กระต่ายกับเต่าฉบับโลกาภิวัตน์

    มีน้องคนหนึ่งส่งบทความที่น่าสนใจมาให้แจกจ่ายพรรคพวกอ่าน ผมอ่านแล้วเห็นว่าน่าสนใจก็เลยขอแปลนำมาแปะไว้ให้ได้อ่านกันทั่วๆ หวังว่าคงเป็นประโยชน์ตามควร

    กระต่ายกับเต่า

    ในกาลครั้งหนึ่ง กระต่ายกับเต่าทุ่มเถียงกันว่าใครวิ่งเร็วกว่ากัน ในที่สุดก็ตกลงกันว่าจะวิ่งแข่งกันให้รู้ดำรู้แดง เมื่อตกลงเรื่องเส้นทางได้แล้วก็ลงมือออกวิ่งแข่งกัน กระต่ายวิ่งปรื๋อไปได้พักหนึ่งก็นำหน้าเต่าไปไกลลิบ มันจึงคิดว่าจะนั่งพักใต้ต้นไม้สักประเดี๋ยวก่อนที่จะออกวิ่งต่อไป


    มันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้อยู่ไม่นานก็ม่อยหลับไป เต่าเดินงุ่มง่ามอย่างไม่ย่อท้อมาจนทันและไม่ช้านักก็เข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะเลิศโดยไม่มีข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น กระต่ายตกใจตื่นขึ้นมาก็รู้ว่าตัวเองแพ้การแข่งขันเสียแล้ว นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการทำอะไรให้คงเส้นคงวาแม้จะเชื่องช้าก็ทำให้ประสบชัยชนะได้ เราทุกคนคงเคยได้ฟังนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าฉบับนี้กรอกหูจนชินตั้งแต่เล็กจนโต


    แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีใครคนหนึ่งเล่านิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าอีกฉบับหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งขึ้นให้ผมฟัง เรื่องมันมีต่อไปอย่างนี้

    กระต่ายผิดหวังมากที่แพ้การแข่งขัน มันกลับมานั่งพิจารณาตัวเองใหม่อย่างละเอียดว่าบกพร่องตรงไหน มันตระหนักว่ามันแพ้การแข่งขันคราวที่แล้วก็เป็นแต่เพียงเพราะว่ามั่นใจในตัวเองมากเกินไป ประมาทเลินเล่อ และหย่อนวินัย ถ้ามันไม่นิ่งนอนใจเสียอย่างละก็เต่าไม่มีทางชนะมันได้เลย มันจึงกลับไปท้าเต่าวิ่งแข่งกันอีกครั้งหนึ่ง เต่าก็ตอบตกลง คราวนี้กระต่ายออกวิ่งเต็มฝีเท้าและไม่ยอมหยุดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ มันเข้าเส้นชัยก่อนและทิ้งห่างเต่าหลายกิโล ฝ่ายที่ทำอะไรเร็วอย่างสม่ำเสมอนั้นย่อมจะชนะฝ่ายที่ทำอะไรได้ช้าแม้จะคงเส้นคงวาก็ตาม ถ้าในหน่วยงานของเรามีคนสองคน คนหนึ่งทำอะไรตามขั้นตอนอย่างช้าๆและเชื่อถือได้ กับอีกคนหนึ่งที่ทำอะไรได้เร็วและก็เชื่อถือได้พอๆกัน คนที่ทำอะไรได้เร็วและเชื่อถือได้ก็ย่อมจะมีความก้าวหน้าในหน่วยงานเร็วกว่าคนที่ทำอะไรช้าเป็นขั้นเป็นตอนเสมอ การทำอะไรช้าๆได้พร้าเล่มงามก็ดีอยู่หรอกแต่ถ้าทำอะไรได้เร็วและพึ่งพาอาศัยได้ก็ย่อมจะดีกว่า อย่างไรก็ดี นิทานเรื่องนี้ยังไม่จบ คราวนี้เต่ากลับเป็นฝ่ายต้องมานอนคิดบ้าง มันตระหนักว่าถ้าวิ่งแข่งกันในรูปแบบที่ทำกันมานั้นมันไม่มีหนทางจะเอาชนะกระต่ายได้เลย มันคิดหาหนทางอยู่พักหนึ่งแล้วก็กลับไปท้ากระต่ายมาแข่งกันอีกครั้งแต่ใช้เส้นทางใหม่ กระต่ายก็ตกลง เมื่อเริ่มการแข่งกระต่ายก็ออกห้อเต็มฝีเท้าตามคติประจำตัวที่จะต้องทำอะไรให้เร็วอย่างสม่ำเสมอ มันวิ่งเร็วจี๋มาจนถึงแม่น้ำกว้างสายหนึ่ง เส้นชัยนั้นอยู่ห่างออกไปประมาณสองกิโลอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ กระต่ายได้แต่นั่งมองไม่รู้จะทำอย่างไร ในขณะเดียวกัน เต่าก็เดินเตาะแตะตามมาจนทัน เดินลงไปในน้ำ ว่ายน้ำข้ามไปอีกฟากหนึ่ง แล้วก็เดินต่อไปจนเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก นิทานเรื่องนี้มีคติสอนใจอย่างไร ?

    ก่อนอื่น จงรู้จักตนเองว่าทำอะไรได้เก่งที่สุดแล้วจึงเลือกสนามที่เหมาะกับความเก่งของคุณ ตกมาถึงตอนนี้ กระต่ายกับเต่าก็รู้จักกันดีจนกลายเป็นเพื่อนรักกันไปแล้วก็เลยมาสุมหัวกันคิด ทั้งคู่ตระหนักว่าการวิ่งแข่งหนที่ผ่านมานั้นน่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้ ทั้งสองจึงตกลงใจจะวิ่งใหม่อีกครั้งแต่คราวนี้วิ่งกันเป็นทีม

    เมื่อออกเริ่มวิ่ง กระต่ายเป็นฝ่ายแบกเต่ามาจนถึงริมฝั่งน้ำ จากนั้นเต่าเป็นฝ่ายแบกกระต่ายพาว่ายข้ามน้ำไปจนถึงอีกฟากหนึ่ง เมื่อขึ้นฝั่งได้กระต่ายก็กลับเป็นฝ่ายแบกเต่าพาวิ่งไปจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน ทั้งสองต่างรู้สึกพออกพอใจผลงานยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาแต่ก่อน นิทานเรื่องนี้สอนว่าอย่างไร? การทำอะไรได้เก่งแบบข้ามาคนเดียวนั้นก็ดีอยู่แต่หากว่าเราไม่สามารถทำงานเป็นทีมและพึ่งพาความเก่งซึ่งกันและกันได้แล้วไซร้ เราก็จะสร้างผลงานได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่น่าพอใจอยู่เสมอเพราะว่ามันจะต้องมีสถานการณ์บางสถานการณ์อยู่เสมอที่เราทำอะไรได้ไม่เก่งแต่คนอื่นเขาทำได้ดี

    การสร้างทีมเวิร์คนั้นข้อใหญ่ใจความอยู่ที่การรู้จักเลือกผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์โดยการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเก่งเหมาะกับสถานการณ์นั้นๆขึ้นมาเป็นผู้นำ ยังมีบทเรียนจากนิทานเรื่องนี้อีกหลายข้อ โปรดสังเกตว่าทั้งกระต่ายและเต่าต่างก็ไม่มีใครยอมแพ้หลังประสบกับความล้มเหลว กระต่ายตัดสินใจที่จะทำงานหนักยิ่งขึ้นและพยายามให้มากขึ้นหลังจากที่พ่ายแพ้ เต่าเองก็เปลี่ยนยุทธวิธีเพราะว่าตัวเองก็ทำงานหนักที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่แล้ว ในชีวิตจริงนั้นเมื่อเราประสบความปราชัย บางครั้งการทำงานให้หนักขึ้นและพยายามให้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่เหมาะกับสถานการณ์ บางครั้งการเปลี่ยนยุทธวิธีและลองอะไรที่แปลกใหม่ไปก็เป็นสิ่งที่ควรทำ และบางครั้งก็ควรจะทำทั้งสองอย่าง ทั้งกระต่ายกับเต่าต่างก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเราหยุดมุ่งเอาชนะคู่แข่งแต่หันมามุ่งเอาชนะสถานการณ์แทน เรามักจะทำได้ดีกว่าเดิมเป็นอย่างมาก

    เมื่อโรเบอร์โต กอยซูต้า รับหน้าที่เป็นประธานกรรมการบริหารบริษัทโคคาโคล่าในสมัยปี 1980 เขาต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดกับบริษัทเป๊ปซี่ซึ่งเข้ามาแย่งชิงตลาดจนทำให้อัตราการเติบโตของโค้กต้องชะลอตัวลง ทีมงานบริหารของเขาเพ่งเล็งแต่เป๊ปซี่และตั้งอกตั้งใจที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้ทีละ 0.1 เปอร์เซ็นต์ กอยซูต้าตัดสินใจเลิกแข่งขันกับเป๊ปซี่และหันมาเอาชนะสถานการณ์ที่ส่วนแบ่งตลาดเติบโตเพียง 0.1เปอร์เซนต์ เขาตั้งคำถามทีมงานบริหารว่า คนอเมริกันโดยเฉลี่ยดื่มน้ำปริมาณเท่าไรต่อวัน ?

    คำตอบคือ 14 ออนซ์ แล้วส่วนแบ่งของโค้กมีอยู่เท่าใด ? สองออนซ์ ! กอยซูต้ากล่าวว่าโค้กต้องการส่วนแบ่งตลาดที่มากกว่านั้น คู่แข่งไม่ใช่เป๊ปซี่ คู่แข่งคือ น้ำเปล่า, น้ำชา, กาแฟ, นม และน้ำผลไม้ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นอีก 12 ออนซ์ที่เหลือ สาธารณะชนควรจะเลือกหยิบโค้กเมื่อไรก็ตามที่รู้สึกกระหายอยากจะดื่มอะไรสักอย่าง

    เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นี้ โค้กจึงติดตั้งเครื่องขายอัตโนมัติไว้ทุกสี่แยกถนน ยอดขายพุ่งพรวดพราดอย่างก้าวกระโดดจนเป๊ปซี่ตามไม่ทันจนถึงเดี๋ยวนี้ สรุปแล้วก็คือ นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าสอนอะไรเราหลายอย่าง ที่สำคัญๆก็คือ
    การทำอะไรที่เร็วและสม่ำเสมอจะเอาชนะการทำอะไรช้าแต่คงเส้นคงวาได้เสมอ
    จงเลือกทำงานที่เราเก่ง
    การรวมทรัพยากรและทำงานเป็นทีมย่อมเอาชนะคนที่ทำงานแบบดาราข้ามาคนเดียวได้เสมอ
    อย่ายอมแพ้เมื่อประสบความปราชัย และข้อสุดท้าย
    จงมุ่งเอาชนะสถานการณ์ ไม่ใช่มุ่งเอาชนะคู่แข่ง

    แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 46 09:15:14

    จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 17 ก.พ. 46 22:51:22 ]