บทที่ ๑๑
อัลลันถูกจับ
การขี่อูฐหลังจากนั้นค่อนข้างสนุกจริง ๆ พวกอูฐแม้ว่าจะเดินทางมายาวไกลก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะคึกคักเหมือนม้าศึกตามที่บรรยายไว้ในหนังสือของโจ๊บ ข้าพเจ้าไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าพวกมันเดินทางกันแบบนั้นได้อย่างไร ขณะที่เราโยกเยกลงมาตามเนินรักษารูปขบวนเอาไว้อย่างดี ประกายวูบวาบจากคมหอกด้ามยาวที่ชูสลอนและธงเล็ก ๆ ที่ประดับอยู่ใต้ใบหอกพลิ้วตัวไสวในสายลมอย่างสง่างาม เราไปกันเงียบ ๆ เว้นแต่เสียงย่ำของกีบเท้าอูฐและเสียงหวีดร้องขึ้นเป็นบางครั้งด้วยความโกรธเมื่อถูกคนขี่กระทุ้งมันด้วยด้ามหอกที่ชายโครง จนกระทั่งเราเกือบจะเข้าสู่สนามรบชายคนหนึ่งจึงเปิดปากขึ้น จากนั้นจึงเป็นเสียงแผดร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันจนเป็นเสียงเดียวดังขึ้นอย่างกึกก้องกัมปนาท
"เทวรูปนำความตายสู่จานา ! เทวรูป ! เทวรูป !"
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีต่อมา
เมื่อเราเข้าไปใกล้พวกศัตรูข้าพเจ้าจึงเห็นพวกเขาใช้ทหารราบมารวมกันตั้งรับเป็นจำนวนหกหรือแปดแถวอย่างหนาแน่น ที่นั่นพวกเขายืนตั้งรับการบุกของพวกเรา หรือว่าไม่น่าจะยืนอยู่ทั้งหมดเพราะว่าสองแถวแรกพวกเขาคุกเข่าลงพร้อมกับยื่นปลายหอกมาเบื้องหน้า ข้าพเจ้าจินตนาการเอาว่าภาพที่เห็นช่างเหมือนกับทหารของชาวกรีกอย่างเหลือเกิน หรือไม่ก็ทหารของชาวสวิสที่เตรียมตั้งรับการโจมตีของกองทหารม้าในยุคกลาง ในแต่ละด้านของกองกำลังที่น่าเกรงขามนี้ซึ่งต้องมีกำลังพลสี่หรือห้าร้อยคน ที่ระยะบางทีสักเศษหนึ่งส่วนสี่ไมล์มีกองทหารม้าของพวกแคนด้าห์ดำรวมพลอยู่ แบ่งออกเป็นสองกองเกือบเท่ากันกล่าวได้ว่ามีทหารม้าหนึ่งร้อยคนในแต่ละกอง
เมื่อพวกเราเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ขบวนทัพรูปสามเหลี่ยมของเราตีโค้งออกไปเล็กน้อยไม่ต้องสงสัยโดยการนำของฮารุต สักหนึ่งนาทีหลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงรู้เหตุผล เป็นเพราะว่าเราจะไม่เข้าโจมตีทหารราบตรงด้านหน้าแต่จะเข้าโจมตีตรงมุมด้านข้าง มันช่างเป็นการนำทัพที่น่าเลื่อมใสเพราะเมื่อเราเข้าโจมตี พวกเราบุกเข้าถึงปีกของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วแล้วบดขยี้พวกเขาแตกกระจายไป คุณพระช่วย ! เราบดขยี้ผ่านพวกเขาไปเหมือนกับใบมีดเฉือนไปบนเนยแข็ง พวกเขาไม่มีโอกาศมากนักที่จะต้านทานการบุกตะลุยจากกองทัพอูฐของพวกเราเช่นเดียวกับป้ายกระดาษไม่อาจต้านทานลมพายุ พวกเขาถูกต้อนไปรวมกันขณะที่พวกแคนด้าห์ขาวทิ่มแทงพวกเขาด้วยหอก
"เทวรูปชนะแล้ว ! ขอนับถือเทวรูป !" ข้าพเจ้าแสดงความยินดีออกมาอย่างไม่สุภาพ แต่ว่าแสดงความยินดีออกมาเร็วไปหน่อยเพราะว่าพวกแคนด้าห์ดำยังไม่ตายไปทั้งหมด ในไม่ช้าข้าพเจ้าเห็นผลงานของพวกเขาปรากฏออกมาจากฝูงอูฐ พวกเขาง่วนอยู่กับการแทงหรือพยายามแทงเข้าที่ท้องด้วยคมหอก ขณะเดียวกันข้าพเจ้าลืมนึกถึงพวกเหล่าทหารม้า เมื่อการบุกของเราผ่อนลงติดพันต่อสู้กันชุลมุนอยู่ตรงหน้าพวกมันกระหนาบเข้าโจมตีปีกทั้งสองด้านเหมือนสายฟ้า เราหันไปเผชิญหน้าทำดีที่สุดเพื่อรับการโจมตีและผลที่เกิดขึ้นคือปีกทั้งซ้ายและขวาถูกตัดขาดประมาณห้าสิบหลาเบื้องหลังอูฐขนสัมภาระ โชคดีเป็นของพวกเราการเข้าโจมตีอย่างรุนแรงของพวกแคนด้าห์ดำยังไม่อาจบรรลุผลถึงชัยชนะ เพราะทหารทั้งสองกองไม่สามารถตะลุยม้าให้ถึงกันได้ติดพันกันอยู่ในแต่ละด้านชุลมุนปนกันถอนตัวไปไหนไม่ได้ จากนั้นข้าพเจ้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกคำสั่งเราชักอูฐเข้าตะลุยใส่พวกทหารที่กำลังต่อสู้ชุลมุนกันอยู่ ผลก็คือพวกเขาหลายคนถูกแทงด้วยหอกหรือไม่ก็ถูกชนจนล้มคว่ำแล้วถูกเหยียบย่ำไป
ข้าพเจ้ากล่าวว่าพวกเรา แต่มันไม่ค่อยจะถูกต้องนัก ถึงอย่างไรก็เป็นมารุต ฮานส์ ตัวข้าพเจ้าและคนขี่อูฐอีกประมาณสิบห้าคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรข้าพเจ้าบอกไม่ถูกเนื่องจากฝุ่นและความชุลมุน แต่พวกเราถูกตัดขาดออกจากขบวนใหญ่และในไม่ช้าก็พบว่าพวกเราต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางหมู่ทหารม้าของพวกแคนด้าห์ดำที่โถมเข้าโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า เราตั้งรับอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทีละน้อยพวกอูฐที่งุนงงล้มคว่ำไปทีละตัวด้วยการรุมแทงซ้ำแล้วซ้ำอีกจากพวกศัตรูเหลือเพียงแค่ตัวเดียว แปลกพอดูมันถูกขี่โดยฮานส์และเป็นเรื่องประหลาดมากที่มันไม่ถูกแตะต้องเลย พวกเราที่เหลือถูกเหวี่ยงหรือร่วงลงมาจากหลังอูฐและยังสู้ต่อไปข้างหลังร่างที่กระเสือกกระสนของพวกมัน
ข้าพเจ้าจึงกลับมาเป็นตัวของข้าพเจ้าเองในตอนนั้น เพราะว่าจนกระทั่งถึงตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้ยิงปืนสักนัดเดียว ส่วนหนึ่งเพราะข้าพเจ้าไม่อยากที่จะยิงผิด ซึ่งมันง่ายเหลือเกินที่จะยิงผิดบนหลังอันโยกเยกของอูฐ และยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งข้าพเจ้าไม่มีความปรารถนาแม้แต่นิดเดียวที่จะสังหารคนป่าเถื่อนพวกนี้นอกจากถูกบังคับให้ทำเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ตอนนี้เรื่องมันเปลี่ยนไปแล้วเพราะข้าพเจ้าต้องสู้เพื่อชีวิต ยืนพิงตัวกับอูฐของข้าพเจ้าที่กำลังจะตายโดยฟาดหัวของมันกับพื้นไม่ยอมหยุดพร้อมกับส่งเสียงโหยหวนไปด้วย ข้าพเจ้ายิงจนหมดกระสุนห้านัดของปืนไรเฟิลใส่พวกแคนด้าห์ดำ เว้นระยะในแต่ละนัดเพื่อเล็งเป้า ผลของมันหลังจากนั้นก็คือม้าห้าตัวไม่มีคนขี่วิ่งเยาะย่างออกไปสู่ทุ่งหญ้า
ผลของมันเหมือนกับถูกไฟฟ้าช็อตเพราะพวกที่เข้าโจมตีเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ชั่วขณะหนึ่งที่พวกมันพากันถอยออกไปให้เวลาข้าพเจ้าบรรจุลูกกระสุนใหม่ จากนั้นพวกมันพากันเข้ามาโจมตีใหม่และข้าพเจ้าก็ยิงพวกมันเหมือนแบบเดิม เป็นครั้งที่สองที่พวกมันพากันถอยออกไปและหลังจากปรึกษากันอย่างน้อยสักนาทีหรือมากกว่านั้นพากันเข้าโจมตีเป็นครั้งที่สาม อีกครั้งข้าพเจ้าต้อนรับพวกมันอย่างดีที่สุดแต่ครั้งนี้มีเพียงแค่สามคนและม้าตัวหนึ่งที่ล้มลง กระสุนนัดที่ห้าพลาดเป้าหมายเพราะพวกมันกระจายกันเข้ามาซึ่งข้าพเจ้าต้องหันไปหันมาเพื่อยิงพวกมัน
ในตอนนี้เกมนี้ต้องเลิกไปในที่สุด ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ข้าพเจ้าไม่มีลูกปืนเหลืออีกแล้วนอกจากสองนัดในปืนพกลำกล้องแฝด อาจจะถามว่าทำไมหรือ คำตอบเป็น เพราะว่าการมองการณ์ไกล ลูกปืนจำนวนมากในกระเป๋าใบเดียวอาจจะครูดกันบนหลังอูฐเช่นเดียวกับเข็มขัดปืนที่ใส่ลูกปืนไว้จนเต็ม ในวันเวลานั้นการต่อสู้มีน้อยครั้งมากที่จะยิงปืนเกินสิบห้านัด ข้าพเจ้ามีลูกปืนอีกสี่สิบหรือห้าสิบนัดอยู่ในถุง ถุงใส่ลูกปืนนั้นเซาเวจผู้มีมารยาทดีตามปกติของเขาเอาไปแขวนไว้ที่อานของเขาโดยไม่ได้บอกข้าพเจ้าสักคำ เมื่อตอนเริ่มต่อสู้กันข้าพเจ้าจึงรู้ถึงเรื่องนี้แต่ไม่สามารถเอาคืนมาจากเซาเวจได้เพราะเขาถูกแยกออกไป ฮานส์ที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ น่าจะเป็นคนที่ถูกตำหนิเขาควรจะดูว่าข้าพเจ้ามีลูกปืนพร้อม หรืออย่างน้อยเขาควรเป็นผู้ถือเอาไว้เอง สรุปสั้น ๆ มันเป็นอุบัติเหตุอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรจะให้พูดมากไปกว่านี้
หลังจากปรึกษากันเป็นเวลานานศัตรูของเราบุกเข้ามาเป็นครั้งที่สี่แต่เคลื่อนที่มาอย่างช้า ๆ ขณะเดียวกันข้าพเจ้าทำที่กำบัง ขบวนอูฐหรือว่าพวกที่เหลือไม่รู้ถึงชะตากรรมของเราจากฝุ่นที่ฟุ้งกระจายบดบังพวกเขาเอาไว้พากันเดินทางต่อขึ้นไปทางเหนืออย่างมีชัยไม่มากก็น้อย กล่าวได้ว่าพวกเขาตีฝ่าผ่านพวกแคนด้าห์ดำและหนีไปโดยไม่ถูกติดตาม รวมกันไปเป็นกลุ่มก้อนโดยมีอูฐขนสัมภาระอยู่ตรงกลาง พวกแคนด้าห์ดำมัวแต่ยุ่งอยู่กับการฆ่าพวกเราที่บาดเจ็บและช่วยเหลือพวกเดียวกันเองรวมทั้งรวบรวมซากศพของคนตาย หรือกล่าวอย่างสั้น ๆ พวกเราถูกทอดทิ้งไปโดยไม่ตั้งใจ บางทีถ้าจะมีใครสักคนนึกถึงพวกเราท่ามกลางการต่อสู้อันชุลมุนร้ายกาจนี้ เขาคงสรุปว่าพวกเราคงอยู่ในหมู่พวกที่ถูกฆ่าตาย
มารุตมาหาข้าพเจ้า เขาไม่บาดเจ็บยังคงยิ้มแย้มอยู่พร้อมกับกวัดแกว่งหอกเปื้อนไปด้วยเลือด
"ท่าน มะคูมะซาน" เขาพูด "วาระสุดท้ายมาถึงแล้ว เทวรูปปกป้องคนอื่น ๆ เอาไว้หรือว่าทั้งหมดของพวกเขา แต่พวกเราถูกทอดทิ้ง ตอนนี้ท่านจะทำอย่างไร ? ฆ่าตัวตาย หรือถ้าท่านไม่สะดวกฉันยอมเจ็บปวดฆ่าท่านเอง ? หรือว่ายิงสู้ต่อไปจนท่านต้องยอมแพ้ ?
"ฉันไม่มีลูกปืนจะให้ยิงอีกแล้ว ?" ข้าพเจ้าตอบ "ถ้าพวกเรายอมแพ้ จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา ?"
"พวกเราจะถูกพาไปยังเมืองของซิมบา แล้วเอาตัวไปบูชายัญปีศาจร้ายจานา---ฉันไม่มีเวลาจะบอกท่านว่าโดยวิธีใด ด้วยเหตุนั้นฉันจึงตั้งใจว่าจะฆ่าตัวตาย"
"ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าท่านเป็นคนโง่ มารุต เพราะว่าถ้าเราตายไปแล้วเราก็คือคนตาย แต่ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่มีโอกาสเสมอที่เราอาจหนีช้างร้ายจานาไปได้ ถ้าหากว่ามันเลวร้ายถึงที่สุดฉันยังมีปืนพกพร้อมกับกระสุนอีกสองนัด นัดหนึ่งสำหรับท่านและอีกนัดสำหรับตัวฉันเอง"
"ความฉลาดของเทวรูปมาสิงอยู่ในกายท่าน" เขาตอบ "ฉันจะยอมแพ้พร้อมกับท่าน มะคูมะซาน และขอเสี่ยงกับโชคชะตา"
จากนั้นเขาหันไปอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นแก่คนของเขา พวกเขาพูดจากันอยู่สักพัก สุดท้ายพวกเขาทำสิ่งที่แปลก ในใจของข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเขาตัดสินใจอย่างกล้าหาญมาก รอจนกระทั่งพวกแคนด้าห์ที่กำลังเข้าโจมตีเข้ามาเกือบจะถึงพวกเรา นอกจากชายสามคนเป็นเพราะว่าขาดความกล้าหรือด้วยเหตุผลอย่างอื่นอยู่กับพวกเรา พากันออกไปอย่างอ่อนน้อมราวกับว่าจะยอมจำนน พวกแคนด้าห์ดำจำนวนหนึ่งลงจากหลังม้าวิ่งเข้ามาหา ข้าพเจ้าคาดว่าเพื่อมาจับพวกเขาเป็นเชลย พวกเขารอจนพวกนั้นเข้ามาล้อม จากนั้นพร้อมกับเสียงตะโกน "เทวรูป" พวกเขาโถมตัวไปข้างหน้าฉวยโอกาสที่ศัตรูไม่ทันระวังตัวต่อสู้เหมือนกับภูตผี ทำให้พวกนั้นสูญเสียเป็นอย่างมากก่อนที่พวกเขาจะล้มลงด้วยบาดแผลทั่วทั้งตัว
"เป็นคนกล้าหาญจริง ๆ !" ฮารุตพูดอย่างให้คำรับรอง "ตอนนี้พวกเขาไปอยู่อย่างสงบกับเทวรูป ที่พวกเราจะได้พบกับพวกเขาอีกไม่นานนักอย่างไม่ต้องสงสัย"
ข้าพเจ้าพยักหน้าแต่ไม่ตอบอะไร ขอบอกตามตรงว่าข้าพเจ้าวุ่นวายเป็นอย่างมากที่จะปลอบความกล้าที่ยังเหลืออยู่ในตัวจนไม่มีเวลาไปพูดถึงคนพวกนั้น
ความดุร้ายและเล่ห์เหลี่ยมอันฉลาดของคนจนตรอกทำความสูญเสียให้ศัตรูเป็นอย่างมาก จนดูเหมือนว่าจะทำให้พวกแคนด้าห์ดำโกรธเป็นไฟ
จากคุณ :
Sv
- [
7 ต.ค. 45 18:54:36
]