ผมเป็นที่ปรึกษาในบริษัทเบียร์แห่งหนึ่ง คอยให้คำแนะนำชี้แนะประธานและรองประธานอาวุโสในการกำหนดและส่งเสริมนโยบายใหม่ๆของพวกเขา นับเป็นงานท้าทายอย่างยิ่งงานหนึ่ง
ในช่วงเวลานั้นเอง มารดาของผมป่วยเป็นโรคมะเร็งอยู่ในขั้นสุดท้าย
กลางวันผมทำงาน กลางคืนก็ขับรถไกล 40 ไมล์กลับบ้านไปที่บ้านท่านทุกค่ำคืน ทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งเครียดมาก แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการทำ หน้าที่ของผมคือให้คำปรึกษาอย่างดีเยี่ยมต่อไประหว่างกลางวัน แม้ว่ายามค่ำคืนจะลำบากหนักหนา. ผมก็ไม่ต้องการปริปากบ่นถึงภาระปัจจุบันให้ท่านประธานฟัง ผมรู้ว่ามีคนที่บริษัทต้องการอยากรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น. ดังนั้นผมจึงบอกแก่รองประธานฝ่ายทรัพยากรบุคคล แต่ขอไม่ให้เขาแย้มพรายบอกใคร.
สองสามวันต่อมา ท่านประธานเรียกผมเข้าไปหาในสำนักงานของเขา ผมคาดว่าเขาคงต้องการคุยเกี่ยวกับประเด็นหนึ่งในหลายๆเรื่องที่เรากำลังทำงานกันอยู่. เมื่อเข้าไปถึง เขาเรียกให้ผมนั่งลง จ้องหน้าผมข้ามโต๊ะตัวใหญ่ของเขา สบตาผมแล้ว กล่าว่า "ผมได้ยินว่าคุณแม่ของคุณป่วยหนัก"
ผมประหลาดใจยิ่งจนน้ำหูน้ำตาทะลักออกมา เขาจ้องมองดูผม ปล่อยให้ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วพูดอย่างเมตตาด้วยประโยคที่ผมจะไม่มีวันลืมว่า "จะคิดอ่านอย่างไรก็ตามใจเธอ"
ใช่แล้ว เขาเข้าใจและปรารถนาให้ผมร้องไห้ออกมาให้สาสมใจ แล้วหยิบยื่นความกรุณาซึ่งผมจดจำมาตราบทุกวันนี้.
ถอดความจาก เรื่องของ Martin Rutte
แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 45 12:49:08
แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 45 00:17:43
แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 45 00:06:03
จากคุณ :
ส.ค.ศ. ๔๙๑๔
- [
6 ต.ค. 45 00:01:29
]