ผจญมิติหิมพานต์ บทที่2

    มีหลายคนทายถูกนะคะ แต่ไม่เฉลยดีกว่า ต้องลองอ่านเอง ว่าตัวอะไรกันแน่ที่ตกลงมา
    *****************************

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” กานดามณีครางออกมาเมื่อขับรถกลับมาถึงบ้านตัวเองโดยมีครูหนุ่มและตัวประหลาดติดรถกลับมาด้วย
    รถของครูธรรมรักษ์ถูกจอดไว้ยังข้างทางเนื่องจากสภาพรถนั้นเสียหายจนไม่สามารถขับต่อไปได้ หญิงสาวจึงอาสาขับรถพาตัวเขาและสิ่งมีชีวิตประหลาดกลับมาที่บ้านของเธอ

    “เราน่าจะเอาเขาไปส่งโรงพยาบาลนะคะ” น้อยหน่าซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเอ่ยขึ้น เธอ น้องชายและน้าสาวเพิ่งกลับจากการทานอาหารเย็นร่วมกัน ระหว่างทางจึงมาพบครูประจำชั้นของน้อยโหน่งเข้า

    “ผมว่าอย่าดีกว่า ขืนเอาเจ้าพวกนี้ไปส่งโรงพยาบาลคงวุ่นวายกันน่าดู” ครูธรรมรักษ์เอ่ยค้าน
    “แล้วตกลงว่า เจ้าตัวนี้มันเป็นอะไรกันแน่ครับ สัตว์ต่างดาวนอกโลกเหรอ” น้อยโหน่งถามขึ้นด้วยความสงสัย

    เมื่อพิศดูสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่ขดตัวนอนมองพวกเขาอยู่ด้วยท่าทางเซื่องซึม เด็กชายไม่รู้จะให้คำบรรยายกับมันอย่างไรดี

    เพราะมันมีลักษณะคล้ายสัตว์หลายชนิดผสมปนเปกัน ไม่ว่าจะเป็นส่วนหัว ถ้าเด็กชายดูไม่ผิดเขากลับคิดว่ามันช่างดูเหมือนหัวของมังกรที่เขาเคยเป็นตามหนังสือภาพหรือกำแพงวัดจีนทั่วไป จะแปลกก็ตรงที่มันยังมีเขาอีกสองเขางอกออกมา ส่วนช่วงลำตัวของมันกลับดูยาวรีราวกับลำตัวของกวางยังไงยังงั้น แถมด้วยหางที่เป็นพวงยาวและกีบเท้าสี่คู่สีดำสนิทตัดกลับสีน้ำเงินเป็นมันวาวตามลำตัว แถมบริเวณส่วนท้องของมันยังมีขนเป็นสีเหลืองอร่าม

    “พวกเธอจะเชื่อกันรึเปล่าล่ะ ถ้าครูจะบอกว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่อยู่ต่อหน้าพวกเรานี้มันมีลักษณะไม่ผิดเพี้ยนไปจากตัวกิเลนที่ครูเคยอ่านในวรรณคดีเลย” ครูธรรมรักษ์บอก
    “หา!! เจ้าตัวนี้น่ะเหรอ จะเป็นไรได้อย่างไรกัน” เด็กทั้งสองอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
    “ไหนครูเคยบอกผมไงว่าเจ้าสัตว์พวกนี้ไม่มีตัวตนอยู่จริง” น้อยโหน่งย้อนคำครูหนุ่ม

    “ก็…มันควรจะเป็นแบบนั้นนี่นา สัตว์ในตำนานเหล่านี้มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่คนสมัยก่อนแต่งขึ้นเท่านั้น ไม่รู้สิ ครูเองก็ยังงงไม่หายเลย”

    แต่ก่อนที่ใครจะทันเอ่ยถามอะไรขึ้น จู่ๆ กระจกบานใหญ่บริเวณห้องรับแขกก็แตกกระจายพร้อมๆ กับร่างๆ หนึ่งที่โผล่พรวดเข้ามา

    ร่างๆ นั้นเปียกชุ่มและสะบักสะบอมไปด้วยน้ำฝนและดินโคลน บุคคลผู้มาใหม่นี้เป็นเด็กชายตัวน้อยอายุไม่น่าเกินสิบปี เขามีผมสีน้ำตาลอมแดง ดวงตาสีเขียวมรกตที่วาวโรจน์ขึ้นอย่างระแวดระวังภัย ผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลไหม้ซึ่งมองเห็นร่องรอยบาดเจ็บทั่วลำตัวเนื่องจากเขาไม่ได้สวมใส่สิ่งใดปกปิด

    แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับบุคคลในบ้านนี้เป็นอย่างมากก็คือ บริเวณช่วงล่างของเด็กชายผู้นี้กลับไม่ได้มีสภาพดั่งที่น้อยโหน่งหรือเด็กคนอื่นเป็น ตั้งแต่บริเวณเอวลงไปจนจรดปลายเท้าของเขานั้นมีสภาพไม่ต่างไปจากลำตัวส่วนล่างของนกทั้งหลาย มันประกอบไปด้วยขนสีเขียวอ่อนที่เปรอะเปื้อนด้วยดินโคลน ปีกคู่กระทัดรัดที่หุบอยู่ข้างลำตัวและขาสีน้ำตาลเหลืองอีกคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยกรงเล็บอันแหลมคม
    “ตัวกินนร!” ครูธรรมรักษ์ครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา

    ไม่ต่างจากบุคคลที่เหลือทั้งสามนัก กานดามณีมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับสองเด็กน้อยที่มีท่าทางตื่นเต้นที่เห็นตัวละครในหนังสือออกมาโลดเล่นได้จริงดั่งฝัน
    “เอาเพื่อนของข้าคืนมา” ตัวกินนรน้อยร้องบอกด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

    “พูดได้ด้วยแหะ ดีจัง” น้อยโหน่งกล่าว
    “เอาเพื่อนข้าคืนมา” เขากล่าวซ้ำ
    โดยไม่ฟังคำตอบรับหรือคัดค้านของบุคคลทั้งสี่ กินนรน้อยก็กางปีกพร้อมกับพุ่งตรงเข้าใส่ชายหนุ่มซึ่งดูแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุคคลที่เผชิญหน้ากันอยู่

    ครูธรรมรักษ์ซึ่งไม่ไว้ใจเจ้ากินนรน้อยอยู่แต่แรกแล้วเอี้ยวตัวหลบการประทุษร้ายของเขาได้ทันท่วงที ผลก็คือ กรงเล็บทั้งสองของกินนรน้อยไขว่คว้าได้เพียงอากาศธาตุ และนั่นยิ่งทำให้เขาไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้

    “โครม!” ชั้นหนังสือชั้นใหญ่บริเวณหน้าห้องรับแขกล้มครืนลงมาจากแรงปะทะของกินนรน้อย หนังสือกว่าร้อยเล่มตกลงมาทับตัวเขา
    “ตายแล้ว” น้อยหน่าอุทานพร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือกินนรน้อย

    กว่าจะเอาตัวกินนรน้อยออกมาจากกองหนังสือได้ก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ครูธรรมรักษ์เป็นฝ่ายอุ้มตัวกินนรน้อยมานอนบนโซฟา ไม่ห่างจากเจ้ากิเลนบินได้ตัวนั้นนัก
    “เป็นอะไรมากรึเปล่า” กานดามณีเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย

    หญิงสาวเข้าไปรื้อค้นตู้ยาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับกะลามังน้ำอุ่นและผ้าพันแผล เธอช่วยทายาและพันแผลให้กับกินนรน้อยอย่างเบามือ

    “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า ข้าไม่คิดว่าพวกท่านจะเป็นคนดี ขอโทษด้วยสำหรับการกระทำเมื่อครู่” กินนรน้อยกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ทำแผลเสร็จ
    “ไม่เป็นไรหรอก ตกลงว่าเจ้าตัวนี้เป็นเพื่อนของเธอรึเปล่า?” หญิงสาวถาม
    “สิงขรเป็นเพื่อนข้า และมันก็กำลังบาดเจ็บด้วย โปรดช่วยเพื่อนข้าด้วยเถิด” กินนรน้อยกล่าว

    ครูธรรมรักษ์เป็นฝ่ายเดินเข้าไปดูอาการของเจ้ากิเลนตัวนั้น ชายหนุ่มพบว่าบริเวณขาหน้าทั้งคู่ของมันหักซึ่งคงเป็นผลมาจากการตกลงมากระแทกหลังคารถนั่นเอง
    “ท่าทางเจ้าตัวนี้จะอาการหนัก” ชายหนุ่มหันมากระซิบกับหญิงสาว


    “จะเอามันไปหาหมอไหมคะ?” กานดามณีถาม
    “ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ถ้าทำเช่นนั้นขอผมคิดดูก่อนนะ เอ…ขอยืมใช้โทรศัพท์บ้านคุณหน่อย ผมรู้จักสัตวแพทย์อยู่คนหนึ่งในหมู่บ้านนี้ คิดว่าเรียกเขามาช่วยรักษาให้จะดีกว่า” ชายหนุ่มว่า
    “ตกลงค่ะ”

    ใช้เวลาตามตัวสัตวแพทย์อยู่ไม่นาน เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของชายชราวัยหกสิบปี เขามีอาชีพเป็นสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้นัก ด้วยหน้าที่ที่รักษาสัตว์อยู่นานกว่าสิบปีทำให้เขาได้พบกับสัตว์แปลกๆ มากมายที่เจ้าของนำมารักษา

    แต่ก็ยังไม่มีสัตว์ตนใดแปลกประหลาดเท่ากิเลนบินที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้
    “เออ นี่มันตัวอะไรกันครับ” เขาหันมาถามชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นดั่งเจ้าของบ้าน
    ครูธรรมรักษ์มีท่าทางอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบออกไปอย่างจำใจ

    “กิเลนครับ”
    “หือ ครูไปได้เจ้าตัวนี้มาจากไหน?” ชายชราถามพลางก้มลงพิจารณาเจ้ากิเลนตัวนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ
    จะบอกว่ามันตกลงมาจากฟ้าก็ดูเหลือเชื่อเกินไป ดังนั้นครูหนุ่มจึงปดออกไปว่า

    “เพื่อนผมคนหนึ่งเขาเอามาฝากไว้ครับ เห็นว่าจับมาได้จากป่าแถวๆ แอฟริกา คุณก็รู้ว่าป่าแถวนั้นมีสัตว์แปลกๆ เยอะ ผมเห็นรูปร่างมันเหมือนตัวกิเลนก็เลยตั้งชื่อมันไปแบบนี้ ความจริงแล้วมันเป็นสัตว์พันธุ์ไหน ผมเองก็จนปัญญาที่จะบอกคุณเหมือนกัน คงต้องรอถามเพื่อนผมดูเองล่ะครับ”

    “อ้าว แล้วเพื่อนของครูคนนี้ไปไหนเสียล่ะ” ชายชรายังคงคาดคั้นต่อ
    “มีงานด่วนเรียกตัวเขาครับ เห็นว่าจะบินไปอินเดีย คงอีกเป็นเดือนกว่าจะบินกลับมา” ชายหนุ่มปดไปเรื่อย
    สัตวแพทย์ชราพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเริ่มลงมือตรวจอาการเจ้ากิเลนตัวนี้

    “ขาหน้าทั้งคู่หักและมีบาดแผลตามลำตัวนิดหน่อย ผมทายาแล้วก็ดามขาให้มันเรียบร้อยแล้วครับ คิดว่าคืนนี้คงมีไข้ ให้ทานยานี้ลดไข้นะครับ” สัตวแพทย์กล่าวทิ้งท้าย
    เขาหันกลับมามองเจ้ากิเลนอีกครั้งก่อนกลับออกจากบ้านไป

    “เพื่อนข้าเป็นอย่างไรบ้าง” กินนรน้อยที่แอบอยู่อีกห้องหนึ่งโผล่เข้ามาทันทีที่ชายชราเดินออกจากบ้านไป
    “ไม่เป็นไรมากหรอก พรุ่งนี้ก็หายแล้ว” ครูธรรมรักษ์ปลอบใจ

    กินนรน้อยมีท่าทางโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนทรุดตัวนั่งอย่างหมดแรง
    “เอาล่ะทีนี้เธอบอกพวกเราได้รึยังว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน และกำลังคิดจะทำอะไร” ครูธรรมรักษ์ถามเป็นชัด

    “ข้าชื่อศิลินทร์ เป็นชนเผ่ากินนรแห่งป่าหิมพานต์” เขาเริ่มต้นเล่าเรื่อง
    “หา!! ว่าไงนะ เธออาศัยอยู่ในหิมพานต์งั้นเหรอ?” น้อยหน่าอุทานเสียงหลงอย่างไม่เชื่อถือ

    “ทำไมเจ้าต้องทำเสียงดังเช่นนั้นด้วย ป่าหิมพานต์มีสิ่งใดที่มนุษย์อย่างเจ้าหวาดกลัวนักหรือ” คิลินทร์ถามด้วยสุ่มเสียงไม่พอใจ
    “ใครบอกว่ากลัวเล่า ฉันแค่ตกใจเท่านั้นที่จู่ๆ ป่าในวรรณคดีก็กลับมีปรากฎขึ้นจริงแบบนี้” เด็กหญิงบ่น

    “สมมุติว่าที่เธอพูดมาเป็นเรื่องจริงหมด แล้วทำไมเธอถึงมาที่นี่ในเมื่อนี่มันเป็นเมืองไม่ใช่ป่าอย่างที่เธอเคยอยู่” ครูธรรมรักษ์ถามต่อ
    “ข้ามาที่นี่เพื่อตาพามารดาและเผ่ากินนรของข้า ข้ากับน้องและสิงขรเลยต้องข้ามดินแดนมาจนถึงเมืองแห่งนี้”

    “เธอกับน้องเหรอ? อ้าว! แล้วน้องเธอไปไหนเสียล่ะ” น้อยโหน่งว่าพลางเหลียวมองรอบกาย
    ราวกับกินนรน้อยเพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ สีหน้าของเขามีท่าทางหวั่นวิตกอย่างเห็นได้ชัด
    “ตายล่ะ น้องข้าอยู่ไหน ข้าทิ้งน้องไปได้อย่างไร” ศิลินทร์เหลียวซ้ายแลขวาด้วยท่าทางตกใจ

    “นายหลุดออกมาพร้อมน้องจริงๆ เหรอ บางทีน้องของนายอาจยังติดอยู่ในป่านั่นก็ได้” น้อยโหน่งตั้งข้อสังเกต
    “ไม่มีทาง ข้าอุ้มเขามากับมือข้า ข้าต้องรีบออกไปตามหาน้องข้าแล้ว” กินนรน้อยกล่าวอย่างร้อนรน

    ก่อนที่เขาจะกางปีกพุ่งทะยานออกไปนอกหน้าต่าง เสียงคำรามเบาๆ ของกิเลนบินที่หมอบอยู่ก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน
    “เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ พักอยู่นี่แหละไม่ต้องออกไปช่วยข้า” คิลินทร์สั่ง
    “ฮากกก” สิงขรคำรามเบาอีกครั้งก่อนปากใหญ่อันเต็มไปด้วยเขี้ยวอันแหลมคมจะคลายออก
    และสิ่งที่ตั้งเด่นอยู่กลางลิ้นสีแดงสดของมันก็คือไข่ใบโตสีเหลืองนวลที่ถูกทะนุถนอมไว้เป็นอย่างดี

    จากคุณ : ไฟลี่ - [ 6 มี.ค. 46 08:00:15 A:203.149.41.206 X: ]