น้ำตามังกรไฟกับชายผู้กล้าหาญ (ขอแปะอีกทีอันตะกี้เปิดไม่ได้)

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ใกล้กับภูเขาไฟลูกใหญ่
    ได้เกิดโรคร้ายที่ไม่มีใครรักษาได้ ทำให้เด็กๆในหมู่บ้านแห่งนั้นล้มป่วยลงทีละคนสองคน
    จนกระทั่งไม่มีเด็กคนไหนสามารถลุกจากเตียงได้ บรรดาพ่อแม่ต่างพากันกังวลใจ
    เมื่อลูกไม่สบาย ก็ไม่มีใครอยากออกไปทำงาน
    คนทำขนมไม่ยอมอบขนมปัง ในโรงรีดนมไม่มีนมเลยสักถัง
    เมืองทั้งเมืองดูคล้ายเป็นเมืองร้าง
    ไม่มีผู้คนบนถนน ไม่มีอาหาร ไม่มีเสียงหัวเราะของเด็กๆ

    " เราจะทำยังไง "
    พวกผู้ใหญ่ได้มาร่วมกันหาทางแก้ไขในวันหนึ่ง

    " เทพธิดาดอกไม้เป็นเจ้าของตัวยาต่างๆมากมาย นางน่าจะช่วยเราได้ "
    แม่เฒ่าที่มีอายุยืนยาวที่สุดในหมู่บ้านเสนอด้วยเสียงแหบแห้ง

    " ตกลง งั้นข้าจะไปหาเทพธิดาแห่งดอกไม้เอง "
    ชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่สุดในหมู่บ้านอาสา
    แล้วเริ่มออกเดินทางไปตามหาเทพธิดายังดินแดนดอกไม้
    ที่นั่นเขาพบเทพธิดากำลังหลับสบายอยู่ในดอกคุณนายตื่นสายดอกหนึ่ง

    " ตื่นเถิดเทพธิดา ข้ามีเรื่องให้ท่านช่วย "
    ชายหนุ่มร้องปลุกเทพธิดาดอกไม้ และเล่าเรื่องโรคร้ายที่เกิดขึ้นให้นางฟัง

    " โรคที่เด็กๆเป็นเราเองก็ไม่มียารักษาได้ "
    เทพธิดาดอกไม้กล่าว " ต้องใช้น้ำตามังกร "

    " แล้วข้าจะได้น้ำตามังกรมาได้อย่างไร " ชายหนุ่มถาม

    " เราไม่สามารถบอกวิธีกับท่านได้ แต่จงจำเอาไว้ มีเพียงผู้กล้าหาญเท่านั้นที่จะได้ครอบครองน้ำตามังกร "
    เทพธิดาดอกไม้ตอบแล้วล้มตัวลงนอนอีกครา

    ชายหนุ่มจึงเดินทางจากมาและมุ่งหน้าไปยังวังมังกรที่อยู่บนยอดภูเขาไฟ
    ระหว่างทางเขาต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆมากมาย
    ความมืดในป่าใหญ่ หุบเหวลึกอันตราย และสะเก็ดไฟจากปากปล่องภูเขา
    ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมุนที่เทพเจ้าแห่งความกลัวส่งมายับยั้งเขาไว้
    แต่ชายหนุ่มก็ใช้ความกล้าหาญในหัวใจ ฝ่าด่านที่อันตรายเหล่านั้นจนไปถึงปากทางเข้าวัง

    " เจ้ามาทำอะไร "
    มังกรไฟตัวใหญ่ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูถาม

    " ข้าต้องการน้ำตามังกร "
    ชายหนุ่มประกาศอย่างแข็งกร้าว

    " กลับไปเถอะ น้ำตามังกรเป็นสิ่งมีข้าเกินกว่าคนอย่างเจ้าจะฝันถึง "
    มังกรไฟกล่าวพลางพ่นไฟออกจากจมูก ชายหนุ่มกระโดดหลบเปลวไฟนั้น และชักดาบขึ้นทันใด

    " ผู้กล้าหาญเท่านั้นที่จะครอบครองน้ำตามังกรได้ "
    คำกล่าวของเทพธิดาดอกไม้ยังดังก้องอยู่ในหู

    " จะอย่างไร เราก็ขอสู้กับมังกรไฟดูสักตั้ง "
    ชายหนุ่มผู้กล้าหาญคิด พลางแทงดาบไปยังมังกร

    มังกรไฟที่น่าสงสาร ไม่ทันระวัง จึงถูกดาบของชายหนุ่มแทงเข้าไป
    แต่มีเพียงเลือดมังกรสีเขียวเท่านั้นที่รินไหล จะอย่างไรก็ไม่มีน้ำตาที่ชายหนุ่มต้องการ

    " เราทำอะไรให้เจ้า จึงได้ทำร้ายเราเช่นนี้
    เจ้าต้องการน้ำตาเรา เรามีสิทธิ์จะให้หรือไม่ให้เจ้าก็ได้นี่ "
    มังกรไฟกัดฟันกล่าวด้วยความเจ็บปวด
    คำกล่าวของมังกรทำให้ชายหนุ่มสำนึกได้ แม้เขาต้องการน้ำตามังกรไปรักษาโรคร้าย
    ก็ควรจะขอกับมังกรไฟดีๆ บางทีมังกรไฟอาจจะให้โดยไม่ต้องทำร้ายกัน

    "ท่านมังกรไฟ ข้าต้องการน้ำตาของท่านไปรักษาโรคร้ายของเด็กๆในหมู่บ้าน
    มีเพียงน้ำตาของท่านเท่านั้นที่จะรักษาได้ มันจึงสำคัญมาก
    และเป็นเพราะข้าอยากได้มันจนเกินไป จึงลงมือทำร้ายท่าน "
    ชายหนุ่มกล่าวอย่างเสียใจ เขามองมังกรไฟที่นอนหายใจรวยรินด้วยความรู้สึกผิด

    "ข้าขอโทษ "
    เขากล่าวคำนั้นออกไปอย่างจริงใจแทนการยอมรับความผิดที่ทำไปทั้งหมด

    ทันใดนั้นเอง น้ำตามังกรหยดหนึ่งก็หยดลงมา
    และแทบจะทันทีที่มันไหลงสัมผัสแผล เลือดของมังกรก็หยุดไหล
    และมังกรไฟก็หายเป็นปกติ

    " เอาล่ะ พ่อหนุ่มเราเข้าใจเหตุผลของเจ้าและจะยกโทษให้
    นี่คือน้ำตามังกรไฟที่เป็นยาที่ดีที่สุด เจ้าเอากลับไปรักษาเด็กๆเถิด "
    มังกรไฟกล่าวพลางขยับปีกบินกลับไปยังปราสาทบนยอดเขา
    ส่วนชายหนุ่มก็นำน้ำตามังกรกลับไปยังหมู่บ้านและเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง




    " แล้วทำไมสุดท้ายมังกรถึงร้องไห้ล่ะคะ "
    เด็กหญิงแก้มแดงที่หายป่วยเป็นปกติแล้วถาม

    " เพราะชายหนุ่มได้ทำในสิ่งที่กล้าหาญที่สุดยังไงล่ะจ๊ะ "
    คุณแม่ใจดีที่กลับมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เด็กหญิงฟังอีกทีตอบ

    " อะไรเหรอคะแม่ สิ่งที่กล้าหาญที่สุด ตอนที่เขาฝ่าด่านอันตราย หรือตอนที่เขาสู้กับมังกรไฟ "
    เด็กหญิงถามต่ออย่างเด็กช่างสงสัย คุณแม่ใจดียิ้มพลางลูบษศีรษะเล็กๆนั้นเบาๆ

    " ไม่ใช่หรอกจ้ะ ถึงแม้ว่าการฝ่าด่านอันตรายหรือการสู้กับมังกรไฟจะเป็นสิ่งที่กล้าหาญ
    แต่สิ่งที่กล้าหาญที่สุดที่ชายหนุ่มทำ คือการยอมรับผิดและกล่าวคำขอโทษ
    มีไม่กี่คนหรอกนะจ๊ะที่ทำเช่นนั้นได้ และมังกรไฟก็เข้าใจจึงยอมหลั่งน้ำตาให้ความกล้าหาญนั้น "

    " งั้นถ้าหนูยอมรับเวลาทำผิด หนูก็เป็นเด็กที่กล้าหาญได้
    โดยไม่จำเป็นต้องไปปราบมังกรไฟใช่ไหมคะ "

    "ใช่จ้ะลูกรัก "



    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในหมู่บ้านก็มีเด็กๆที่กล้าหาญเพิ่มขึ้นมากมาย
    และเมื่อเด็กๆเหล่านั้นเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่กล้าหาญ
    กล้าที่จะทำสิ่งดีงาม กล้าที่จะเสียสละ กล้าที่จะให้อภัย
    และเหนือสิ่งอื่นใด กล้าที่จะยอมรับความผิด


    ฉันหวังไว้อย่างนั้น .

    จากคุณ : เจ้าหญิงน้อย - [ 23 ก.ย. 45 17:26:54 A:202.183.138.208 X: ]