*** THE IVORY CHILD *** เทวรูปงาช้าง *** บทที่ ๑๓ จานา

    บทที่ ๑๓
    จานา


       ไม่มีอาหารมาให้เราในเช้าวันนั้น        บางทีคงเป็นเพราะว่าไม่มีจะเอามาให้          เรื่องนี้ไม่เป็นอะไรเพราะเห็นอยู่ว่ามีอาหารมื้อเย็นและมื้ออื่น ๆ กองอยู่ตรงมุมบ้านโดยที่ยังไม่ได้แตะต้อง         ดังนั้นเราจึงกินเท่าที่จะกินได้จากนั้นจึงไปยังกระท่อมที่คนขี่อูฐถูกขังอยู่เหมือนเช่นเคย          ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่าเขาเคยถูกขังอยู่ที่นั่นเพราะว่าตอนนี้มันว่างเปล่า         ชายน่าสงสารคนสุดท้ายหายตัวไปแล้วเหมือนกับเพื่อนของเขา

       ภาพของความว่างเปล่าที่เห็นนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกโกรธมาก

       "พวกเขาถูกฆ่าตายไปแล้ว !"      ข้าพเจ้าพูดกับมารุต

       "ไม่ใช่"     เขาตอบอย่างนิ่มนวลระมัดระวัง      "พวกเขาถูกนำไปสังเวยแก่จานา        ที่เราเห็นบนลานชุมนุมตอนกลางคืนเป็นพิธีบูชายัญของพวกเขา        ตอนนี้คงถึงคราวของเราแล้ว      ท่านมะคูมะซาน"

       "ดีละ"    ข้าพเจ้าร้องขึ้น     "ฉันหวังว่าเจ้าปีศาจร้ายพวกนี้จะพอใจกับคำตอบของจานาจากเครื่องเซ่นสังเวย[^_^]ของพวกมัน       และถ้ามันจะทำเรื่องร้ายกาจนั้นกับเรา---"

       "ไม่ต้องสงสัยมันจะต้องมีคำตอบ       แต่ท่านคำถามก็มีว่ามันจะช่วยเราได้อย่างไร ?"

       เดือดดาลจนพูดอะไรไม่ออกข้าพเจ้ากลับไปที่บ้าน       ต่อมาประตูต้นอ้อที่ยังเหลืออยู่ก็เปิดออก       ปรากฏว่าเป็นกษัตริย์ซิมบาก้าวเข้ามาพร้อมกับนักบวชที่ขาเจ็บเดินมาโดยใช้ไม้ยัน        และคนอื่น ๆ อีกที่ได้รับบาดเจ็บกันไม่มากก็น้อยเชื่อได้ว่าเกิดจากพายุลูกเห็บ       ด้วยความโกรธของข้าพเจ้าจึงเลิกที่จะแกล้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจภาษาของพวกเขา       ตรงเข้าไปหาก่อนที่พวกเขาจะทันพูดอะไรสักคำ

       "คนรับใช้ของเราหายไปไหน     เจ้าพวกฆาตกร ?"      ข้าพเจ้าถามชุกำปั้นใส่พวกเขา      "เจ้าเอาพวกเขาไปบูชายัญเทพร้ายกาจของพวกเจ้าหรือ ?       ถ้าอย่างนั้นจงรับผลจากการบูชายัญ !"      แล้วข้าพเจ้าเหวี่ยงมือไปยังผืนดินข้างหน้า     "พืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกเจ้าหายไปไหนแล้ว ?       ข้าพเจ้ากล่าวต่อไป     "บอกฉันหน่อยซิว่าพวกเจ้าจะอยู่กันอย่างไรในหน้าหนาวนี้ ?"  (จากคำพุดนี้พวกเขาต่างพากันแสดงอาการพรั่นพรึง      เพราะพวกเขาเข้าใจกันเป็นอย่างดีแล้วว่าความอดอยากยากแค้นกำลังจะมาเยือนพวกเขา)      พวกเจ้าเอาเรามาไว้ที่นี่ทำไมกัน ?     เพื่อที่พวกเจ้าจะรอรับความวิบัติมาสู่พวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ?      พวกเจ้ามาหาเราตอนนี้ทำไมกัน ?"    แล้วข้าพเจ้าหยุดหอบหายใจอย่างขุ่นเคือง

       "เรามาเพื่อดูว่าพวกเจ้าเอาชีวิตกลับคืนมาให้กับหมอของเราที่เจ้าใช้เวทย์มนต์วิเศษฆ่าเขาหรือยัง  คนขาว"    กษัตริย์ตอบเสียงหนักแน่น

       ข้าพเจ้าเดินไปตรงมุมของลานบ้านแล้วดึงเสื่อที่คลุมเอาไว้ออก       ให้พวกเขาดูสิ่งที่อยู่ข้างใต้

       "ถ้าอย่างนั้นดูเสียซิ"     ข้าพเจ้าพูด     "และแน่ใจได้เลยว่าถ้าพวกเจ้าไม่ปล่อยให้เราไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้        พวกเจ้าทั้งหมดจะเป็นเช่นนี้ก่อนที่ดวงจันทร์จะขึ้นและตกคราวหน้า        เราจะเอาชีวิตคนอย่างพวกเจ้าไปเสีย

       ตอนนี้พวกเขาต่างพากันตกใจ

       "ท่าน"     ซิมบาพูดขึ้น     เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกข้าพเจ้าอย่างนับถือ        "เวทย์มนต์วิเศษของท่านแข็งแกร่งมากสำหรับพวกเรา        นำภัยพิบัติครั้งร้ายแรงมาสู่ดินแดนของเรา        ผู้คนนับร้อยตายไปด้วยก้อนน้ำแข็งที่ท่านเรียกมาจากบนฟ้า        พืชผลของเราเสียหายมีข้าวโพดเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยในหลุมเก็บในตอนนี้เมื่อเราจะรวบรวมเมล็ดพันธุ์ใหม่         คนส่งข่าวมาจากนอกเมืองบอกเราว่าแพะและแกะตายเกือบหมดและสัตว์เลี้ยงจำนวนมากถูกฆ่าตายไป        พวกเราจะอดตายในไม่ช้า

       "พวกเจ้าสมควรจะได้รับแล้ว"    ข้าพเจ้าตอบ    "ตอนนี้จะปล่อยให้เราไปได้หรือยัง ?"

       ซิมบามองดูข้าพเจ้าอย่างกริ่งเกรง       จากนั้นจึงกระซิบไปที่หูของนักบวชขาพิการ         ข้าพเจ้าไม่ได้ยินที่เขาพูดจึงจ้องดูใบหน้าของพวกเขา        ส่วนหัวของนักบวชข้าพเจ้าดีใจที่มันถูกทำลายไปด้วยพายุลูกเห็บทำให้ทั้งสองข้างของมันเสียหายไปทำให้ข้าพเจ้าเห็นรายละเอียดได้เป็นอย่างดี          หน้ากากของเขาเคยดูน่าเกลียดแต่ตอนนี้เมื่อไม่มีมันใบหน้าข้างใต้น่าเกลียดกว่ามาก       เป็นใบหน้าแบบพวกนิโกรริมฝีปากห้อย      ดวงตาลอกแลกเต็มไปด้วยแววราคะ        เขาเป็นคนที่น่ารังเกียจขยะแขยงจริง ๆ มีทั้งความฉลาดแกมโกงและโหดร้าย       อย่างเช่นคนในฐานะอย่างพวกเขาควรจะเป็น       ในขณะนั้นเขามีท่าทีอ่อนน้อมข้าพเจ้ารู้สึกแน่ใจว่าเขากำลังวางแผนการร้ายกับเรา    หรือไม่ก็ขัดแย้งกับความต้องการของนายเขา       ผลของมันตอนสุดท้ายแสดงให้เห็นว่าข้าพเจ้าเข้าใจถูก        ในที่สุดซิมบาก็พูดขึ้น    เขากล่าวว่า

       "เรามีความตั้งใจที่จะเอาตัวท่านและนักบวชของเทวรูปไว้ที่นี่เพื่อเป็นตัวประกันจากเจตนาร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเราโดยพวกสาวกของเทวรูป       ผู้เป็นศัตรูอันขมขื่นของพวกเราและปฏิบัติต่อพวกเราอย่างไม่สมควรเป็นอย่างมาก       แม้ว่าในส่วนของเราจะรักษาสัญญาสันติภาพที่ทำเอาไว้ในสมัยบรรพบุรุษของเราอย่างซื่อสัตย์       มันดูเหมือนว่าการบันดาลด้วยเวทย์มนต์วิเศษของท่านจะร้ายกาจมากสำหรับพวกเรา        เราจึงตัดสินใจที่จะปล่อยท่านไป        คืนนี้เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินเราจะนำพวกท่านไปที่ถนนซึ่งจะนำไปสู่ทางข้ามแม่น้ำทาวาซึ่งแบ่งดินแดนของเรากับพวกแคนด้าห์ขาว        และพวกท่านไปได้ตามใจปรารถนา        เพราะพวกเราไม่ปรารถนาจะเห็นหน้าอันไม่เป็นมงคลของท่านอีก"

       ข่าวนี้ทำให้หัวใจของข้าพเจ้าลิงโลดไปด้วยยินดีแม้ว่าจะเป็นการล่วงหน้า       แต่เพื่อรักษาท่าทีขุ่นเคืองเอาไว้ข้าพเจ้าร้องขึ้นว่า

       "คืนนี้      ทำไมถึงเป็นคืนนี้ ?    ทำไมไม่เป็นตอนนี้เลย ?      มันเป็นการยากสำหรับเราที่จะข้ามแม่น้ำที่ไม่รู้จักในความมืด"

       น้ำตื้นมากท่าน    และทางข้ามได้ง่าย ๆ   มากไปกว่านั้นถ้าท่านเดินทางตอนนี้ท่านจะไปถึงที่นั่นตอนมืด      ขณะที่ท่านเริ่มเดินทางเมื่อดวงอาทิตย์ตกท่านจะไปถึงที่นั่นในตอนเช้า       สุดท้ายเลยเรายังพาท่านไปไม่ได้จนกว่าจะฝังคนตายของเราเสียก่อน

       จากนั้นโดยไม่ให้เวลาข้าพเจ้าได้ทันตอบ       เขาหันกลับและออกจากที่นั้นไปตามไปด้วยคนอื่น ๆ      ที่หน้าปากประตูมีเพียงนักบวชหันกลับมาด้วยไม้ค้ำแล้วมองจ้องเราทั้งสองคน       พึมพัมอะไรบางอย่างด้วยริมฝีปากอันหนาของมันคงจะเป็นคำสาปแช่ง

       "ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะปล่อยให้เราเป็นอิสสระ"     ข้าพเจ้าพูดกับมารุตอย่างยินดี      เมื่อพวกเขาไปกันหมดแล้ว

       "ใช่แล้วท่าน"    เขาตอบ    "แต่ว่าตรงที่เขาจะปล่อยให้เราเป็นอิสระนะหรือ ?     ปีศาจร้ายจานาอาศัยอยู่ในป่าและบึงตามชายฝั่งของแม่น้ำทาวา      กล่าวกันว่าเป็นถิ่นหากินของมันตอนกลางคืน"

       ข้าพเจ้าไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้       และคำนึงกับตัวเองอย่างยินดีว่าช้างลึกลับร้ายกาจตัวนี้ยังอยู่ห่างไกลและอาจจะคลาดกันไป        ขณะที่แท่นบูชายัญจ่ออยู่ตรงหน้าและหลบหลีกไปได้ยาก

       ไม่เคยมีขโมยที่เห็นทรัพย์สินมีค่าจำนวนมาก     หรือหนุ่มนักรักที่มีนัดกับหญิงสาว      รอคอยดวงอาทิตย์ตกดินอย่างกระตือรือร้นมากไปกว่าข้าพเจ้าในวันนั้น        ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าข้าพเจ้านั่งอยู่บนหลังคาบ้าน        เฝ้ามองพวกแคนด้าห์ดำแบกเอาคนตายจากพายุลูกเห็บออกไปและพยายามซ่อมแซมสิ่งเสียหายที่เกิดจากพายุร้าย       เฝ้ามองดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยลงจากท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆ       และค่อย ๆ นับมันทุกนาทีจนกว่ามันจะแตะขอบฟ้า        ถึงแม้ข้าพเจ้าจะรู้ดีว่ามันน่าจะเป็นการฉลาดกว่าหลังจากที่ผ่านคืนร้ายกาจนั้นมาสำหรับการเตรียมตัวเดินทางโดยการลงนอนหลับเสีย

       ในที่สุดลูกกลมดวงใหญ่เริ่มตกดินอย่างสง่างามเบื้องหลังแนวป่าอันยับเยินทางทิศตะวันตก       และตรงตามเวลา       ซิมบาพร้อมกับทหารคุ้มกันขี่ม้ายี่สิบคนจูงม้ามาสองตัวปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูของเรา        โดยที่เราเตรียมตัวไว้แล้วซึ่งมีเพียงมารุตยัดอาหารที่ยังเหลืออยู่เข้าไปในอกเสื้อคลุมของเขาเรียบร้อยแล้ว       เราเดินออกมาจากบ้านพัก[^_^]หลังนั้น       และโดยสัญญาณของกษัตริย์เราขึ้นขี่ม้า       ควบม้าตัดข้ามลานชุมนุมที่ว่างเปล่าและผ่านแท่นบูชาทำจากหินหยาบที่ยังคงตั้งอยู่มีซากกระดูกที่ไหม้เกรียมโผล่ออกมาจากกองขี้เถ้าของกองไฟที่มอดดับไปแล้ว---พวกมันเป็นซากของเพื่อนเราคนขี่อูฐหรือเปล่า ?   ข้าพเจ้าสงสัย---เราผ่านไปตามถนนทางด้านเหนือของเมือง

       ที่ตรงนี้     ยืนอยู่ตรงประตูหน้าบ้านของพวกเขา       ชาวเมืองจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อดูเราผ่านไป       ไม่เคยมาก่อนเลยที่ข้าพเจ้าจะได้เห็นความเกลียดชังอย่างดุร้ายที่ระบายอยู่บนใบหน้าของพวกเขา       ขณะเดียวกันพวกเขาชูกำปั้นใส่เราและพึมพัมสาปแช่งไม่ดังนักแต่หนักแน่น

       ไม่เป็นที่น่าสงสัย !    เพราะว่าพวกเขาย่อยยับไปกันจนหมดสิ้นชาวเมืองผู้น่าสงสาร      ไม่มีอะไรให้มองไปข้างหน้านอกจากความอดอยากจนกระทั่งอีกยาวนานหลายเดือนฤดูเก็บเกี่ยวจะมาถึงอีกครั้งสำหรับคนที่รอดชีวิตมาเก็บเกี่ยวได้         อีกทั้งพวกเขาเชื่อมั่นว่าเป็นเรา       คนขาวผู้วิเศษและผู้ศักดิ์สิทธิ์ของเทวรูปศัตรูของพวกเขานำความหายนะย่อยยับนี้มาสู่พวกเขา        ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะทหารผู้คุ้มกันข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเขาคงเข้ามาฉีกเราเป็นชิ้น ๆ       พิจารณาดูพวกเขาแล้วข้าพเจ้าเข้าใจเป็นครั้งแรกว่าทำไมพวกเขาจึงไม่เห็นด้วยอย่างแท้จริง         แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นสภาพอันแท้จริงของพื้นที่เพาะปลูกอันปราศจากพืชผลในแสงซีดเซียวของดวงตะวันแล้ว        ข้าพเจ้าขอสารภาพว่ารู้สึกสงสารพวกเขาขึ้นมาบ้าง         มันน่ากลัวจนขนลุก       ไม่มีเมล็ดพืชเหลืออยู่สักฝายมือให้เก็บ        สำหรับต้นข้าวโพดมันไม่เพียงแต่ราบเรียบไปแต่พูดได้ว่ามันถูกบดเป็นเศษเล็กเศษน้อยจากลูกเห็บ

    แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 45 08:14:25

    แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 45 07:52:35

    จากคุณ : Sv - [ 18 ต.ค. 45 10:08:32 ]