CyberPunk #3

    ความเดิมตอนที่แล้ว
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2165670/W2165670.html

      คนที่มีอายุ 18 ปีส่วนใหญ่ ต่อให้เป็นเซียนคอมพิวเตอร์ที่เก่งกาจขนาดไหน ก็คงไม่มีโอกาสมาต่อรองธุรกิจกับเจ้าหน้าที่เคจีบีอย่างที่เขาทำอยู่ขณะนี้ หากมีใครจะถามเปงโกว่า เขารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไป ในแง่ของการเมือง หรือแม้แต่ในแง่จริยธรรม เขาก็คงตอบด้วยท่าทางแทนคำพูด เป็นการยักไหล่แห้งๆ ของเขา สูบบุหรี่อย่างไม่ใยดี และทำราวกับได้ยินคำถามที่ไม่เข้าเรื่องที่สุด หรือถ้าจะพูด เขาคงบอกว่า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับความถูกผิดทางการเมืองหรือทางจริยธรรมสักหน่อย เพราะมีแต่การแฮกเท่านั้น ที่เป็นทั้งแก่นแท้และเป้าหมาย ส่วนข้อมูลที่ถูกแฮกจะเป็นอะไร และตกไปอยู่ในมือใครนั้น เป็นเรื่องรอง สิ่งที่เขาต้องการคือ คอมพิวเตอร์ดีๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือแฮกสักเครื่อง ซึ่งเขาไม่มี แต่ทางรัสเซียช่วยให้เขามีได้ และพวกรัสเซียก็ยังให้ความสำคัญกับการแฮกที่เขาหลงใหลอีกด้วย เขาอาจจะอ้างด้วยซ้ำ ว่าเขาตัดสินใจทำไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์แท้ๆ คือเป็นเพียงแค่การทำตามความใฝ่ฝันของเขา ที่อยากเป็นแฮกเกอร์อันดับหนึ่งของโลก ก็เท่านั้นเอง และการได้เข้ามาพัวพันกับสิ่งที่เขาเคยแต่อ่านในนิยายนักสืบอย่างนี้ ก็เป็นการเติมรสชาติให้กับชีวิตที่น่าตื่นเต้นดีแท้

      เปงโกเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางชาวเบอร์ลิน เป็นหนึ่งในประชากรของเมืองที่ถูกแบ่งแยกด้วยกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1961 ห้าปีหลังจากบิดาของเขา กอตฟรีด์ เฮนริค ฮูบเนอร์ ลืมตาดูโลก คือในปี 1945 กองทัพจากตะวันตกกองทัพแรกได้ยาตราเข้ามา จากนั้น เบอร์ลินก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของชาติพันธมิตรสี่ชาติ สภาพบ้านเมืองในขณะนั้นเสียหายอย่างย่อยยับ มีชาวเมืองเหลืออยู่จำนวนครึ่งเดียว บ้านเรือนถูกทำลายไปหนึ่งในห้า ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีแก๊ส ส่วนน้ำดื่มก็ต้องรอรับมาจากที่อื่น

      ในปลายทศวรรษที่ห้าสิบ เมื่อครั้งที่การเดินทางไปมาระหว่างฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกของเมือง ยังสะดวกสบายเพียงแค่ซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน ตอนนั้นกอตฟรีด์เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยในเบอร์ลินตะวันตก ส่วนเรเนต คนรักของเขา ผู้มีร่างเล็กและผมบลอนด์ ก็มักจะนั่งรถไฟจากเบอร์ลินตะวันออก ไปเยี่ยมเขาเสมอ แม้ว่าจะเป็นการขัดคำสั่งพ่อของเธอ ผู้ที่รับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยความซื่อสัตย์ อย่างรุนแรงก็ตาม การข้ามฟากไปฝั่งตะวันตกของเรเนต ทำให้พ่อของเธอโกรธ ถึงขนาดไปแจ้งให้ทางการเยอรมันตะวันออก รับทราบพฤติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ ของเด็กสาววัยสิบเก้าปีคนนี้ และถึงกับไล่เธอออกจากบ้านด้วย แต่เรเนตก็ยังคงไปมาหาสู่กับกอตฟรีด์ โดยในใจคิดว่า จะกลับบ้านไปเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงแม้พ่อจะยังไม่พอใจอยู่ก็ตาม แต่แล้ว โชคชะตาก็เล่นตลกกับเธอ ในการไปเยี่ยมเยียนตามปกติครั้งหนึ่ง ในปลายฤดูร้อนปี 1961 ก่อนที่เธอจะเดินทางกลับเพียงวันเดียว จู่ๆ ก็มีการตีเส้นแบ่งพาดผ่ากลางเมือง หนุ่มสาวทั้งสองไปยืนดูทหารเยอรมันตะวันออกวางแนวลวดหนามยาว 28 ไมล์ ที่ประตูบรานเดนเบิร์ก แล้วไม่กี่วันหลังจากนั้น กำแพงเบอร์ลินก็ถูกสร้างขึ้น

      กอตฟรีด์กับเรเนตลงเอยไปอยู่ด้วยกันที่โชนเบิร์ก ในย่านเมืองเก่าของเบอร์ลินตะวันตก ที่ซึ่งมีชื่อเสียงในเวลาต่อมา จากการที่จอห์น เอฟ เคเนดี มากล่าวสุนทรพจน์ "Ich bin ein Berliner" ของเขาที่ศาลากลางซึ่งตั้งอยู่ที่นี่

    จากคุณ : SuperU;-) - [ 10 เม.ย. 46 08:42:38 ]