Night and Night's Travelers

    ดูเหมือนสองกระทู้แรกจะมีปัญหา ขอลองใหม่นะคะ ขออภัยจริงๆ เรื่องนี้เป็นหนึ่งในสามเรื่องสั้นที่รวมอยู่ใน Asleep ค่ะ

    Night and Night's Travelers (Banana Yoshimoto)

    *** (1) ***
              ซาราห์ที่รัก
              เมื่อครั้งที่เราไปส่งพี่ชายของฉันนั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิ พี่ชายกับบรรดาสาวๆ ของเขารออยู่ที่สนามบินแล้วตอนที่เราไปถึง ใช่แล้วล่ะ ตอนนั้นเขามีแฟนๆ อยู่เยอะทีเดียว และพวกเจ้าหล่อนก็แต่งตัวสวยราวกับดอกไม้ ท้องฟ้าใสแจ่มอย่างน่าอัศจรรย์….

        เมื่อร่างจดหมายเก่าฉบับนี้ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของลิ้นชักช่องหนึ่ง ความทรงจำที่ท่วมท้นอยู่ก็พรั่งพรูออกมา ช่างทรงพลังเสียจนกระทั่งฉันต้องหยุดทำความสะอาดและได้แต่นั่งนิ่ง ฉันอ่านข้อความภาษาอังกฤษนั้นออกมาดังๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
        จดหมายฉบับนั้นเป็นข้อความถึงหญิงสาวอ่อนวัยที่โยชิฮิโรเคยคบด้วยสมัยที่เขาเรียนอยู่มัธยมปลาย  เธอชื่อว่าซาราห์ และมาญี่ปุ่นในฐานะนักเรียน โยชิฮิโร่เป็นพี่ชายของฉัน เขาเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว
        เกือบจะทันทีหลังจากที่ซาราห์กลับไปบอสตันแล้ว โยชิฮิโรก็เริ่มพูดว่าเขาอยากจะรู้ว่าการไปอยู่ต่างประเทศนั้นเป็นอย่างไร อะไรทำนองนั้น และแล้ววันหนึ่งเขาก็จากไปอย่างนั้นโดยแทบไม่ได้หยุดคิดเลยว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขาทำงานนอกเวลาหลายอย่างที่นั่น ทำโน่นนิดนี่หน่อย และไม่ได้กลับบ้านเลยเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี
        ใช่แล้ว… ขณะที่ฉันอ่านจดหมาย ฉันก็จำได้มากขึ้นว่าสภาพตอนนั้นเป็นอย่างไร โยชิฮิโร่หายไปอย่างกะทันหันและแทบจะไม่ติดต่อกับพวกเราเลยจนกระทั่งซาราห์เป็นกังวล เธอถึงต้องส่งจดหมายมาอธิบายให้ฉันฟังว่าชีวิตของพี่ชายฉันเป็นอย่างไรบ้าง จดหมายที่ฉันเจอเป็นฉบับที่จะตอบกลับไป ฉันเรียนอยู่มัธยมปลายตอนที่ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ และความคิดที่ว่าทุกสิ่งจะมาลงเอยแบบนี้ไม่เคยที่จะผ่านเข้ามาในสมองของฉันเลย ฉันเขียนถึงเด็กสาวชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นคนที่ใจดีและน่ารักมากเสียด้วยสิ ฉันต้องเปิดพจนานุกรมระหว่างที่เขียนจดหมาย มือสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น ซาราห์เป็นคนที่น่ารัก มีดวงตาสีฟ้าแฝงแววฉลาด ชาวญี่ปุ่นทุกคนชื่นชมเธอ และเธอก็คอยติดสอยห้อยตามพี่ชายฉันเสมอ เธอเรียกเขาว่า โย-ชิ-ฮิ-โร่… โย-ชิ-ฮิ-โร่ ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุดรัก
        ซาราห์
        “ถ้าเธอทำการบ้านวิชาภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ให้ซาราห์ช่วยสิ”
        โยชิฮิโร่เปิดประตูห้องฉันผางเข้ามาแล้วก็บอกอย่างนั้น นั่นเป็นการแนะนำซาราห์อย่างไม่มีพิธีรีตองในครั้งแรกที่เขาพาเธอมาให้รู้จักฉัน เธอเพิ่งไปดูการฉลองเทศกาลฤดูร้อนที่วัดแห่งหนึ่งในละแวกนั้นมา ก็เลยแวะมาที่บ้านเราระหว่างทางกลับบ้าน เผอิญว่าตอนนั้นฉันกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ พยายามไล่ทำการบ้านระหว่างปิดเทอมฤดูร้อนให้เสร็จ ในเมื่อเรื่องอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน ฉันก็เลยให้เธอเขียนเรียงความภาษาอังกฤษให้เสียเลย เธอดูกระตือรือล้นที่จะช่วยเหลือเสียจนฉันรู้สึกว่าถ้าปฏิเสธก็คงจะดูใจร้ายไปหน่อย ที่จริงแล้ว ไม่ได้โกหกนะ ภาษาอังกฤษน่ะเป็นวิชาที่ฉันเก่งที่สุดตลอดมาอยู่แล้ว
        “ฉันให้ยืมตัวเธอชั่วโมงหนึ่งละกัน แต่มากกว่านั้นไม่ได้นะ หลังจากนั้นแล้วฉันจะเดินพาเธอไปส่งที่บ้านละ” โยชิฮิโร่ว่า จากนั้นเขาก็ไปนั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น
        “ขอโทษด้วยนะที่ทำให้นัดของเธอหมดสนุกเลย” ฉันพูดด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น และซาราห์ก็ตอบทำนองว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันใช้เวลาแค่ห้านาทีก็เขียนเสร็จแล้ว และระหว่างที่ฉันเขียน เธอก็จะได้ทำการบ้านวิชาอื่นให้เสร็จไง”
        ภาษาอังกฤษของเธอฟังดูนุ่มนวลและเรียบง่าย น้ำเสียงน่าฟัง ผมสีทองของเธอดูคล้ายกับสายน้ำไหลลงมาจากศีรษะ เธอยิ้มน้อยๆ
        “ถ้าอย่างนั้น ฉันว่าเธอคงต้องกุเรื่องขึ้นมาเกี่ยวกับ “วันหนึ่งในชีวิตของฉัน” แล้วก็เขียนลงไปแล้วล่ะ เยี่ยมไปเลยใช่ไหม แต่ถ้าเธอเขียนประโยคที่ซับซ้อนมากไป มันก็คงฟ้องออกมาว่าฉันให้คนอื่นเขียนให้ เพราะฉะนั้น เธอช่วยเขียนให้คล้ายๆ กับตัวอย่างที่เขาให้มานี่ได้ไหม” ฉันพยายามสุดความสามารถในการเรียบเรียงประโยคเพื่อบอกให้เธอเข้าใจ
        “ตกลง งั้นเธอตื่นนอนทุกวันตอนกี่โมง เธอกินอาหารเช้าแบบญี่ปุ่นหรือเปล่า หรือว่าเธอกินขนมปัง แล้วเธอทำอะไรในตอนบ่าย” เธอถามคำถามพวกนี้ และแล้วเราก็เขียนเสร็จ
        ฉันมองดูเรียงความที่เธอเขียน
        “โอตายละ ฉันส่งงานไปอย่างนี้ไม่ได้หรอก ลายมือเธอสวยเกินไปแล้ว” ฉันร้องออกมา “ฉันต้องลอกใหม่ด้วยลายมือไก่เขี่ยน่าเกลียดๆ ของฉันแล้วล่ะ”
        ซาราห์ระเบิดหัวเราะออกมาดังๆ
        ดังนั้น เราจึงผ่อนคลายลงเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกสะดวกใจที่ได้อยู่ด้วยกัน และเราก็เปิดใจกันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ นานา เย็นวันนั้นอากาศค่อนข้างเย็น สายลมยามค่ำคืนพัดพาเสียงกริ่งๆ ของจิ้งหรีด ซาราห์นั่งโดยมีศอกข้างหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยที่ตั้งอยู่กลางห้องของฉัน และยังคงเพียรช่วยฉันทำการบ้าน ฉันพบว่าตัวเองอยู่ในโลกแห่งสีสันสวยสดใส สีสันที่ทำให้ดูราวกับว่าห้องทั้งห้องถูกสาดด้วยแสงสว่างสีฟ้าและสีทองขึ้นในทันใด ผิวสีขาวจนเกือบโปร่งใสของซาราห์ โครงกรามที่โดดเด่นของเธอยามที่เธอจ้องตรงมาที่ฉันแล้วพยักหน้า
        ฉันนึกถึงเรือสีดำของนาวาเรือเพอรี่ ขณะที่เขาจอดเทียบดินแดนญี่ปุ่น (หมายเหตุผู้แปล: นาวาเรือเพอรี่เป็นผู้บังคับการเรือชาวอเมริกันที่สหรัฐอเมริกาส่งมาเจรจาการค้ากับญี่ปุ่นกลางศตวรรษที่ 19)  เป็นครั้งแรกที่ฉันเพิ่งได้คุยกับผู้ที่มาจากต่างแดนในระยะใกล้ชิดขนาดนี้ และเธอก็โผล่เข้ามาในห้องของฉันอย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว ฉันได้ยินเสียงกลอง เสียงฟลุต และเครื่องดนตรีอื่นๆ จากงานเทศกาลล่องลอยมาตามสายลม ห่างออกไปคือพระจันทร์กลมลอยแผ่วเบาท่ามกลางท้องฟ้าสีดำมืด มีลมเย็นแผ่วเบาพลิ้วผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่เข้ามาเป็นระยะๆ
        “เธอชอบญี่ปุ่นไหม”
        “ชอบสิ ฉันสนุกมากเลยล่ะ และฉันก็มีเพื่อนใหม่เยอะแยะ เพื่อนที่โรงเรียน แล้วก็เพื่อนของโยชิฮิโร่ ฉันคิดว่าฉันคงลืมปีนี้ไม่ลงหรอก”
        “เธอชอบอะไรเกี่ยวกับพี่ชายของฉันเหรอ”
        “โย-ชิ-ฮิ-โร่ เป็นเหมือนลูกบอลลูกยักษ์ที่เต็มไปด้วยพลังงาน ฉันไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย นี่ฉันไม่ได้พูดถึงพละกำลังของร่างกายนะ ที่ฉันรู้สึกคือบางอย่างที่ผุดออกมาจากข้างในตัวเขา บางอย่างที่ไม่มีวันเหือดหาย บางอย่างที่ฉลาดที่สุด ฉันรู้สึกว่าแค่ได้อยู่กับเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นเป็นไปได้ เปลี่ยนให้ตัวเองเป็นคนใหม่ แบบที่ฉันจะสามารถไปในที่ที่ห่างไกลออกไปได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด”
         “เธอเรียนอะไรเหรอ เธอจะกลับไปเรียนต่อที่บอสตันไหม”
        “ฉันเรียนวัฒนธรรมญี่ปุ่น และฉันก็จะกลับไปในอีกหนึ่งปีข้างหน้า… คงจะยากสำหรับฉันที่ต้องจากโย-ชิ-ฮิ-โร่ ไป แต่ว่าพ่อแม่ของฉันรักญี่ปุ่นมาก พวกเขามาที่นี่ตลอด แล้วโยชิฮิโร่เองก็บอกว่าเขาอยากไปที่อเมริกาบ้าง ดังนั้นฉันก็เลยมั่นใจว่าเราต้องเจอกันอีกแน่ ตอนนี้ ฉันทุ่มเทพลังงานทุกๆ ขีดที่มีให้กับการเรียนภาษาญี่ปุ่น นอกเหนือไปจากนั้น สำหรับฉันแล้ว การเล่าเรียนก็เป็นแค่สิ่งที่ฉันชอบทำ เหมือนงานอดิเรก ฉันแน่ใจว่าฉันคงต้องเรียนต่อไปอีกตลอดชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็อยากเป็นแม่ที่ดี แบบเดียวกับแม่ของฉัน และด้วยเหตุผลนั้นเอง ฉันถึงคิดว่าผู้หญิงญี่ปุ่นน่าสนใจมาก ฉันรู้สึกแบบเดียวกับเด็กสาวชาวญี่ปุ่นทั่วๆ ไปที่เธอเคยได้ยินมาก่อน ฉันมีความรู้สึกร่วมไปกับเธอมากกว่ากับพวกเด็กสาวอเมริกันเสียอีก เพราะฉันคิดว่าบางส่วนของฉันนั้นไม่เป็นอเมริกันเท่าไรนัก ฉันเดาว่า ในที่สุดแล้ว ฉันก็คงแต่งงานไปกับนักธุรกิจสักคน บางทีอาจจะเป็นใครแบบเดียวกับพ่อของฉันที่เป็นนักธุรกิจระหว่างประเทศ จากนั้น ฉันก็อยากสร้างบ้านที่น่าอยู่ สดใสและมั่นคง”
        “เธอคิดมั้ยว่า… ฉันหมายความว่า พี่ชายฉันน่าจะกลายเป็นคนที่ต้องทำงานติดต่อระหว่างประเทศได้บ้าง แต่เธอคิดว่าเขาจะเป็นนักธุรกิจได้เหรอ”
        “เธอพูดถูกแล้วล่ะ เขาเป็นนักธุรกิจไม่ได้หรอก เธอรู้ได้เลยว่าเขาคงต้องถูกไล่ออกในเวลาไม่นาน พวกเขาคงไม่ชอบวิธีที่พี่ชายเธอคิดว่าตัวเองเป็นยังไงนัก”
        “ตอนนี้เขาแค่เรียนมัธยมปลาย บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ฉันว่าถ้าเขาเกิดสนใจงานแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ นี่คงจะเยี่ยมไปเลย บางทีเธออาจจะช่วยชี้ให้เขาไปในทิศทางนั้นได้”
        นั่นเป็นคำพูดแบบเด็กเล็กๆ เป็นความคิดที่ห่างไกลเสียยิ่งกว่าความฝัน แต่ซาราห์ก็ยังคงเป็นเด็กพอที่จะฝันอย่างนั้นได้ และเธอก็มีจินตนาการกว้างไกลที่จะคิดเช่นนั้น ความอาจหาญของคนคนหนึ่งที่ไม่เกรงกลัวอนาคต เธอหัวเราะ แล้วก็พูดต่อด้วยสีหน้าเหมือนอยู่ในความฝัน ดวงตาของเธอเหมือนกับคนที่เพิ่งตกห้วงรัก คนที่มองไม่เห็นอะไรนอกจากคนรักของเธอ คนที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ดวงตาของคนที่เชื่อว่าความฝันทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ ที่เชื่อว่า ความเป็นจริงจะยอมหลีกทางให้หากเราแค่ลองผลักมันดู
        “ใช่แล้วล่ะ คงจะวิเศษไปเลยถ้าคนๆ นั้นเป็นโยชิฮิโร่ ว่ามั้ย เราอาจจะมีบ้านสักหลังในญี่ปุ่น อีกหลังที่
    บอสตัน แล้วก็เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านสองหลังนี้ โอ คงจะสนุกน่าดูเลยล่ะ เพราะว่าฉันรักญี่ปุ่นมาก และถ้าโยชิฮิโร่เกิดชอบบอสตันขึ้นมา ก็คงกลายเป็นว่าเราทั้งสองคนมีสองประเทศ เราคงคิดอย่างนั้นแน่เลย จากนั้น ลูกน้อยของเราก็คงจะโตขึ้นมาพร้อมกับฟังภาษาของสองประเทศที่อยู่ห่างกัน แล้วเราก็จะไปเที่ยวด้วยกัน คงจะวิเศษสุดไปเลย…”

    *** ยังมีต่อค่ะ ***

    จากคุณ : คิดว่าคงเข้าอ่านได้ไม่มีปัญหา? - [ 25 ก.ย. 45 15:51:22 A:202.130.154.66 X: ]