บทที่ 9 - ความแตก
จะมีอะไรที่น่าปวดหัวและไร้สาระมากไปกว่าการเป็นพระราชาอีกไหม
เป็นความคิดที่มันวิ่งไปมาในหัวของเฟรินตลอดจะครบเดือนอยู่นี่ เริ่มด้วยรายงานหนึ่งร้อยหน้าจากวิชาประวัติศาสตร์กษัตริย์ที่แสนจะน่าเบื่อของอาจารย์เจ้าชาย จากนั้นตามมาด้วยวิชาอบรมคุณสมบัติราชันย์ของอาจารย์เจ้าหญิงที่เล่นเอาเขาแทบจะพิการไปทั้งตัว กับการยืนตัวตรง นั่งตัวตรง เดินตัวตรง แล้วยังวิชาท้องพระคลังพระราชาที่เล่นเอาเขาแทบเป็นบ้าของอาจารย์กิบบอน ซาตัน
"พระราชาต้องรู้จักใช้เงิน ใช้เงินไม่เป็นจะเป็นพระราชาได้ยังไง เอา ตอนนี้ขอให้ทุกคนผลัดกันขึ้นมาเล่าประสบการณ์การตัดสินใจจ่ายเงินที่มากที่สุดในชีวิตของตนหน้าชั้น"
แล้วเขาก็ปล่อยไก่ตัวเบอเริ่มด้วยการพูดถึงการจ่ายเงินซื้อดาบปฐพีราคาสิบคราวน์ ก็ใครจะไปคิดว่าเด็กอายุสิบห้าสิบหกเหมือนกันกับเขาจะมีปัญญาไปจ่ายเงินซื้ออะไรแพงนักหนา แม้แต่ขอทานอย่างโร เซวาเรส ยังจ่ายเงินตั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคราวน์เพื่อซื้อกะลาทองคำ
ส่วนวิชาสัตว์พาหนะพระราชาก็ยิ่งทำให้เขาปวดหัวหนักกว่าเก่า ม้าทรงโรซี่ที่เจนสนามของพ่อ อยู่ดีๆก็เกิดเล่นตัวในระหว่างเรียน แต่จะว่ามันก็ไม่ได้เพราะมันก็อายุมากแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าม้าจะวิ่งช้าแพ้แม้กระทั่งลาทรงของจักรพรรดิ์ขอทานอย่าง โร เซวาเรส
แล้วแม้แต่วิชาที่น่าจะสนุกที่สุดอย่างวิชาดาบ ก็น่าเบื่อไปถนัดใจ เมื่ออาจารย์ประจำวิชาคือ อาจารย์หนุ่มหน้าใหม่นาม ลอร์ดลาเวน ชมัคเกอร์ เดอะเกรท วอริเออร์ ออฟบารามอส กลับกลายเป็นคนขี้หลีบ้าผู้หญิงไปได้ นัยน์ตาของเขาจับมองแต่เด็กนักเรียนผู้หญิง และเกือบจะเรียกว่าสอนให้แต่กับพวกผู้หญิงในชั้นเท่านั้น จนเขาแทบไม่ได้เรียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย นอกจากการยกดาบขึ้นลงขึ้นลง
พระเจ้า อะไรดลใจให้ท่านมาดัส เดอเบอโรว์ นึกบ้าอยากขโมยตัวเจ้าชายแล้วส่งตัวเขามาเข้าโรงเรียนบ้าๆนี่
ยังไงก็ตาม วิชาหน้ากากฟาโรห์ค่อยช่วยให้เฟริน คลายประสาทที่กำลังผึงๆจะขาดให้หย่อนลงได้หน่อย เป็นวิชาที่เขาโปรดปรานและทำคะแนนดีได้รับคำชมมากที่สุด วิชาของอาจารย์อดีตกษัตริย์โอเรค เฟมิงโก แห่งโคมาน อาจารย์อายุเกือบหกสิบแล้วแต่กระฉับกระเฉงว่องไว อารมณ์ดีและมีอารมณ์ขัน ถึงแม้จะชอบคุยโม้ แต่สิ่งที่เรียนในชั่วโมงก็สนุกน่าตื่นเต้น เช่นเจ็ดสิบสองกลวิธีการตอบปฏิเสธโดยไม่ให้รู้ตัว ห้าสิบหกวิธีการให้คำสัญญาที่ไม่ผูกมัดตัวเอง หรือสิบแปดวิธีการโกหกไม่ให้จับได้ สิ่งสำคัญที่สุดในวิชานี้คือตั้งแต่เริ่มวิชาจนจบวิชาตลอดชั่วโมงห้ามพูดความจริง หรือแสดงสีหน้าท่าทางที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองเด็ดขาด
"พระราชาคือนักโกหกที่เก่งที่สุดในโลก โกหกระดับพระราชาคือโกหกอย่างไม่มีใครจับได้ และเพราะท่านมีหน้ากากเป็นพันหน้า จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของพระราชา"
ส่วนวิชาที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนที่สุด เห็นจะไม่พ้น วิชาศาสตร์เวทมนตร์ ของอาจารย์แม่มดวิงกี้ เชโนวาส เดอะเกรทวิชเชส ออฟสโนว์แลนด์ มันเป็นวิชาที่เขาต้องโดดไปนั่งถึงมุมหลังสุดของห้อง ภาวนาตัวแข็งขอให้พระเจ้าช่วยตลอดชั่วโมง เพราะกลัวเหลือเกินว่าคทาเรืองแสงแสนวิเศษของพ่อมันจะเข้าตาอาจารย์เข้า แล้วรับรองได้เลยว่าถ้าเป็นจริง สุดยอดแห่งความฉลาดอย่างอาจารย์แม่มดวิงกี้คงจับไต๋ได้ทันทีที่เห็นคทาสุดยอดนั่น
ดังนั้นทุกครั้งที่อาจารย์ให้นักเรียนฝึกใช้เวท เฟรินต้องเป็นอ้างเหตุปวดหัว ปวดท้อง ไม่สบายมาตลอด จนคิดไม่ออกจริงๆแล้วว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรอีก แย่กว่านั้นลายปลายของคทาไม้ก็เริ่มซีด แสงแบตเตอรี่ก็เริ่มอ่อน จนเมื่อวานคิลถึงกับทักว่า เขาคงจะนอนไม่พอทำให้พลังเวทเริ่มถดถอย
แต่ยังไงก็แล้วแต่ เรื่องน่าเวียนเกล้าที่สุดสำหรับเฟรินยามนี้คือ การไม่มีวี่แววแม้แต่น้อยจากคนต้นคิดแผนการชั่วร้าย มาดัส เดอเบอโรว์ มันชวนให้นึกเสียววูบๆว่า คงจะเหลือแต่เขาที่ต้องเผชิญชะตากรรมที่นี่คนเดียวซะแล้ว ชะตากรรมที่เลวร้าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการสอบย่อยวันพรุ่งนี้!
เหลือบไปมองเพื่อนร่วมห้อง คิล ฟีลมัส เพื่อนที่สนิทที่สุดในโรงเรียนพระราชา นายคนที่กำลังนอนกรนเบาๆหลับไปอย่างสบายใจตั้งนานแสนนาน ดูจะไม่มีความกังวลในการสอบพรุ่งนี้เลยแม้แต่นิด ทั้งที่เป็นคนที่หลับตลอดในวิชาประวัติกษัตริย์ โดดประจำในวิชาคุณสมบัติราชา ส่วนวิชาเวทมนตร์กับวิชาดาบก็หาเรื่องอู้เสมอแบบเดียวกับเขา ถึงจะทำคะแนนได้ยอดเยี่ยมในวิชาการใช้เงินกับวิชาหน้ากากฟาโรห์ก็เถอะ
เฟรินหยิบคทาที่เขาเพิ่งเปลี่ยนแบตเตอรี่มาถือไว้ในมืออย่างนึกเหนื่อยใจ แสงไฟจากคทาส่องแสงเรืองรองอยู่ในความมืดของห้องนอนที่ดับไฟไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่เสียงจากตะเกียงดวงเล็กๆที่เขาจุดไว้กลางโต๊ะทำงาน หนังสือกองตั้งโตอย่างที่ไม่ชวนให้อ่านเลยสักนิด
ความจริงผลสอบจะเป็นยังไงเขาก็ไม่นึกแคร์ จะสอบวิชาไหนก็คงไม่มีปัญหา ถ้าจะไม่ใช่ต้องสอบวิชาของอาจารย์แม่มดวิงกี้ในวันพรุ่งนี้ด้วย ที่พยายามเลี่ยงมาตลอดหนึ่งเดือนคง...
กริ๊ก...
เสียงไขประตูห้องก่อนจะตามมาด้วยเสียงประตูที่ถูกเปิดออก ร่างเจ้าของห้องคนที่สามที่เพิ่งจะกลับมาจากข้างนอกเดินย่างเข้ามาแล้วปิดประตูลงเบาๆ
เฟรินหันไปมองร่างสูงสง่าของเจ้าชายแห่งคาโนวาล ผู้จนบัดนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าเป็นบุคคลที่เข้าด้วยยากที่สุด คนที่เขานึกสงสัยนักว่า เก่งขนาดนั้นแล้วทำไมยังต้องขยันขนาดนี้
นัยน์ตาสีฟ้าคมใสสบมองกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเฟรินชั่วขณะก่อนเหลือบไปมองคทาส่องแสงในมือของเขา ซึ่งมันทำให้เฟรินรู้สึกร้อนวูบไปที่หน้าถึงแม้บุรุษตรงหน้าจะไม่ได้พูดอะไรสักคำ ไม่มีแม้แต่การเปลี่ยนแปลงสีหน้าแต่หัวใจของเฟรินกลับเต้นโครมๆราวกับเด็กถูกจับได้ว่าแอบกินขนมในห้อง จนรีบปล่อยคทาออกจากมือแทบไม่ทันจนคทาตกลงไปบนพื้นแล้วแสงก็วูบดับสนิท
คาโลเดินตรงเข้ามาใกล้ เขาวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะทำงานรวมที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาสีฟ้ามองไปยังตำราที่เฟรินเปิดกางอยู่แล้วก้มลงมองคทาที่ตกอยู่ที่พื้น แล้วไม่ทันที่เฟรินจะเอ่ยปากห้าม คาโลก็ก้มลงไปหยิบคทานั่นขึ้นมา
มันเป็นสถานการณ์เหนือความคาดคิดของเขา ใครจะไปคิดว่าคนอย่างเจ้าชายคาโลจะช่วยเขาหยิบคทา
มันเป็น...โศกนาฏกรรมชัดๆ
เฟรินกลืนน้ำลายเอื๊อก เมื่อแสงไฟจากคทาของเขาส่องแสงสว่างจ้าในมือของคาโล
"ง่า.. นายนี่มีพลังเวทมนตร์ที่แกร่งกล้าจริงๆนะ ปรินซ์คาโล" มันเป็นคำแก้ตัวที่แย่ที่สุดเท่าที่เฟรินเคยมีมา แต่ก็เป็นคำแก้ตัวเดียวที่เขานึกได้ในขณะนี้
ดวงหน้าของคาโลยังคงสงบ แต่นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยคู่นั้นเริ่มมีแววผิดออกไป ก่อนจะเบือนมามองที่เฟรินอย่างเค้นเอาความจริงโดยไม่ปริปากพูดสักคำ เฟรินพยายามฝืนสายตาประสานกับบุรุษตรงหน้า ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าคู่ที่สวยที่สุดแต่ก็เกือบจะเยียบเย็นที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น นัยน์ตาคู่ที่มีความมั่นคงสงบแต่กระจ่างราวกับมองทะลุทุกอย่าง ที่บัดนี้มีอำนาจคาดคั้นอะไรบางอย่างที่เฟรินรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด จนกลืนน้ำลายฝืดคอ แล้วในที่สุดก็ถึงกับต้องยอมแพ้
"เลิกสงสัยได้ อย่างที่นายคิดนั่นล่ะเจ้าชาย ของที่นายถือ...มันเป็นของเก๊" เฟรินสารภาพแล้วถอนหายใจ "นั่น อย่าเอามือไปลูบตรงนั้น สีมันกำลังลอก"
คำเตือนของเขาช้าไปหน่อย เมื่อคาโลลูบไปเรียบร้อย แล้วสีก็ติดมือเรียบร้อยเหมือนกัน
"ตกลงเป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้จริงๆซะด้วย" เสียงจากคนที่ควรจะนอนหลับที่บัดนี้นัยน์ตาคู่สีม่วงกำลังฉายประกายใสระริกจ้องมองมาพร้อมความกระตือรือร้น พร้อมเขยิบเข้ามาใกล้ "นายนี่เป็นคนที่กล้าหาญที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นจริงๆ กล้าเอาคทาปลอมมาหลอกแม้กระทั่งกับอาจารย์แม่มดวิงกี้"
เฟรินเบิกตาโตมองคนที่ตื่นนอนได้จังหวะ อ้าปากจะแก้ตัวอะไรสักอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนใจเป็นถอนหายใจอย่างปลงอนิจจังแทน
"บอกตามตรง ความจริงฉันก็ไม่คิดจะอยู่นานขนาดนี้ คิดว่าอย่างมากก็แค่สองอาทิตย์ พ่อควรจะติดต่อเข้ามาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แล้วถ้าแผนการทุกอย่างเรียบร้อย ป่านนี้ฉันควรจะออกไปลอยละล่องอยู่ข้างนอก ไม่ต้องทนลำบากลำบนจนถึงกับต้องเจอข้อสอบวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ"
"แผนการ?" คาโลทวนขึ้นเบาๆ นัยน์ตาที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์เริ่มฉายแววฉงน ขณะที่คิลเริ่มสาละวนกับการสำรวจคทาที่ทำเลียนแบบ เปิดถอดแบตเตอรี่เล่นอย่างสนใจอย่างยิ่ง
(มีต่อ)
จากคุณ :
Froggie
- [
14 มี.ค. 46 18:19:31
]