*** THE IVORY CHILD *** เทวรูปงาช้าง *** บทที่ ๑๒ คำสาปแรก

    บทที่ ๑๒
    คำสาปแรก

    สิ่งต่อมาที่ข้าพเจ้าจำได้คือสัมผัสบนใบหน้าจากแสงแดดที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างมีท่อนไม้ขวางเอาไว้เข้ามา       เป็นชั่วครู่ที่ข้าพเจ้านอนนิ่งอยู่อย่างนั้น        คิดทบทวนขณะที่ความทรงจำของข้าพเจ้าค่อย ๆ คืนกลับมาจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้และคำนึงถึงสถานที่อันไม่มีความสุขในตอนนี้            ที่นี่ข้าพเจ้าเป็นนักโทษในเงื้อมมือของพวกดุร้ายป่าเถื่อนซึ่งมีเหตุผลทุกอย่างที่จะเกลียดข้าพเจ้าแม้ว่าจะเป็นการป้องกันตัว        ข้าพเจ้าไม่ได้สังหารพวกเขาไปเป็นจำนวนมากโดยที่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ ?        แม้จะเป็นความจริงว่ากษัตริย์ของพวกเขาสัญญาว่าข้าพเจ้าจะปลอดภัย               แต่จะไว้วางใจได้อย่างไรกับคำพูดของคนพวกนี้ ?        นอกเสียจากว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นเพื่อปกป้องข้าพเจ้า        ไม่ต้องสงสัยว่าวันตายของข้าพเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว        ไม่ทางใดทางหนึ่งข้าพเจ้าคงถูกสังหารซึ่งก็ถูกต้องแล้วเมื่อเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้

    สิ่งเดียวที่ทำให้เกิดความพึงพอใจกับเรื่องนี้ก็คือว่า         ในตอนนี้ลอร์ดแรกนอลกับเซาเวจหนีไปได้        แม้จะไม่ต้องสงสัยว่าไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะประสพกับชะตากรรมเช่นเดียวกัน        ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพวกเขาหนีไปได้         เพราะว่าชายขี่อูฐสองคนที่มากับเราแจ้งกับมารุตว่าเขาเห็นทั้งสองคนนั้นหนีไปโดยมีพวกเราห้อมล้อมอยู่และไม่ได้รับบาดเจ็บ           ตอนนี้พวกเขาคงกำลังโศกเศร้ากับการตายของข้าพเจ้า        เพราะว่าไม่มีใครรอดไปบอกพวกเขาว่าเราถูกจับตัวไป          นอกเสียจากว่าพวกแคนด้าห์ดำเลือกที่จะบอกพวกเขาซึ่งไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น          ข้าพเจ้าสงสัยว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อลอร์ดแรกนอลพบว่าการค้นหาล้มเหลวอย่างที่มันจะต้องเกิดขึ้นแน่ทีเดียว          พยายามที่จะหาทางออกไปจากดินแดนนี้ข้าพเจ้าเดาเอา        ขณะที่ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้พวกเขาประสพความสำเร็จแม้ว่ามันจะไม่น่าเป็นไปได้อย่างที่สุด

    แล้วก็มาถึงฮานส์        แน่นอนว่าเขาต้องพยายามย้อนรอยเส้นทางของเราข้ามทะเลทรายกลับไป        ถ้าเขาหนีรอดไปได้       ด้วยอูฐฝีเท้าดีและปืนไรเฟิลพร้อมกับเครื่องกระสุนอาจเป็นไปได้ว่าเขาจะเอาชนะผ่านไปได้        เพราะเขาไม่เคยลืมเส้นทางที่เคยผ่านมาแล้ว         มันอาจจะเป็นไปได้ว่าในเวลาหนึ่งสัปดาห์จะมีซากกระดูกเล็ก ๆ อยู่บนผืนทรายซึ่งเป็นส่วนที่เหลือจากตัวเขา        อย่างที่เขาเคยกล่าวไว้บางทีในไม่ช้าเราทั้งคู่จะไปในคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นยังโลกไหนสักแห่งไกลออกไปพร้อมกับบิดาของข้าพเจ้า---และเรื่องอื่น ๆ อีก      ผู้เฒ่าฮานส์ที่น่าสงสาร !

    ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ        สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นคือปืนพกลำกล้องแฝดที่ขึ้นนกไว้จนสุดวางไว้ข้างตัวข้าพเจ้าก่อนที่จะนอนได้หายไปแล้วพร้อมทั้งมีดพกขนาดใหญ่        การค้นพบนี้ไม่ช่วยให้จิตใจข้าพเจ้าดีขึ้นด้วยตอนนี้ข้าพเจ้าปราศจากอาวุธโดยสิ้นเชิง         จากนั้นข้าพเจ้าสังเกตเห็นมารุตนั่งอยู่บนพื้นของกระท่อมจ้องมองตรงออกไปข้างหน้า      และเห็นว่าในที่สุดตอนนี้แม้ว่าเขาจะหยุดยิ้มแล้ว        แต่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนไหวราวกับว่ากำลังสวดมนต์หรือว่าเข้าฌาน

    "มารุต"     ข้าพเจ้าเรียก      "มีคนเข้ามาในนี้ตอนที่เรานอนหลับแล้วขโมยปืนกับมีดของฉันไป"

    "ใช่แล้ว  ท่าน"     เขาตอบ    "และมีดของฉันด้วย       ฉันเห็นพวกเขาเข้ามาตอนกลางดึก      ชายสองคนเดินเบาเหมือนกับแมวตรวจค้นทุกอย่าง"

    "แล้วทำไมไม่ปลุกฉันขึ้นมา ?"

    "จะมีประโยชน์อะไรเล่า   ท่าน?     ถ้าเราจะจับตัวคนพวกนั้น       เขาก็จะเรียกพวกเข้ามาช่วยแล้วเราก็คงจะถูกฆ่าตาย       ปล่อยให้พวกเขาเอาของไปเสียดีกว่า       เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่ประโยชน์อะไรกับเราที่นี่"

    "ปืนอาจจะมีประโยชน์กับเราบ้าง"        ข้าพเจ้าตอบอย่างแสดงท่าว่าสำคัญ

    "ใช่แล้ว"   เขาตอบพร้อมกับผงกหัว      "เมื่อเลวร้ายที่สุดแล้วก็ทำให้ตายได้อย่างง่ายดาย"

    "ท่านคิดบ้างไหม  มารุต      ว่าเราควรจะทำอะไรสักอย่างให้ ฮารุตและคนอื่น ๆ รู้ถึงชะตากรรมของเรา ?     พวกควันที่ฉันสูดเข้าไปตอนที่อยู่ในประเทศอังกฤษเป็นตัวอย่าง        ดูเหมือนว่ามันจะทำให้ฉันมองเห็นไปได้ไกล-ไม่มีขีดจำกัด-ถ้าเราจะมีมันอยู่บ้าง"

    "ควันนั้นไม่ได้เป็นอะไรเลยท่าน       มันเป็นเพียงฝุ่นจากการเผาไหม้ที่ไม่มีอันตรายซึ่งทำให้จิตใจของท่านล่องลอยไปสักนาทีหนึ่ง       และทำให้ท่านเห็นความคิดที่อยู่ในจิตใจของตัวเอง       เราดึงภาพมาให้ท่านได้เห็น        และเราก็ไม่มันที่นี่อีกด้วย"

    " โอ!"   ข้าพเจ้าพูดขึ้น     "ลูกไม้เก่าของการชี้นำ       ที่ฉันพอจะนึกได้       ถ้าอย่างนั้นมันก็จบไปแล้ว       และเมื่อคนอื่นคิดว่าเราตายแล้ว    และเราไม่สามารถติดต่อกับพวกเขาได้        เราก็ไม่มีความหวังอย่างใดอีกนอกจากตัวของเราเอง"

    "หรือไม่ก็จากเทวรูป"    มารุตแนะนำขึ้นอย่างนุ่มนวล

    "ฟังนี่ !"    ข้าพเจ้าพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว     "หลังจากที่ท่านบอกฉันว่าภาพจากควันเป็นแค่ของเล่นของนักเล่นกล       ท่านจะให้ฉันเชื่อในเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของท่านอย่างนั้นหรือ ?     เทวรูปเป็นใคร ?     เทวรูปคืออะไรและ---นี่เป็นเรื่องสำคัญกว่า---เทวรูปทำอะไรได้บ้าง ?       ขณะที่คอหอยของท่านจะถูกเชือดเร็ว ๆ นี้ท่านจงบอกความจริงมาเสียดี ๆ"

    "ท่าน  มะคูมะซาน     ฉันจะบอกให้ท่านฟัง     เทวรูปเป็นใครหรือว่าเป็นอะไรฉันบอกไม่ได้       เพราะว่าตัวฉันเองก็ไม่รู้         แต่เทวรูปเป็นเทพของพวกเรามานับพันปีแล้ว        และเราเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเรานานมาแล้วพาเทวรูปมาด้วยเมื่อพวกเขาถูกขับไล่ออกมาจากอียิปต์ในช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าตอนไหน        เรามีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ในม้วนกระดาษเล็ก ๆ         แต่ว่าพวกเราอ่านไม่ออกมันจึงไม่มีประโยชน์กับเรา       มีพวกนักบวชที่สืบทอดกันต่อ ๆ มา      ซึ่งฮารุตลุงของฉัน    เพราะเขาเป็นลุงของฉันเป็นหัวหน้าของพวกนักบวช          เราเชื่อว่าเทวรูปเป็นเทพเจ้าหรือไม่ก็เป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าที่คอยปกปักรักษาเราทั้งในโลกนี้และโลกหน้า       เพราะเราเชื่อกันว่ามนุษย์มีดวงวิญญาณที่เป็นอมตะ         และเราเชื่อกันอีกด้วยว่าโดยผ่านผู้ศักดิ์สิทธิ์---นักบวชหญิงที่เรียกกันว่าผู้พิทักษ์ของเทพ---ผู้รู้แจ้งถึงอนาคตจะนำคำอวยพรหรือคำสาปแช่งมาสู่มนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศัตรูของเรา         เมื่อผู้ศักดิ์สิทธิ์ตายไปเราก็จะไม่มีผู้ช่วยเหลือเพราะว่าเทวรูปไม่มีปากและศัตรูมีชัยเหนือพวกเรา        เรื่องนี้เกิดขึ้นนานมาแล้วและผู้ศักดิ์สิทธิ์คนสุดท้ายได้ประกาศไว้ก่อนที่เธอจะตายว่าจะพบผู้สืบทอดต่อจากเธอได้ที่ประเทศอังกฤษ         ลุงและตัวฉันจึงเดินทางไปที่นั่นปลอมตัวเป็นนักเล่นกลและค้นหาเป็นเวลาหลายปี         เราคิดว่าเราพบผู้ศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ในร่างของผู้หญิงที่แต่งงานกับท่านอิกีซา เพราะเครื่องหมายรูปดวงจันทร์ที่คอของเธอ        หลังจากที่เรากลับคืนมาสู่อาฟริกา      เมื่อฉันได้พูดถึงเรื่องนี้แล้วฉันควรจะเล่าให้ท่านฟังทั้งหมด"      ถึงตรงนี้เขามองข้าพเจ้าอย่างเต็มตาแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงชัดเจนสดใสเหมือนโลหะซึ่งไม่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อถืออีกแล้ว         "เราพบว่าเราเข้าใจผิด      เพราะว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่พบในหมู่พวกเรา       และได้เข้ารับตำแหน่งของเธอสองปีมาแล้ว       ไม่เป็นที่สงสัยผู้พิทักษ์เทวรูปคนสุดท้ายเข้ามาเยี่ยมเยียนจิตใจของเธอ       เมื่อเธอบอกพวกเราถึงเรื่องก่อนที่เธอจะตายเกี่ยวกับผู้หญิงที่ประเทศอังกฤษดินแดนที่เธอได้ยินมาจากพวกอาหรับอีกที       ทั้งหมดก็มีเพียงแค่นี้"

    "ขอบคุณ"      ข้าพเจ้าตอบ      รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปแสดงว่าสงสัยเรื่องที่เขาเล่า       "ตอนนี้ท่านก็บอกฉันได้แล้วว่าเทพเจ้าเป็นใครหรือว่าอะไร       หรือว่าช้างจานาที่ท่านนำฉันมาที่นี่เพื่อเพื่อสังหารมัน ?      ช้างเป็นเทพเจ้า    หรือว่าเทพเจ้าเป็นช้าง ?      อย่างไรก็ตามมันจะทำอะไรกับเทวรูป ?"

    "จานา ในหมู่พวกเราชาวแคนด้าห์เป็นตัวแทนของความชั่วร้ายในโลกนี้       ขณะที่เทวรูปเป็นตัวแทนของความดีงาม      จานาคือผู้ที่นับถือศาสนาของพระมะหะหมัดเรียกว่าไชตาน       และพวกคริสเตียนเรียกว่าซาตาน       และพวกบรรพบุรุษของเราชาวอียิปต์โบราณเรียกว่าเซท"

    "อ้าห์"     ข้าพเจ้าคิดกับตัวเอง     "ตอนนี้เรารู้เรื่องแล้ว     ฮอรัสเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์     กับเซทจอมปีศาจร้าย    ทั้งคู่ต้องต่อสู้กันไปชั่วนิจนิรันดร์กาล"

    "ตลอดเวลา"    มารุตกล่าวต่อไป     "มีสงครามระหว่างเทวรูปกับจานา      นั่นคือการต่อสู้ระหว่างความดีงามกับความชั่วร้าย        และเรารู้ว่าสุดท้ายแล้วใครสักคนหนึ่งจะต้องเป็นผู้ชนะ"

    "ทั้งโลกนี้รู้กันแล้วตั้งแต่ตอนต้น"       ข้าพเจ้าขัดจังหวะขึ้น      "แต่ว่าจานาเป็นใครหรือว่าอะไร ?"

    "ในหมู่พวกชาวแคนด้าห์ดำ       จานาคือช้าง       หรืออาจเป็นได้ว่าช้างเป็นตัวแทนของเขา      สัตว์ร้ายน่าสะพึงกลัวต้องได้รับการเซ่นสังเวย         มันสังหารทุกคนที่ไม่นับถือมันถ้ามันมีโอกาสพบตัว         มันอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในป่าโน้น        และพวกแคนด้าห์ดำเรียกใช้มันในสงคราม        เพราะว่าปีศาจร้ายในร่างมันเชื่อฟังพวกนักบวชชาวแคนด้าห์ดำ"

    "อย่างนั้นหรือ      และมันเป็นช้างตัวนี้ตลอดมาเลยหรือ ?"

    "ฉันบอกท่านไม่ได้      แต่มันเป็นตัวเดียวกันนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว        เพราะรูปร่างของมันเป็นที่รู้จักกันดีและความจริงที่ว่างาข้างหนึ่งของมันบิดลง"

    "ถ้าอย่างนั้น"      ข้าพเจ้าให้ความเห็น       "มันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้      เพราะช้างมีอายุยืนอย่างน้อยสองร้อยปี       และบางทีก็นานกว่านั้น       อีกทั้งหลังจากที่มันเป็นช้างเกเรมันจะมีความชั่วร้ายทุกรูปแบบและมีนิสัยผิดธรรมชาติของมัน       ซึ่งฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังอย่างมากมาย      ท่านเคยเห็นช้างตัวนี้ไหม ?"

    "ไม่เคย  ท่านมะคูมะซาน"    เขาตอบด้วยอาการตัวสั่นสะท้าน       "ถ้าฉันได้พบกับมัน     ฉันจะมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้หรือ ?     แต่ฉันกลัวว่าโชคชะตาจะทำให้ฉันได้พบกับมันในอีกไม่นานนี้     ไม่ใช่คนเดียวด้วย"         และอีกครั้งที่ตัวของเขาสั่นสะท้าน      มองมาที่ข้าพเจ้าอย่างมีความหมาย

    ถึงตอนนี้การสนทนาของเราถูกขัดจังหวะลงโดยชาวแคนด้าห์ดำสองคนนำอาหารเช้ามาให้เราเป็นข้าวต้มกับไก่ต้ม        และยืนอยู่ตรงนั้นขณะที่เรากินอาหาร         ในส่วนของข้าพเจ้าไม่รู้สึกเสียใจเพราะข้าพเจ้าได้รู้สิ่งที่ต้องการรู้ถึงความเห็นในทางเทววิทยาและพิธีกรรมของดินแดนนี้        และได้ข้อสรุปว่าเจ้าปีศาจร้ายน่ากลัวของพวกแคนด้าห์ดำเป็นแค่ช้างเกเรที่มีรูปร่างผิดปกติและดุร้ายผิดธรรมดา        ถ้าเป็นภายใต้สถานการณ์อื่นข้าพเจ้าคงมีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ลองยิงมัน

    จากคุณ : Sv - [ 11 ต.ค. 45 10:19:40 ]