน  ครั้งแรกในบทของโสเภณีชายที่ถูกออฟโดยเศรษฐีชาวใต้ (รับบทโดย เควิน สเปซี่)  ในภาพยนตร์เรื่อง  Midnight in the Garden of Good and Evil  และถัดมาในบทของ โบซี่  คู่ขาหนุ่มเอาแต่ใจ  ที่ทำลายชีวิตของออสก้า ไวล์ด (สตีเฟน ไฟร์) ในเรื่อง Wilde  ตามมาด้วยรับบทตัวรองของหนุ่มอ่อนต่อโลก  ผู้ต้องการเรียนรู้ชีวิตจาก เจนนิเฟอร์ เจสัน ลี ในหนังเขย่าขวัญของเดวิด โครเนนเบิร์ก เรื่อง eXistenZ
    “พวกดาราหนุ่ม ๆ มักไม่ยอมเล่นบทนี้เหมือนจูด  เพราะกลัวจะถูกมองเป็นพวกไก่อ่อนซึ่งฟังดูแย่พอ ๆ กับเล่นเป็นคนง่อยหรือเกย์นั่นแหละ  ดาราชายส่วนมากชอบบทแมน ๆ เพราะรู้สึกสบายใจที่เล่นใน
    บทที่ตัวเองเป็นอยู่  แต่จูดไม่กลัวเสียภาพพจน์แม้ว่าคนอื่นจะกลับคิดว่านี่เป็นทางเลือกที่เสี่ยงเอาการ  เหตุที่เขาไม่ต้องแคร์เพราะมาดเขาแมนเหลือเฟือจนไม่จำเป็นต้องไปนั่งพะวงกับมัน”  โคเนนเบิร์กพูด
    ไม่ต้องสงสัยในความแมนของเขาหรอก  เพราะครั้งหนึ่งระหว่างเข้ากล้องเรื่อง eXistenZ   เขาโผล่เข้ามาในกองถ่ายพร้อมตาเขียวปูด  เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ไอ้หนุ่มคนหนึ่งมาชนภรรยาเขาที่บาร์  หมอนั่นชกหน้าเขาก่อนแล้วลงเอยที่ว่าถูกลอว์อัดคว่ำไป  เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เขารู้สึกผิดชอบชั่วดีกับผลที่ตามมา  “เพราะช่างแต่งหน้าต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อปกปิดรอยฟกช้ำดำเขียวนั่น” โคเนนเบิร์กยังจำได้  “แถมมันยังช้ำเลือดช้ำหนองอยู่นานเลยล่ะ”
    “ถ้าคุณเล่นเป็นเกย์แล้วทำให้คนอื่นเชื่อได้  แล้วพอกลับมาเล่นเป็นผู้ชายแล้วเขาก็เชื่อคุณอีก  บอกได้เลยว่าคุณประสบความสำเร็จในการเป็นนักแสดงแล้ว”  ลอว์พูด  “แปลว่าคุณสามารถทำให้คนดูเชื่อว่าคุณคือตัวเดียวกับบทที่คุณเล่น   ผมว่ายิ่งได้รับบทที่ฉีกออกไปจากเดิมได้บ่อยเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้คนดูคล้อยตามคุณได้ง่ายเท่านั้นเพราะเขาไม่เคยรู้ได้เลยว่าตัวจริงของคุณเป็นยังไง”

    ปี 1999 ลอว์ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Talented Mr. Ripley รับบทเป็นดิกกี้ กรีนลีฟ  หนุ่มไฮโซเจ้าเสน่ห์ที่วัน ๆ เอาแต่ลอยชายกับคอยปั่นหัวแมท เดมอน  เมื่อเขาปรากฏตัวด้วยชุดว่ายน้ำร่างเปียกโชกอยู่บนชายหาดที่อิตาลี  เส้นทางดาราอนาคตไกลดูจะอยู่แค่เอื้อม  เขาถึงกับได้รับการเสนอชื่อดาราสมทบชายยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์  แต่พลาดรางวัลนี้ไปให้กับไมเคิล เคน  แล้วเขาก็จบเส้นทางหนังอินดี้ไว้แต่เพียงเท่านี้
    หลังได้แจ้งเกิดจากบทบาทใน  Ripley แล้ว  ลอว์เริ่มได้รับบทเด่นต่อจากนั้น  แถมยังได้แสดงนำในภาพยนตร์ทุนสูงอีกหลายเรื่อง  ตั้งแต่ Enemy at the Gate  ภาพยนตร์อีพิคเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีทุนสร้างถึง 80 ล้านเหรียญ  ลอว์เล่นเป็นทหารแม่นปืนชาวรัสเซียที่ถูกปลุกปั้นจนดังด้วยปลายปากกาของคอลัมนิสต์นักปลุกกระแส (รับบทโดย  โจเซฟ ไฟนน์ )  และในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  เขาเข้าฉากเรื่อง Road of Perdition ของผู้กำกับ แซม เมนเดส (American Beauty)  ประกบกับทอม แฮงค์   ล่าสุดเขาได้เล่นในหนังฮอตฮิตของผู้กำกับสปีลเบิร์กเรื่อง A.I. อีกด้วย
    ดาราที่เคยร่วมงานกับลอว์ต่างก็ชื่นชมเขากันทั้งนั้น  “จูดเป็นคนสนุกสนานเฮฮาที่สุดเท่าที่ผมรู้จัก”  ดาราเด็ก ฮาลีย์ โจเอล ออสเมนต์ (The Sixth Sense) ที่รับบทนำในเรื่อง A.I. พูดถึงลอว์  “เขาจะต้องมีอะไรให้เราตื่นเต้นทุกวันและทำให้ทุกคนในกองถ่ายสนุกไปด้วย  เขาเหมือนเด็กเลยล่ะครับ”  
    “จูดเป็นนักแสดงด้วยหัวใจ”  ไฟนน์กล่าว  “เขาจะไปศึกษาบทมาอย่างจริงจัง  พอมาเข้าฉากแล้วเขาจะดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติ และเปี่ยมไปด้วยพลัง  ผมดีใจที่เคยได้ร่วมงานกับนักแสดงเจ๋ง ๆ อย่างนี้”
    “ฉันไม่เคยเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่รุ้จักควบคุมความสามารถของตนเองได้ดีถึงขนาดนี้”  แคทเธอลีน เทอร์เนอร์กล่าว  เธอเล่นเป็นแม่ของลอว์ที่มีสัมพันธ์กับลูกชายของตัวเอง ใน Indiscretions ละครบอร์ดเวย์เรื่องแรกของเขาเมื่อปี 1995  ซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างมากกับฉากดาราหนุ่มปรากฏตัวด้วยร่างเปลือย  “เขาอายุเพิ่งจะ 22 ตอนนั้นแต่ เล่นได้อย่างไม่ขัดเขิน   ฉันยังบอกกับตัวเองเลยว่า ‘เจ้าหนุ่มนี่รู้จักตัวเองดีและรู้ว่าต้องการอะไร’  ซึ่งไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็คิดแบบนั้นเป็น   ตัวฉันเองยังต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ กว่าจะบรรลุถึงทางนั้น”
    ในบรรดาหนังที่ลอว์แสดง  หากลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าเขามักจะหนีไม่พ้นบทหนุ่มหน้าตาดีมีเสน่ห์  “ผมไม่ยักสังเกตแฮะ”  เขากล่าวอย่างถ่อมตัว  “แต่...ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมหวังว่าเขาเลือกผมด้วยเหตุผลอย่างอื่นด้วย  ในฐานะที่เป็นนักแสดง  อะไรก็ตามที่จำกัดบทบาทของคุณ  ไม่ว่าจะเป็นคนดูดีหรืออัปลักษณ์  ก็เป็นอะไรที่น่าเซ็งเหมือนกันนะคุณ”  ( ‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหล่อเกินไปก็เป็นปัญหากับเขาได้เหมือนกันนะเนี่ย’ โคเนนเบิร์กพูดหน้าตาย)
    นอกจากนี้ยังอุตสาห์มีคนตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า  ลอว์มักจะได้บทของผู้ชายแสนเพอร์เฟ็คน่าอิจฉาจนเพื่อนรักยังอยากจะกำจัดให้พ้นทาง ในเรื่อง  Enemy at the Gate ตัวละครของไฟนน์พูดกับลอว์ว่า  “มีเรื่องให้เราต้องริษยาอยู่บนโลกใบนี้เสมอ  มีคนรวยกับคนจน  คนรวยความสามารถ  คนรวยรัก”  รู้สึกว่าจูด ลอว์จะรวยหลายอย่างเลยทีเดียว

    A.I. เรื่องราวสไตล์เจ้าหุ่นพีน็อคคีโอของจักรกลเด็กน้อย (ฮาลีย์ โจเอล ออสเมนต์)  ผู้เฝ้ารอคอยหารัก   เป็นแก่นเรื่องที่ผู้กำกับสแตนลีย์  คูบริก (A Clockwork Orange, 2001: Space Odyssey, Eyes Wide Shut)  ติดอกติดใจนักหนาและรำไรจะหยิบมาสร้างหลายครั้งแล้วตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา  จนกระทั่งปี 1996  เขาเริ่มนำโปรเจ็คนี้มาคุยกับสตีเวน สปีลเบิร์ก   เพราะแนวของหนังต้องการเสนอเรื่องราวอันละเมียดของจิตใจผสมผสานด้วยเทคนิคหวือหวา   อันเป็นงานถนัดของสปีลเบิร์กอยู่แล้ว   หลังจากที่คูบริกเสียชีวิตในปี 1999 สปีลเบิร์กจึงเทคโอเวอร์โปรเจคนี้ไปทำเอง  (ตามที่ครอบครัวคูบริกขอร้องมา)  เขาดัดแปลงบทใหม่ให้เป็นสไตล์ของเขา  แต่ยังคงใจความสำคัญแบบของคูบริกไว้ครบถ้วน    เรื่องราวใน  A.I. เกิดขึ้นบนโลกอนาคตอันยุ่งเหยิง  ที่หุ่นยนต์อยู่ปะปนไปในสังคมมนุษย์  หุ่นยนต์เหล่านั้นเรียกว่าเมก้าส์ ( Mechas)  (มนุษย์บางพวกรังเกียจพวกเมก้าส์   ดังนั้นปัญหาก็เลยเกิดขึ้น)  สำหรับเมก้าส์แต่ละตัวนั้นจะถูกระบุหน้าที่เฉพาะตัวไว้อย่างชัดเจน  เช่น เมก้าส์คนสวน  เมก้าส์สาวเสริฟ  เมก้าส์ดาวตลก  และเมก้าส์ชนิดพิเศษ...เมก้าส์เด็ก  (แสดงโดยออสเมนต์)  ส่วนบทของลอว์คือ จิกโกโลว์ โจ เป็นเมก้าส์ขายบริการ  ซึ่งคอยปรนเปรอความสำราญทางกายให้แก่ลูกค้าที่เป็นมนุษย์  “เขาทำงานเก่งด้วยนะ”  ลอว์ยิ้มเมื่อเล่าถึงตรงนี้
    5 เดือนในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง A.I. เป็นไปอย่างลึกลับ   ถึงขนาดจะลงโรงฉายในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้านี้แล้ว  ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงปิดเงียบเป็นปริศนาอยู่นั่นเอง  เหล่านักแสดงต้องเซ็นสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายรายละเอียดใด ๆ ออกไป  แต่ลอว์มีทีท่ากระตือรือร้นอยากเผยไต๋ให้เรานิด ๆ หน่อย ๆ  “คูบริกวางประเด็นไว้ชัดเจนว่า  หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังประเภทว่าโลกอนาคตของเราจะเกิดอะไรขึ้น”  (ลอว์กับสปีลเบิร์กจะคุยกันเรื่องคูบริกบ่อย ๆ ในระหว่างเข้าฉาก)  “เรียกหนังเรื่องนี้ว่าเป็นเทพนิยายฉบับโลกอนาคตก็แล้วกัน”  นอกเหนือจากการถ่ายบลูสกรีนซึ่งมีเพียงไม่กี่วัน  เหล่านักแสดงต้องเข้าฉากกับหุ่นยนต์จริง ๆ “มันเหมือนจริงมากจนน่ามหัศจรรย์  ผมต้องเล่นให้เข้าขากับพวกมันด้วย”  ลอว์เล่าต่อ  “เวลามันออกมาเป็นหนังแล้วจะเห็นว่ามันไม่ธรรมดาเลย  แต่ความสำคัญอยู่ตรงขณะถ่ายทำ   ไม่ว่าคุณกำลังแสดงอยู่กับอะไรหรือกับใคร  มันจะเหมือนเกี่ยวพันกันอยู่จริง ๆ   ดูแล้วมันเหมือนจริงมาก คุณว่ามั้ย”
    นอกจากนี้ใน A.I. ยังมีฉากเต้นรำหลายฉากด้วย    ลอว์ต้องไปทำการบ้านด้วยการศึกษาลีลาของเฟรด แอชแตร์   ดูจังหวะจะโคนของ เรย์ โบล์เกอร์  และฟังแผ่นเสียงของแฟรงค์  สินาตร้า  เขาต้องดูหนังเรื่อง Yankee Doodle Dandy ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้เข้าถึงบทบาทของเจมส์ แคกนีย์  “สตีเวนต้องการให้ผมสวมวิญญาณของใครที่โรแมนติคสุด ๆ อย่างจีน เคลลี่ หรือ รูดอล์ฟ วาเลนติโน”  ลอว์เล่า  “ไม่ว่าจะเดินหรือนั่ง  ทุกย่างก้าวต้องเป็นจังหวะไปหมด  เช่นแบบนี้...(เขาแกล้งทำท่าให้หมวกไต่ลงบนแขน)  ผมต้องปล่อยใจให้อินกับมัน”  (ก่อนหน้านั้น  ประสบการณ์การเต้นรำของลอว์ มีอยู่แค่เบรคแดนซ์เท่านั้น แบบว่าท่าใช้หลังหมุนติ้วเป็นลูกข่างหรืออะไรเทือกนั้น  เขาวาดลวดลายอย่างว่านี้เป็นครั้งคราวแต่เป็นโชว์เฉพาะกิจสำหรับลูก ๆ ดูเท่านั้น  ได้แก่ ฟินวัยสิบขวบ  ลูกติดของภรรยาจากการแต่งงานหนแรก  แรฟเฟอร์ตี้ อายุสี่ขวบและหนูน้อยไอริส  แปดเดือน  “พวกเขาชอบดูมากกก....”  ลอว์เล่า  “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เต้นท่านี้กันแล้วตอนอายุ 16 ก็ตาม”)

    จากคุณ : สยามล - [ 1 ก.ย. 45 13:24:21 A:203.113.34.239 X: ]