เจ้าหญิงของมังกร ภาค 2 บทที่ 2 - เมื่อเม็นแดนบาร์ค้นพบปัญหา

    เม็นแดนบาร์กำลังชื่นชมตัวเองอยู่ที่สามารถปลีกตัวออกมาจากเจ้าหญิงได้ เมื่อพบว่าต้นไม้ขาดช่วงไป เขาหยุดฝีเท้าลง พิจารณา และเลิกกังวลถึงเรื่องเจ้าหญิงองค์นั้นออกจากสมองในพริบตา

    พื้นที่ของป่าแห่งเวทย์มนต์ที่มีขนาดใหญ่เท่ากับลานหน้าปราสาทนั้นหายไปทั้งหย่อม ไม่..ไม่ใช่อันตรธานหายไปเลยที่เดียวหรอก เพียงแต่มันกลายสภาพเป็นซากไม้แห้งยืนตายเป็นหย่อมๆบนผืนดินแข็งๆกระกรัง อะไรบางอย่างได้ทำลายสภาพความเขียวชอุ่มและต้นไม้สูงใหญ่อันเป็นสัญลักษณ์ของป่าในบริเวณนั้นสาบสูญไปสิ้น คงเหลือไว้เพียงร่องรอยความแห้งแล้งอัปลักษณ์และผืนดินแห้งกรอบเป็นผงทราย

    รสชาติของละอองฝุ่นที่ปลิวมากระทบประสาทรับรู้ของเม็นแดนบาร์กระชากพระราชาหนุ่มออกจากความตกตะลึง เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะก้าวฝีเท้าเดินตรงไปยังผืนดินแห่งความแห้งแล้งนั้น ทันทีที่ผ่านผืนป่าลงไปบนทะเลทราย เม็นแดนบาร์ก็ชะงักกึกกับความรู้สึกขาดหายที่พล่านเข้ามากระทบอย่างรุนแรง เส้นสายละอองเวทย์มนต์ที่ฟุ้งกระจายเป็นพลังชีวิตของป่าแห่งเวทย์มนต์ในบริเวณนั้น บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว เขาไม่รู้สึกรับรู้อะไรเลย

    "มิน่าล่ะเจ้าหญิงนั่นถึงเข้าออกป่าแห่งเวทย์มนต์ได้โดยไม่มีปัญหา" เม็นแดนบาร์พูดอย่างมึนๆ เมื่อไม่มีพลังอำนาจอะไรแล้ว ป่าแห่งเวทย์มนต์จึงไม่สามารถเคลื่อนหนีไปที่ไหนได้ สิ่งที่เจ้าหญิงต้องทำก็เพียงแต่เดินข้ามเข้ามาเท่านั้น

    เม็นแดนบาร์เตะเท้าบนพื้นดินอย่างหงุดหงิดส่งให้ผงธุลีฟุ้งกระจายขึ้นมาอีก เมื่อเขาเอามือแตะซากไม้แห้งที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน มันก็ร่วงพรูสลายลงในพริบตา หลังจากไอแค่กๆอยู่เป็นพัก พระราชาหนุ่มก็สังเกตเห็นแสงแวววาวกระทบอยู่บนพื้นดินข้างซากไม้ใหญ่ เขาหยิบมันขึ้นมาและพบว่ามันเป็นแผ่นเกล็ดแข็งบางๆขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย และสีเขียวสดนั้นจัดจ้าบาดตา

    "เกล็ดมังกรงั้นหรือ? เกล็ดมังกรมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน"

    เนื่องจากไม่มีใครแถวนั้นที่จะตอบคำถามของเขา เม็นแดนบาร์จึงก้มลงพิจารณาแผ่นเกล็ดนั้นอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่อาจบอกอะไรได้มากไปกว่านั้น ชายหนุ่มนิ่วหน้า ยักไหล่ แล้วเก็บมันใส่กระเป๋า จากนั้นจึงเดินสำรวจบริเวณความแห้งแล้งนั้นอย่างพิถีพิถัน ด้วยความหวังว่าจะพบอย่างอื่นที่จะไขปริศนาอันนี้

    ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็ค้นพบเกล็ดมังกรในเฉดสีเขียวที่แตกต่างกันรวมนับได้ถึงสี่เกล็ดด้วยกัน แล้วหัวใจเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง เขาคิดว่าเขาทำข้อตกลงกับพวกมังกรที่อาศัยอยู่ทางตะวันออก ในภูเขาแสงทิวาไปเรียบร้อยแล้วว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ก้าวก่ายดินแดนซึ่งกันและกัน แต่เมื่อมองไปรอบๆที่ดินอันแห้งเหมือนถูกแผดเผาเป็นผุยผงนี้แล้ว เขาก็ชักไม่มั่นใจ

    "อย่างนี้มันไม่ใช่ 'ไม่ก้าวก่าย' เสียแล้วละมัง" น้ำเสียงเขาขุ่นขึ้งอย่างโกรธเกรี้ยว "พวกมังกรคิดจะทำอะไรกันแน่" เม็นแดนบาร์นึกเสียใจขึ้นมากระทันหันที่ไม่ได้ติดต่อความสัมพันธ์กับพวกมังกรตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเลย หาไม่แล้วเวลาเขาคงรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้นอกจากว่า มังกรเป็นสัตว์วิเศษขนาดใหญ่และพ่นไฟได้

    เม็นแดนบาร์เก็บเกล็ดมังกรทั้งสี่ใส่กระเป๋า แล้วเดินกลับเข้ามาในเขตป่าเขียวอย่างใจลอย รู้สึกโล่งอกเมื่อได้สัมผัสถึงเวทย์มนต์ภายในป่าอีกครั้ง ชายหนุ่มหยุดเท้าลงแล้วหันกลับไปมองผืนดิ้นแห้งระแหงพลางมุ่นคิ้ว

    "ทิ้งไว้อย่างนี้ไม่ได้" เขาพูดกับตัวเอง "ถ้าเจ้าหญิงองค์นั้นเข้ามาได้ ใครๆก็เข้าออกป่าแห่งเวทย์มนต์ได้ทั้งนั้น แต่..ฉันจะทำยังไงถึงจะสร้างเวทย์มนต์ขึ้นมาใหม่ในดินแดนที่ถูกกวาดเรียบไปแล้วอย่างนี้นะ"

    เขาเดินวนรอบพื้นที่ตายซากนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ความพยายามจะดึงเส้นด้ายแห่งเวทย์มนต์ที่ลอยอยู่ในอากาศให้ผ่านเลยเข้าไปในเขตทะเลทรายนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ในที่สุด เขาก็ค้นพบเขตช่องว่างระหว่างป่ากับพื้นที่ของดินแดนปกติที่ไม่อยู่ห่างกันเกินไปนัก เม็นแดนบาร์หยุดพลางพิจารณา

    "ถ้าฉันเขยิบมันเข้ามาอีกหน่อย ประมาณขอบๆนี่…."

    พระราชาหนุ่มยื่นมือออกไปกอบเอาเวทย์มนต์มาหนึ่งกำมือ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังกำเส้นด้ายบางๆหลายต่อหลายเส้น เพียงแต่สายใยนั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ และทำให้ผิวฝ่ามือของเขาเต้นน้อยๆเมื่อสัมผัส แต่ละเส้นนั้นเป็นเวทย์มนต์เข้มข้นบริสุทธิ์ที่เขาสามารถจะใช้ร่ายมนต์ได้ตามต้องการ อันที่จริงแล้ว เม็นแดนบาร์ต้องตั้งสมาธิอย่างหนักที่จะใช้มันร่ายมนต์วิเศษเพียงแค่บทสองบท ขณะที่มีเส้นสายเวทย์มนต์อย่างเหลือเฟือเต็มกำมือ

    เม็นแดนบาร์ค่อยๆดึงเส้นสายที่มองไม่เห็นพลางเดินถอยหลังออกไปจากเขตป่าอย่างช้าๆ ตะไคร่น้ำเขียวสดม้วนตัวไล่ตามฝีเท้าเขาออกมาเป็นทาง ต้นไม้ใหญ่ในป่าไหววูบราวกับภาพลวงตาระยิบระยับเหนือไอร้อนบนแผ่นหินที่ถูกแดดเผาจนระอุ เขาก้าวฝีเท้าไปเรื่อยๆ และเส้นด้ายแห่งเวทย์มนต์ก็เริ่มระเหิดไอร้อนและไหลลื่นยากจะจับไว้อยู่ได้ เม็นแดนบาร์กระชับฝ่ามือเข้าแล้วก้าวซ้ำอีก ต้นไม้สั่นไหวอย่างบ้าคลั่งราวกับเขากระพริบตาอย่างรวดเร็วซ้ำหลายๆครั้ง พื้นดินเขียวสดโป่งพองและสะบัดตัวโค้งเร่าๆราวกับม้าพยศ เหงื่อหยดหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผากของเขาและค้างอยู่ที่ปลายจมูก เวทย์มนต์ในฝ่ามือร้อนจี๋และตึงเครียดถึงขีดสุด เขาก้าวถอยหลังอีกเป็นครั้งสุดท้าย

    ทุกสิ่งสะบัดตึงวูบ แล้วก็ดีดตัวเข้าสู่ปกติ ต้นไม้หยุดวิบไหว และผืนตะไคร่เรียบสงบ ป่าแห่งเวทย์มนต์สร้างเขตพื้นที่ล้อมรอบดินแดนแห้งแล้งนั้นและโอบตัวปิดตนเองจากโลกภายนอกเป็นผลสำเร็จอีกครั้ง เม็นแดนบาร์ถอนใจอย่างโล่งอก

    "ได้ผล!" เขาร้องอย่างยินดี หากทันใดสายลมกลุ่มหนึ่งพัดผ่านพาเอากลิ่นตายซากของผงธุลีดินเข้ามาทำให้เขาทราบว่าเขาไม่ได้ซ่อมแซมพื้นที่รกร้างในส่วนนั้น หากเพียงแค่กันมันออกไปจากป่าแห่งเวทย์มนต์ "เอาเถอะ อย่างน้อยเราก็จะไม่ต้องมีใครต่อใครเดินหลงเข้ามาในป่าแห่งเวทย์มนต์โดยบังเอิญอีก" เขาปลอบใจตัวเอง "นั่นก็พอใช้ได้แล้ว"

    เม็นแดนบาร์ค่อยๆปล่อยเส้นด้ายเวทย์มนต์ที่เขาดึงข้ามช่องโหว่ของป่าออกจากมือทีละเส้นๆ แล้วมันก็ลอยกลับไปรวมกับสายใยกลุ่มอื่นๆที่มองไม่เห็นอยู่ในอากาศ หลอมตัวเข้ากับเครือข่ายที่โยงใยอยู่ทั่วไปในป่าแห่งเวทย์มนต์ เมื่อปล่อยเส้นด้ายเส้นสุดท้าย ชายหนุ่มก็เช็ดมือกับเสื้อ แล้วยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ

    "นี่ เสร็จแล้วใช่มั้ย" เสียงหนึ่งดังมาจากบนต้นไม้เหนือศีรษะของเขา

    เม็นแดนบาร์แหงนหน้าขึ้น แลเห็นกระรอกสีเทาตัวอ้วนกลมนั่นจุ้มปุ๊กอยู่บนกิ่งไม้ มันกำลังมองลงมายังเขาด้วยสีหน้าไม่ชอบใจสักนิด

    "ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ" เม็นแดนบาร์กล่าว "อย่างน้อยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนนี้ล่ะ"

    "แก้ปัญหาเฉพาะหน้า?" เจ้ากระรอกพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ "พูดง่ายๆนี่ เชอะ ไม่เห็นจะแก้ปัญหาได้ตรงไหนเลย ฉันน่ะ แค่จะหาทางไปทางมาในป่าแห่งเวทย์มนต์ก็ยากพอแล้ว แล้วดูสิเนี่ย มามีพื้นที่ที่โดนเผาเกรียมเป็นผง แล้วยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรพิลึกเพิ่มมาอีก นี่ป่านี้มันเกิดวิบัติอะไรขึ้นนักเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้ว"

    "เจ้าอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ต้นไม้ถูกเผาด้วยหรือเปล่า" เม็นแดนบาร์ถาม "เจ้าเห็นมั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าใครเป็นคนทำ"

    (มีต่อ)

    จากคุณ : froggie - [ 8 ม.ค. 46 19:15:10 A:203.146.161.32 X: ]