ก่อนเข้าฉากเรื่อง A.I. ลอว์ต้องใช้เวลาเมคอัพอยู่นานถึงครั้งละ 3 ชั่วโมงทีเดียว มันก็ไม่ใช่อะไรที่วุ่นวายนัก เขาเล่า เป็นเอฟเฟคที่แสนจะธรรมดาเพียงแต่ไม่เคยมีใครใช้มาก่อนเท่านั้นเอง หน้าผมดูยังกะยางที่เอาสีไปพ่นไว้เลย แต่ยังไงคุณก็ยังคงเห็นเป็นตัวผมอยู่นั่นเองและผมก็เล่นเองทุกฉากด้วย
กระบวนการปลุกปั้นตัวละครจักรกลของลอว์นั้น ก็เหมือนการสร้างหุ่นยนต์นั่นแหละ ลอว์เล่าต่อ ตอนเขาลงมือสร้างตัวละครของผมขึ้นมา ผมเฝ้าแต่วาดภาพไอ้หุ่นกระป๋องนี่ในเวิร์คชอพว่าเขาจะใส่อะไรเข้ามาในตัวผม ผมจะทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้บ้าง แล้วสุดท้ายผมก็ถึงบางอ้อว่า ผมนี่แหละคือไอ้หุ่นกระป๋องตัวนั้นเอง เขาหัวเราะดังลั่น ผมนี่แหละที่สร้างตัวเอง สั่งการกับสมองตัวเอง ตัดสินใจเองว่าจะให้มันจะมีอารมณ์แบบไหน หรือแสดงออกมาอย่างไร สตีเวนบอกผมว่า เอาเลย ทำให้เขาเป็นมนุษย์อย่างที่คุณต้องการ ปล่อยให้ผมเป็นคนเตือนคุณเองหากคุณเริ่มเล่นนอกบท
สำหรับลอว์แล้ว บทบาทใน A.I. เป็นการท้าทายและทดสอบความสามารถของเขาโดยแท้ แต่เขามีเรื่องพูดเกี่ยวกับธีมของหนังเพียงแค่ว่า ใจความของมันอยู่ที่ว่า หากเราประดิษฐ์ชีวิตขึ้นมา เราคือผู้กำหนดชีวิตของมัน เราเป็นนายเหนือมัน เราเป็นผู้เลือกว่ามันจะเป็นอะไร มันจะต้องมีความสามารถด้านไหนหรืออะไรก็ตามแต่ แต่สิ่งสำคัญที่เราไม่สามารถโปรแกรมมันได้คือ ความรัก ความรักเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาไม่ได้ เขายักไหล่ สรุปแล้วตัวหนังอยากจะบอกว่า โดยแท้จริงแล้วเราเข้าใจตัวเราเองว่าอย่างไร มากกว่าจะบอกว่าชีวิตที่ประดิษฐ์ขึ้นนั้นต้องการอะไร ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร เขาว่ามันเป็นอะไรที่ต้องใช้สมองตรึกตรองมากไปหน่อย ซึ่งไม่ใช่นิสัยประจำตัวของเขา รู้สึกว่านี่เป็นเพียงครั้งเดียว ตลอดทั้งวันมาที่ลอว์กล่าวในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด
เคล็ดลับสำคัญในการแสดงของจูด ลอว์คือ ความตั้งใจ ไม่ว่าเขากำลังเล่นบทอะไรอยู่ ก็รู้สึกว่าเขากำลังทำอย่างนั้นอยู่จริง ๆ ลองนึกไปถึงตอนที่เขาพูดจาแดกดันสเปซี่ตามประสาแต๋วใน Midnight in the Garden of Good and Evil หรือฉากที่เขาประกอบปืนพลางโซ้ยอาหารหยุมแหยะน่าคลื่นไส้ไปด้วย (จริง ๆ แล้วคือมะเขือยาว) ในหนังเรื่อง eXistenZ หรือเฝ้าจับจ้องทหารเยอรมันไม่ให้คลาดสายตาใน Enemy at the Gate (ไฟน์เล่าให้ฟัง ลอว์ไม่เคยยิงปืนไรเฟิลมาก่อนในชีวิต แต่ตลอดการซ้อมและการถ่ายทำ ลอว์เกือบทำให้ครูสอนยิงปืนแทบเป็นบ้าตายเพราะเขายืนกรานเรียกอาวุธของเขาอย่างผิด ๆ ว่าเป็นปืนสั้น แต่เอาเหอะ เขารู้วิธียิงมันก็แล้วกัน) หรือแม้แต่ในเรื่อง Ripley แค่เขานอนแผ่อยู่กลางแสงแดดก็ทำให้รู้สึกว่า นั่นคือดิกกี้นอนแผ่อยู่กลางแสงแดดจริง ๆ
เขาเกือบปฏิเสธหนังเรื่อง Ripley แล้ว ผมโง่มากที่มองไม่ออกว่ามีอะไรในตัวดิกกี้ที่ผมอยากจะทำ จนในที่สุดผมถึงเข้าใจของผมเองว่า เขามีสันดานอะไรอย่างนึงคือเขาฉลาดแม้จะกวนตีนไปหน่อย คือเขาจะทำอะไรก็ตามที่เขาอยากจะทำ และคาดหวังให้คนอื่นทำแบบเดียวกับเขาด้วย คุณลองคิดดู ถ้าคุณชอบใครสักคน คุณคงปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำ หรือคุณต้องยอมให้เขาเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะเป็น แต่นั่นมันพูดง่ายทำยากเพราะเขาอาจจะอยากเป็นในสิ่งที่คุณไม่ชอบก็ได้ จริงไหม
งั้นแปลว่าลอว์ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอน่ะสิ ใช่ เขาพยักหน้ารับ เสมอเลยล่ะ อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อคุณได้รู้จักชีวิตของลอว์ สิ่งที่เขาต้องการอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคาดคิดมาก่อนก็เป็นได้ ชีวิตจริงของเขาแตกต่างจากบทเครียด ๆ ขรึม ๆ ที่เขาแสดงเสมอ และก็ไม่เหมือนเพื่อนสนิทของเขาอย่าง อีวาน แมคเกรเกอร์ หรือจอนนี่ ลี มิลเลอร์ (Trainspotting)ด้วย (เขารู้จักมักคุ้นกับเพื่อนซี้ทั้งสองนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วยังร่วมกันเปิดโปรดักชั่น เฮ้าส์ชื่อ Nature Nylon สำหรับเล่นละครและผลิตภาพยนตร์) ตัวจริงของเขารับบทบาทสามีและพ่อตั้งแต่อายุ 24 และเขาชอบบทนี้เสียด้วย ฟังดูเหมือนไม่น่าเชื่อ แต่ผมชอบเล่นบทนี้จริง ๆ ลูก ๆ ผมเป็นเด็กดีน่ารัก เวลาเขาพูดถึงลูกแล้วดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ฟินกับราฟเป็นคู่หูที่ดูแลกันดีเชียว ส่วนไอริสก็ไม่ค่อยงอแงนัก เอาแต่ร้องแต่ อา อา อา ทั้งวัน เดี๋ยวอาทิตย์นี้ผมจะเลี้ยงพวกเขาเองเพราะภรรยาของผมไปซ้อมบทที่เวียนนา (เป็นหนังของผู้กำกับ Jon Avnet เกี่ยวกับการจลาจลในสงครามโลกครั้งที่ 2 ) เพื่อน ๆ เขาหาว่าผมบ้าแต่ผมว่าเลี้ยงลูกนี่หมูจะตายไป
ผมไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเสาะหาชีวิตครอบครัวเลยนะ แค่รู้สึกว่าพอเจอแล้วมันใช่เลย ลอว์เล่าถึงชีวิตครอบครัวต่อ คือผมแน่ใจทุกลมหายใจเลยว่า ผู้หญิงคนนี้จะไม่มีวันทิ้งผมไป แล้วเรื่องลูกของเรา ตอนนี้เรามีกันอยู่ 5 คนพ่อแม่ลูก ซึ่งมันก็ไม่ใช่เกิดจากว่า ผมกับเซดี้วางแผนตั้งหน้าตั้งตาจะมีลูกกัน แบบว่านอนอยู่บนเตียงในเช้าวันอาทิตย์แล้วคิดกันว่า เอาล่ะ มีลูกดีกว่า มันแค่ถึงเวลาก็มาเอง
ลอว์ไม่รู้สึกว่าการที่จู่ ๆ ก็ต้องมารับผิดชอบครอบครัวเป็นภาระสำหรับเขา ผมกลับคิดด้วยซ้ำว่าพวกเขามาช่วยเติมเต็มให้ผม เพราะพวกเขาต้องการความเป็นจริงในชีวิตจากผม ต้องการความรับผิดชอบจากผม ผมดีใจที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการฝืนใจทำ แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะบีบให้ผมต้องสู้เพื่อขอสิทธิส่วนบุคคลบ้างก็ตาม แต่นั่นก็เป็นในทางที่ขำขันไม่ซีเรียสนะครับ เช่นแบบว่า ผมก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา บางครั้งก็อยากหนีจะขึ้นไปนอนอ่านหนังสือของผมคนเดียวเงียบ ๆ เหมือนกัน บางทีมันก็ทำให้คุณนึกถึงสิ่งที่คุณอยากจะทำที่เป็นตัวของคุณเอง แต่ผมก็มีความสุขกับการมีลูกมากจริง ๆ
ถ้าเขายังไม่มีลูกล่ะ การแสดงเป็นธุรกิจประเภททำตามอำเภอใจ โดยเฉพาะคนที่โชคดีมีทางเลือกมาก ๆ ผมว่าท่าจะให้ดีชีวิตมันควรมีกฏกติกาอะไรสักหน่อยเพื่อกำหนดหนทางให้เราบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วขอบเขตมันอยู่ตรงไหนล่ะ แบบว่าจะไปบอร์เนียวสัก 6 เดือนแล้วก็ไปเลย และก็ไปปารีสต่ออย่างนั้นหรือ แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ คุณจะยังคงมุ่งหน้าไปยังทางที่ผิด ๆ เพราะเชื่อว่าคุณได้อยู่บนโลกที่บันดาลได้ทุกสิ่ง บางทีคุณก็ต้องยอมมีอะไรแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ บ้าง
ลอว์เติบโตที่ทางตอนใต้ของลอนดอน พ่อแม่เป็นครูซึ่งขณะนี้กำลังทำธุรกิจโรงหนังและอาศัยอยู่ที่ปารีส มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อนาตาชา เป็นช่างภาพ เขาพูดชีวิตวัยเด็กของเขาว่า ไม่โลดโผน ออกนอกลู่นอกรอยบ้าง บางทีก็น่ารักยังกับเทวดา ที่บ้านผมไม่ค่อยเข้มงวดมากนัก ไม่แบ่งพี่แบ่งน้อง ผมอยากให้ครอบครัวของผมเองสามารถเป็นอย่างนั้นได้ด้วย แต่ผมก็ไม่เคยกะเกณฑ์อะไรไว้ล่วงหน้า เช่นว่าต้องมีลูกสามคนนะ ต้องมีบ้านหลังใหญ่ มีครัวสวย ๆ อะไรเทือกนั้น ผมเป็นประเภทมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวผมมาตลอดคือ ผมอยากเป็นนักแสดง โอกาสการแสดงครั้งแรกในชีวิตวิ่งเข้าหาตอนอายุ 5 ขวบ เป็นละครของโรงเรียนเรื่อง เซนต์จอร์จกับมังกร อยากรู้จังว่าเขาเล่นเป็นตัวอะไร ก็เซนต์จอร์จไง! เขาตอบราวกับว่ามันจะเป็นอื่นได้ยังไง เขายังจำได้ว่าเขามี ดาบอันเบ้อเริ่ม ด้วย
จนอายุ 13 ปี ลอว์รู้สึกว่าเขาไม่เหมาะจะเรียนหนังสือต่อแล้วจึงย้ายไปเรียนที่ Britains National Youth Music Theatrre. แล้วในที่สุดก็เลิกเรียนไปดื้อ ๆ เมื่ออายุ 17 เพื่อไปแสดงในละครเรื่อง Families และชีวิตจากนั้นเขาก็ทำงานมิได้หยุด ตอนผมตัดสินใจเลิกเรียนหนังสือเพื่อแสดงหนังนั้น ผมรู้สึกโคตรแฮปปี้เลย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกมีความสุขจริง ๆ มันเหมือนกับได้ส่งภาษาที่ตัวเองเข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อค้นพบความสุขบทแรกแล้ว ต่อมาเมื่อผมพบกับเซดีย์ มันก็เหมือนกับการค้นพบความสุขในบทถัดไป คือการได้ตกหลุมรัก และพอมีลูกแล้ว บทนี้จะยาวหน่อยเหมือนเดินอยู่บนถนนที่มีเส้นทางอีกยาวไกล
หากชีวิตการแสดงมันตันเข้าสักวัน มีแต่บทห่วย ๆ เดิม ๆ มาให้ผมเล่น ผมเลิกเล่นหนังมันเลยดีกว่า ผมไม่จนตรอกถึงขนาดนั้นและผมจะไม่เป็นอย่างนั้นด้วย ว่ากันตรง ๆ เลย ถ้ามันทำแล้วไม่เวิร์คนะผมไม่ทู่ซี้ต่อไปหรอก ผมจะหันไปทำอย่างอื่น ผมจะยังอยากยึดอาชีพนี้อยู่ตราบเท่าที่ผมสามารถทำแล้วประสบความสำเร็จ
ว่าพลางถอนหายใจอย่างสบายใจ เขาขอบคุณทุกคนสำหรับอาหารกลางวัน รวมทั้งบริกร เจ้าของร้านและฉันด้วย เออ แล้วจริง ๆ แล้วลอว์มีความสุขอย่างที่เห็นหรือเปล่า อ๋อ แน่นอนสิ เอ้อ แต่ก็ไม่ใช่ตลอดเวลาหรอกนะ เนี่ยแหละที่มันน่าเบื่อ เขาพูดแล้วหัวเราะขำ แต่เอาล่ะ อาหารก็อร่อย คุยก็สนุก คุณควรจะมีความสุขกับมันนะ ก็มันเพิ่งผ่านไปได้ 5 นาทีนี้เอง คนอื่น ๆ เขาบอกว่า 15 นาทีแล้ว แต่ผมว่า 5 นาทีเองนะ แต่ความจริงที่น่าเศร้าก็คือว่า เวลานี้แม่พูดถึงอะไรที่เกี่ยวกับผม ผมจะคิดว่า เฮ้ย นั่นมันเกิดขึ้นตั้ง 20 ปีแล้วนี่ งั้นก็แปลว่าจริง ๆ แล้วผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย คุณเพียงแต่โตขึ้น แล้วกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง แล้วมันก็จบ เขายิ้มเจ้าเล่ห์ ชีวิตมันสั้นนะ คุณโตขึ้น แล้วก็เด็กลง แล้วมันก็จบ
แปลจาก นิตยสาร Premier July 2001
จากคุณ :
Jude Law (ตอนที่ 2)
- [
1 ก.ย. 45 13:28:39
A:203.113.34.239 X:
]