*** (11)***
ในเมื่อฉันได้เงินเหล่านั้นกลับคืนมาแล้ว และในเมื่อเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ฉันจึงหยิบร่มขึ้น แล้วก็ตั้งใจจะไปใช้จ่ายเงินอย่างเต็มที่
ในบ่ายวันฝนตก ห้างสรรพสินค้ามักจะดูสว่างจ้าและอบอุ่นผิดปรกติจนได้กลิ่นความชุ่มชื้น ฉันมุ่งหน้าไปยังแผนกหนังสือและซื้อมาเสียเยอะแยะ จากนั้นก็ไปซื้อซีดีอีกสองสามแผ่น ไม่มีแถวคนรอยาว ที่เคาน์เตอร์ชำระเงินดูเงียบเชียบ ทุกอย่างถูกจัดเรียงอย่างประณีต มีคนมาซื้อของอยู่ตรงโน้นตรงนี้บางตา และบรรดาพนักงานขายของก็ดูสง่างามเหลือเชื่อ
แม้จะใช้เงินซื้อของไปยกใหญ่ แต่ฉันก็ยังเหลือเงินอยู่ ดังนั้น หลังจากดื่มชาไปแก้วหนึ่ง ฉันก็เลยซื้อเสื้อเชิ้ตให้ตัวเองหนึ่งตัว ฉันเจอตัวหนึ่งที่ฉันชอบมากจนกระทั่งรู้สึกแจ่มใสขึ้นมากะทันหัน แล้วขณะที่ฉันกำลังเดินไปที่ลิฟต์เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านนั้นเอง ฉันก็เห็นแผนกชุดนอน
ทันใดนั้น ฉันจึงนึกขึ้นได้ ใช่แล้วล่ะ มาริมานอนค้างด้วยคืนนี้นี่นา
ฉันตัดสินใจซื้อชุดนอนหนานุ่มสีน้ำเงินที่ดูอบอุ่นอย่างที่สุดซึ่งอยู่หน้าสุดของตู้แสดงสินค้าให้เธอ มันดูอุ่นและประณีตเสียจนฉันไม่คิดว่าจะมีปัญหาเลยถ้าจู่ๆ คนใส่จะเกิดหยิบเสื้อโค้ตขึ้นมาสวม แล้วเดินออกไปข้างนอกทั้งชุดอย่างนั้นในตอนกลางคืน
เป็นของขวัญหรือเปล่าคะ พนักงานขายถาม
ใช่ค่ะ ฉันตอบ
พนักงานผูกริบบิ้นสีแดงบนห่อชุดนอน
เอาล่ะ มาริมักจะนอนในชุดที่บางเสียจนกระทั่งแค่มองเธอก็รู้สึกหนาวสั่นได้แล้ว และฉันก็มักจะมีภาพเธอ อยู่ในสมองอย่างนั้น นั่นทำให้ฉันมอบชุดนอนชุดนี้ให้เธอ
ไม่นานหลังจากที่พี่ชายฉันตาย มาริก็หนีออกจากบ้าน
พ่อแม่คัดค้านความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตั้งแต่แรก พวกเขาให้เธอหยุดงานอยู่กับบ้านหนึ่งสัปดาห์ โดยไม่ไต่ถามเธอก่อนว่าต้องการไหม โดยใช้ ใส้ติ่งอักเสบ เป็นข้ออ้าง แถมยังบอกว่าเมื่อเวลาหนึ่งสัปดาห์นั้น หมดลงแล้ว เธอต้องลืมโยชิฮิโร่ให้ได้ แต่การที่มาริหนีไปนั้นไม่ใช่เป็นการต่อต้านเรื่องทั้งหมดนี่แน่นอน เธอบอกว่าเธอเพียงแค่เหนื่อย ฉันคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องจริง ในตอนนั้น แม้กระทั่งพ่อแม่ที่น่าสงสารของเธอ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งในโลกของเธออีก ฉันเองก็กำลังตื่นกลัว มันน่าตกใจอยู่เหมือนกันที่ฉันอาจถูกขอไม่ให้ทำอะไร นอกเหนือไปจากร้องไห้และอยู่กับครอบครัวของฉันที่กำลังดำดิ่งลงไปในความมืด ดังนั้นฉันจึงไม่ได้เจอมาริ แม้ต่อมาฉันจะได้ยินว่าเธอหนีออกจากบ้านไป ฉันก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร หรือบางทีฉันน่าจะบอกว่า ฉันรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉันไม่มีอิสระเสรีอย่างนั้น
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปหลังจากมาริหายตัวไป แม่ของเธอโทรศัพท์มาเป็นครั้งที่สอง เสียงเหมือนจะเสียสติไปแล้วครึ่งหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่ฉันมีปฏิกิริยาตอบสนองและนั่งนึกว่าจะทำอะไรได้บ้าง ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน
ฤดูใบไม้ผลิคืบคลานเข้ามาและบ่ายวันนั้น ดวงอาทิตย์ทอแสงอบอุ่นและอากาศอวลแน่นไปด้วยกลิ่นดอกไม้ ฉันไม่ได้ใส่กระทั่งเสื้อแจ็คเก็ต
ฉันขึ้นรถไฟไป
มาริและโยชิฮิโร่เช่าอพาร์เมนต์เล็กๆ ขนาดหนึ่งห้องนอนในย่านใกล้ๆ กับที่พวกเขานัดเจอกัน ฉันเดาว่าถ้ามาริไปพักอยู่ที่ไหนซักแห่ง ก็คงต้องเป็นที่นั่น แต่ฉันจะไปเจอเธอในสภาพหมดลมหายใจแล้วหรือเปล่า ความคิดนั้นวนเวียนอยู่ในสมองของฉัน ทิวทัศน์อันเงียบสงบของฤดูใบไม้ผลิเคลื่อนผ่านไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าของผู้คนที่นั่งอยู่ดูเยือกเย็นแต่คลุมเครือ ถ้าฉันไปถึงสายเกินไป ถ้าฉันได้เจอแค่ร่างของเธอ ฉันจะเสียใจไหม แสงจางๆ ส่องผ่านขบวนรถไฟอันคดงอ ไม่สิ ที่จริงแล้วฉันไม่น่าจะเสียใจอะไรนักหนา นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิด ในตอนแรก และฉันก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ฉันบอกคนในห้องดูแลอาคารว่าฉันเป็นน้องสาวโยชิฮิโร่และขอยืมกุญแจห้อง จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์อันเชื่องช้า ไปยังชั้นที่เธออยู่ ไม่มีเสียงตอบตอนที่ฉันกดกริ่งหน้าประตู ฉันก็เลยสอดกุญแจเข้าไปในช่องแล้วเดินเข้าไปข้างใน ห้องนั้นมืดทึบและเย็นเยียบอย่างไม่น่าเชื่อ ม่านถูกดึงปิดจนหมด อากาศหนาวเนื้อเสียจนฉันรู้สึกว่าความเยือกเย็น แทรกผ่านถุงเท้าเข้าไปถึงฝ่าเท้าของฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกกลัวมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต ฉันค่อยๆ เดินทีละก้าว นึกภาพร่างที่ฉันกำลังจะพบ ในที่สุดสายตาฉันก็ชินกับความมืดและฉันก็เห็นมารินอนอยู่บนพื้น ห่อหุ้มด้วยผ้าห่ม
เธอหายใจ เข้าและออกช้าๆ ลึกๆ เหมือนเวลาคนนอนหลับ เป็นเสียงที่บ่งบอกความมีสุขภาพดี ไม่เหมือนคนที่กินยานอนหลับเข้าไป ฉันเขย่าปลุกเธอให้ตื่น เธอครางออกมาและขยี้ตา ฉันต้องตกใจตัวเอง ที่เอาแต่จ้องมองแขนเปล่าเปลือยของเธอยื่นออกมาจากแขนเสื้อยืดแขนสั้น ภายใต้ผ้าห่มนั้น เธอสวมแค่เสื้อยืดตัวนั้นกับกางเกงใน เธอคงจะงีบหลับตอนบ่ายท่ามกลางความร้อนระอุของเวลาเที่ยงวัน
มาริ เธอเดินมาที่นี่อย่างนี้น่ะเหรอ ฉันถาม
เธอสั่นศีรษะและชี้ไปที่พื้น เสื้อโค้ท เสื้อกันหนาวและทุกอย่างรวมไปถึงถุงน่องของเธอ นอนกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง
มาริยังคงนิ่งเงียบและล่องลอย ดูคล้ายกับว่าเธอเผชิญกับความตกใจอย่างใหญ่หลวง
ฟังนะ มาริ ไปที่บ้านฉันกันเถอะ ฉันว่า ฉันจะให้พ่อแม่ฉันโทรศัพท์ไปหาแม่เธอ จากนั้นเธอจะได้พักอยู่ที่ห้องนอนแขกของเรา เธอจะได้ครอบครองที่นั่นคนเดียวเลยนะ ไม่ต้องแม้กระทั่งลุกมาเปิดประตู
เธอไม่ตอบใดๆ ห้องนี้มืดเกินไปจนฉันไม่อาจเห็นสีหน้าของเธอ แต่ความรู้สึกที่ฉันรับรู้จากเธอ คือความเย็นยะเยือกที่กระตุ้นให้ฉันเร่งรีบออกไปจากที่นี่ ฉันดันแขนเธอเข้าไปในเสื้อโค้ท หอบเสื้อผ้าที่เหลือของเธอ แล้วก็ดึงเธอออกไปจากอพาร์ตเมนต์ ฉันเรียกรถแท็กซี่ แล้วเราก็มุ่งหน้ากลับบ้าน ระหว่างทาง มาริหันหลังกลับไปมองหลายครั้ง ฉันเองไม่รู้ว่าเธอมองอะไร แต่ก็เฝ้าจ้องเธอผู้ซึ่งทอดสายตาอันเยือกเย็น ไปที่ภาพข้างหลังเรา
แรงกระตุ้นของแม่ฉันและความหัวดื้อดึงดันของมาริที่ไม่อยากกลับบ้านของตัวเองสักพัก ทำให้พ่อแม่ของเธอยอมให้เธอพักอยู่กับเรา พวกเขาตกลงกันว่าเธอจะอยู่ที่นี่สักครู่ใหญ่โดยพักอยู่ที่ห้องนอนแขก
ฉันจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตัดขาดจากอพาร์ตเมนต์ห้องนั้นด้วยตัวเอง ห้องนั้น ที่มีเพียงฉัน พี่ชายและมาริเท่านั้นที่รับรู้ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องตกแต่งมากมายนัก แต่ฉันก็หาวิธีโละทิ้งอะไรทั้งหลายทั้งปวง ที่อยู่ที่นั่น และยกเลิกสัญญาเช่าจนได้ มันก็ค่อนข้างหนักหนาอยู่ที่ต้องจัดการทำทั้งหมดอย่างลับๆ แต่ในที่สุดฉันก็ได้เงินมัดจำคืนมา ฉันก็เลยตัดสินใจเก็บเงินที่ได้กลับมาเป็นค่าจ้างสำหรับงานที่ฉันทำลงไป แน่ล่ะ พวกเขาเพิ่งเช่าห้องนี้ได้ไม่นาน และสัญญาเช่าก็ถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน ที่ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายของฉันก็ไปเจาะรูที่ผนังห้องเพื่อติดตั้งหิ้งวางของ ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เลยได้เงินคืนมาไม่มากนัก
โยชิฮิโร่ตายไปแล้ว และมาริก็มาพักอยู่กับเรา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะปิดบังพ่อแม่เรื่องอพาร์ตเมนต์ แต่ถ้าพวกท่านรู้เข้า มาริก็จะถูกตอกย้ำให้จดจำความเยือกเย็นของห้องนั้นอีกครั้ง และฉันก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
บางทีฉันอาจจะพยายามทำเรื่องเหล่านี้เพื่อไถ่บาปที่ฉันเคยคิดที่ว่าถ้าเธอตายไปก็คงไม่เป็นไร
***จวนจบแล้วค่ะ***
จากคุณ :
พิมพ์
- [
2 ต.ค. 45 18:25:23
A:202.130.154.66 X:
]