# .. #+# ... โหงวกุ้ยซิงปู้ .. [ห้ามือปราบพญายม] ... #+# .. # [นิยายจีน][5-6]

             ตอนห้า  “ปลาใหญ่หลุดรอด”



             ยามวิกาลดึกสงัด…  
             ร่างในชุดสีดำเข้มโผลงบนลานบ้านของเฒ่าจงอย่างแผ่วเบา
    ราวค้างคาวราตรีตัวหนึ่ง…
             โคมกระดาษสีขาวหน้าประตูบ้าน  สาดส่องแสงไฟพอเห็นชัด
    เพียงแค่หกเชียะ  (เชียะหนึ่งมีสิบนิ้ว) ไม่อาจส่องโฉมหน้าของ
    ผู้มาเยือนได้   ด้วยมีถุงสีดำปิดหน้าส่วนบนเหลือแต่ลูกนัยตาไว้  
    ซ้ำดั่งร่างนั้นจะกลืนกับความมืด  เพียงครู่เดียวก็เลื่อนตัวปราดเข้าประตูไป  
             ในห้องหับของสตรีชนบท  ย่อมไม่มีเครื่องเรือนมากมายนัก  
    มีเพียงเตียงหิน (เตียงพื้นทำจากอิฐเสาไม้  ก่อไฟข้างล่างให้
    ความอบอุ่นได้ในหน้าหนาว  และหน้าร้อนจะเย็นสบายยังพบ
    อยู่บ้างในบ้านชนบทของจีน / ผู้เขียน)  ม่านมุ้งสีอ่อนโรยตัวลง  
    เห็นเป็นเงาขาวรางๆ  มองผ่านผ้าไปมีร่างสาวงามนอนอยู่ใต้
    แสงจันทร์นวล  ดูแล้วเป็นภาพชวนเคลิ้มฝันของเหล่าบุรุษโดยแท้
             เงาดำปราดเข้าชิดม่านมุ้ง  เลิกชายผ้าขึ้นเล็กน้อย  ล้วงสิ่ง
    คล้ายกระบอกสีเข้มออกมาจากอกเสื้อเพียงขยับหมุนเบาๆ  
    ควันสีม่วงก็ฟุ้งออกพุ่งอบอวลในม่านมุ้ง  ตัวมันถอยหลังออกไป
    ยืนชิดหน้าต่าง  รอคอยเวลาที่เหมาะสม
             “ใช้ควันสลบรึ…  ช่างต่ำช้าจริงๆ”
             เป็นเสียงจากนอกหน้าต่าง  พลันแพรสีม่วงก็ตวัดพุ่งเข้าใส่
    เงาดำ  หากเมื่อพุ่งถึงประดุจชายแพรถูกชักนำจากมือที่มองไม่เห็น  
    ตรึงเข้ากับผนังหินอย่างฉับพลัน  เจ้าของแพรตวัดกลับหากพบแรง
    ตึงแน่น  พร้อมรู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ซ่านเข้ามาตามชายผ้า
             “กุ้ยอิมซิ่ว…” (ฝ่ามือมารเย็น)
             นางร้องก่อนสลัดชายผ้าทิ้ง  ตวัดแพรผูกผมเส้นสั้นออกแผ่พลัง
    ภายในเข้าสู่ผ้า  กลับกลายเป็นดาบคมสีม่วงด้ามหนึ่งฉับพลัน  
    โถมเข้าแทงด้วยท่าฮ้วยฮุ้นตุยง้วยตอ  (ดาบหวนทวงวิญญาณ)  
    อันเผ็ดร้อนดุดันเกินสตรี  อีกฝ่ายหงายร่างหลบ   ถันจุ้ยจี่ยังตามติด
    พัวพันไม่เลิกรา  ดาบผ้าตวัดซ้ายขวาขวับขวับ   ล้วนมุ่งหมายจุดชีวิต  
    หากร่างสีดำคล้ายไร้กระดูกไหลตามปลายคมดาบหลบรอดไปได้  
    พร้อมตวัดฝ่ามือเลือดเนื้อทั้งสองข้างเข้าต้านกระบี่ผ้า
             ช่วงอึดใจหนึ่งที่อีกฝ่ายเริ่มตอบโต้  ถันจุ้ยจี่รู้สึกถึงความเย็น
    อันแผ่ซ่านเข้ามาตามข้อแขน  รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายฝึกพลังอิม (พลังเย็น)  
    อันลึกซึ้งชั่วร้าย  หากประมือไปนานอาจต้องเพลี่ยงพล้ำเสียที  
    ขณะจะแผ่พลังเข้าต้านพลันพลังเย็นก็คุกคามจนชาที่ข้อแขน  
    พร้อมลมจากฝ่ามืออันเย็นเฉียบพุ่งสู่ใบหน้า
             ทันใดมีลมหอบหนึ่งตวัดกระแทกเข้าต้าน  ป้องกันดวงหน้า
    ของนางอย่างหวุดหวิด  ถันจุ้ยจี่หงายร่างหลบเลี่ยงแทงดาบแพร
    เข้าไปที่แขนอีกฝ่าย  หากเพียงกรีดได้แขนเสื้อข้างหนึ่งเท่านั้น  
    นางถอยปล่อยให้เจ้าของเงาร่างอ้วนเข้าพันพัวแทน  แค่ประมือ
    เพียงสามกระบวนท่า  แม่เฒ่าหนอนก็ชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบกระแทก
    หัวไม้เท้าเข้าที่อก  ผู้บุกรุกแค่นหัวร่อคำหนึ่ง  ก่อนล้วงอกเสื้อ
    หยิบลูกกลมๆโยนขึ้นบนหลังม่านมุ้งแตกออกเป็นควันสีแดงจาง  
    พุ่งร่างหนีออกนอกหน้าต่างไป  ทั้งสองขยับจะตามติดหาก
    กลุ่มควันกลับเข้มข้นขึ้น  
             “เซียะเอี้ยงซิงกวง  (ยอดประกายเงาแดง)”
             หนอนไหนไหน่ร้อง  กวาดมือไปข้างหลังเร่งเร้าพลัง
    จนแขนเสื้อโป่งพอง  ฟาดฝ่ามือโรมเร้ารุนแรงดุจพายุเกิดเป็นเสียง
    ปานฟ้าผ่า  กำลังลมจากฝ่ามือพัดควันสีแดงจางกระจัดกระจายหายไป
    บานหน้าต่างประตูพัดเปิดอ้าปลิวว่อน  มุ้งม่านปลิวสะบัดราวแขวนตาก
    ท่ามกลางมรสุม   พร้อมโผนทะยานขึ้นเตียงหอบร่างอ่อนปวกเปียก
    ของก๊วยอ้ออั้งขึ้น
             ถันจุ้ยจี่หน้าซีดเผือด
             “ท่านย่า…ทำไมจึงเป็นเช่นนี้”
             “มันใช้วิชาพลังอิม(พลังเย็น)…อ้ออั้งฝึกพลังเอี้ยง (พลังร้อน)
    พิษเหล่านี้มีผลต่อนาง  รีบประคอง…”
             สั่งความแล้วหญิงชราล้วงขวดสีเขียวในแขนเสื้อ  เทเม็ดยา
    สีแดงฉานออกมาใส่ปากก๊วยอั้งอ้อ  พร้อมทาบฝ่ามือเข้าที่หลัง  
    ไม่นานก๊วยอ้ออั้งก็กระอักโลหิตสีม่วงออกมาชามใหญ่  ถูกประคอง
    ขึ้นเตียงไปพักผ่อนในอีกห้อง  
             หนอนไหนไหน่จัดยาป้อนใส่ปากนางอีกอีกสองเม็ด  มีถันจุ้ยจี่
    ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้  ก่อนประคองน้องร่วมสำนักให้ลงนอน  
    พร้อมจัดผ้าห่มให้เรียบร้อย  นางมองหญิงชราที่เดินไปล้างมือใน
    อ่างทองเหลือง  ท่าทางเคร่งเครียด
             “ครั้งนี้เราประมาทศัตรูเกินไป  คิดไม่ถึงมันจะใช้ควันสลบ
    อันชั่วร้ายโหดเหี้ยมปานนี้”
             “มันเป็นอันใดท่านย่า…”
             นางพลิกกระบอกควันสลบที่ได้มาอย่างพินิจ
             “ควันสลบนี้เรียกว่าอ่ำเฮียงซอเอี้ย  (เงาเลือนรางหอมรวยริน)
    ของตระกูลจงแห่งลักฮะ  พวกเราเข้าใจว่าเพียงแค่กลั้นลมหายใจ
    คงจะรอดพ้น  แต่หาใช่ไม่  ควันนี้เมื่อพุ่งขึ้นจนหมด  บางส่วนจะ
    ลอยต่ำ  เมื่อสัมผัสผิวของเรามีสภาพไม่ต่างกับการสูดดมยาเข้าไป
    เลย   มิเช่นนั้นอ้ออั้งคงไม่เสียท่าแล้ว”
             นางหยิบเปลือกลูกกลมขึ้นส่งถันจุ้ยจี่ให้ดู
             “สิ่งนี้กลับอมหิตชั่วร้ายยิ่งกว่า   เซียะเอี้ยงซิงกวง
    (ยอดประกายเงาแดง)  ของตระกูลบ๊อแห่งไซโอ๊ว  ควันนี้กัดกร่อน
    ทำลายผิวหนัง  ทำให้เสียโฉม  ดีที่อ้ออั้งอยู่ใต้โปงผ้าห่ม  และเรา
    ใช้พลังฝ่ามือไล่ควันออกไปทันการ  ไม่เช่นนั้นคงย่ำแย่แล้ว…”  
            สายตาผู้เฒ่ากวาดมองกระสอบเล็กๆที่อยู่ในแขนเสื้อของ
    คนร้าย   ก่นด่าในคออย่างเคียดแค้น
             “เมื่อไม่อาจพร่าสวาทได้  ก็ทำลายโฉมเสีย…โหงวหมาต้าย…
    เจ้าอมหิตเกินไปแล้ว…”
             ถันจุ้ยจี่ส่ายหน้า  นางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนพบในถุงแพร  เป็น...
    ภาพที่ยังมิเสร็จสิ้น  หากมองออกว่าวาดหญิงสาวนางหนึ่ง  ในมือนางมี
    ตะกร้าเก็บตัวยา…
             บนผมสตรีนางนั้นยังโพกผ้าแดงผืนหนึ่ง…
             “ย่อมไม่ใช่เขา…ซุนโหงวย่อมไม่ทำร้ายอ้ออั้งม่วยม่วยเด็ดขาด”
             หญิงชราแค่นหัวร่อ  ปรายตาไปยังกระสอบป่านเล็กๆห้าใบ
    บนโต๊ะ
             “เจ้าลองบอกข้ามา  ว่ากลิ่นจากสิ่งนี้…มิใช่กลิ่นของซุนโหงว
    จริงๆ”
             วารีม่วงที่ปากกล้ากลับสงบเงียบ…  จริงของท่านย่า  กลิ่นบุรุษ
    ในกระสอบป่านน้อยๆห้าใบที่นางชิงได้สดๆร้อนๆนี้  คลับคล้ายจาก
    ที่สูดได้จากผ้าปูที่นอนของซุนโหงวจริงๆ !!!


             ยามซิ้ง(แปดนาฬิกา)  ของวันถัดมา…
             กระท่อมน้อยของจงซินแสสงบเงียบ  ผู้คนที่เคยมาหาหมอ
    จนแน่นขนัดค่อยซาลงบ้างแล้ว  มีเพียงแม่บ้านสองสามคนมาเจียดยา
    ไปต้มบำรุงบุตรหลานของตนเอง
             ก๊วยอ้ออั้งหน้าซีดขาว  ดีว่าเมื่อคืนนางถูกพิษไม่มาก  ประกอบ
    กับยาของหนอนไท้ไถ่มีประสิทธิภาพดียิ่ง นางจึงทุเลาจากอาการ
    เจ็บป่วยอย่างรวดเร็ว
             นางมองไปนอกหน้าต่าง  นกกระจิบน้อยอาศัยชายคาบ้าน  
    ก่อสร้างเป็นรังเล็กๆ  นกสองตัวบินเข้าบินออกทั้งวัน  ดูวุ่นวาย
    สาหัสนัก  หากพวกมันมีความสุขร้องเสียงไพเราะแก่กันตลอดเวลา
             นางทอดถอนใจ…  เกิดเป็นนกกระจิบน้อย…ยังมีความสุข
    กว่าเป็นมนุษย์…
             ถันจุ้ยจี่เดินเข้าห้องมาพร้อมชามเคลือบใบหนึ่ง  น้ำแกง
    สีเหลืองอ่อนหอมกลิ่นยารวยริน  เป็นน้ำแกงที่นางต้มขึ้นเอง  พอเห็น
    ก็เอ่ยปากสัพยอก
             “คนเราเพียงมองนกในท้องฟ้า  คล้ายละเมออิจฉานก  นับว่า
    หายดีได้แล้ว…ดูท่าน้ำแกงชามนี้คงไม่มีคนอยากรับประทาน  
    ได้แต่ต้มเสียเวลาเปล่าแล้วกระมัง”
             ก๊วยอ้ออั้งยิ้มจางๆ  ยื่นมือรับชามเคลือบ
             “ข้าพเจ้าย่อมอยากรับประทาน  ขอบคุณเจ่เจ๊…”
             ถันจุ้ยจี่นั่งลงข้างเตียง  ตักน้ำแกงในชามป้อนถึงมุมปากนาง  
    ก๊วยอ้ออั้งรับประทานได้สองคำก็หยุด  ถามเสียงแผ่ว
             “ถันเจ่เจ๊…ฟังว่า  คนร้ายที่ทำร้ายข้าพเจ้า  มีกระสอบป่าน…ห้าใบ”
             ถันจุ้ยจี่รับคำเสียงอือม์  ป้อนน้ำแกงอีกคำเข้าปากนาง  หาก
    ก๊วยอ้ออั้งไม่อ้าปากรับ  กลับถามต่อ
             “เจ่เจ๊…ข้าพเจ้ามีเรื่องอยากถาม  ขอให้ท่านตอบโดยตรง  
    อย่าได้โป้ปดข้าพเจ้าเด็ดขาด”
             ผู้เป็นพี่สาววางชามลง  มองหน้านางก่อนกล่าวช้าๆ
             “เจ้าคิดถามเจ่เจ๊ว่า  กระสอบที่เก็บได้มีกลิ่นของซุนโหงว
    ใช่หรือไม่  ขอบอกเจ้าตามตรง  กระสอบเหล่านั้นมีกลิ่นของมัน
    จริงๆ  หาก…หาก…”
             “ยังมีอันใดอีก”
             “กระสอบเหล่านั้นมีกลิ่นอื่นปะปนมา  ยากสูดดมหาความ
    แน่นอนได้  อีกอย่าง…เจ่เจ๊เชื่อว่ามันย่อมไม่ทำร้ายเจ้าเด็ดขาด  
    วันก่อนที่ริมลำธารเจ่เจ๊ยังนึกนิยมมันที่มิลวนลามเจ้า  กลับเรียบๆ
    ร้อยๆยิ่ง”
             ผู้เป็นม่วยม่วยหน้าแดงฉาน
             “เป็นท่านแอบดูข้าพเจ้าจริงๆ…”
             “แอบดูอันใด…  เจ่เจ๊เพียงอยู่บนยอดไม้รับลมเท่านั้น  
    มิเป็นห่วงเจ้าด้วย  เพราะด้วยพลังฝีมือของเจ้าแล้ว… โจรน้อยใด
    กล้าตอแยเจ้า  นับว่ามันผู้นั้นไม่รักชีวิต   คิกคิก…คิดไม่ถึง  ว่า
    โจรน้อยสองตน  หนึ่งนั้นกลับกลายเป็นคนดีใหญ่คนหนึ่ง…”  
             “คนดีใหญ่อันใด…มัน…มันเป็น…”
             พูดเพียงแค่นี้นางก็หยุด  ขบริมฝีปากจนแดงก่ำ  ถันจุ้ยจี่
    ส่ายหน้า นางเป็นสตรีกร้านโลก  สามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆใน
    โลกหล้ามากมาย  ส่วนก๊วยอ้ออั้งเป็นบัณฑิตสาวคร่ำครึ  วันๆหมกตัว
    อยู่กับตำราและวิชา  ยากรู้ว่า ”รัก” นั้น  ลึกล้ำลี้ลับยากศึกษายิ่งกว่า
    สิ่งใดๆทั้งสิ้น
             ยิ่งเห็นก๊วยอ้ออั้งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างยิ่งสงสาร  
    นางมีอีกฉายาว่ามุ้ยยิ้นอั้ง (หญิงงามแดง)  อย่าว่าแต่ในเครื่องแต่งกาย
    อันล่อแหลม  เพียงนางในชุดธรรมดา  ก็ยากหาบุรุษมิหวั่นไหวใจได้
             หากซุนโหงวกลับเป็นดุจขุนเขามิหวั่นไหว  ทั้งสุภาพ
    ต่อนางยิ่ง…  เหมยแดงต้นนี้ถูกขุนเขาสั่นไหวจนคลอนแคลนแล้ว…
             เพียงแต่ก๊วยอ้ออั้งมิได้เป็นมือปราบ…
             เพียงซุนโหงวมิได้เป็นผู้ต้องสงสัย…
             เหมยแดงย่อมงอกเงยบนภูเขาแล้ว…


             ถันจุ้ยจี่ถือชามเคลือบออกจากห้องผู้ป่วย  หนอนไท้ไถ่
    (นางผู้เฒ่า /เรียกอย่างเคารพ)ที่นั่งหั่นยาอยู่กวาดตามมองชามเคลือบ
    น้ำแกงในนั้นเพียงพร่องไปเล็กน้อยเท่านั้น
             “อ้ออั้งมิยอมกินหรือ”
             “หามิได้ท่านย่า  นางกินได้เพียงนิดหน่อยก็…อิ่มเสียก่อน”
             “คิดโป้ปดข้าหรือ  นางยังคงคิดถึงซุนโหงวนั่นกระมัง…”
             ถันจุ้ยจี่ยิ้ม  วางชามลงเข้ามานวดเฟ้นหลังไหล่ท่านผู้เฒ่าเบาๆ
    อย่างเอาใจ
             “ข้ารู้ว่ายากหลอกลวงท่านย่าได้  แต่ซุนโหงวเป็นบุรุษคนแรก
    ที่นางต้องใจ   ท่านต้องให้เวลานางบ้าง  หากยิ่งขัดขวาง  ข้าเกรงว่า…”
             “ข้าก็มิได้ขัดขวางอันใด  หากซุนโหงวมิใช่โหงวหมาต้าย  
    นางย่อมสามารถคบหากับมันอย่างเปิดเผย  แต่ถ้าหากซุนโหงว
    คือโหงวหมาต้าย  ข้าได้แต่ลงมือแล้ว”
            “ท่านย่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร…”
             หนอนไท้ไถ่หัวเราะเบาๆ
             “อยากได้ปลาต้องวางเบ็ด  บนปลายเบ็ดย่อมต้องมีเหยื่อล่อ…  
    เหยื่อล่อปลาที่สดใหม่  ใกล้ปากปลา…ย่อมยั่วใจมันให้อ้าปาก
    กลืนกินอย่างแน่นอน…”
             ถันจุ้ยจี่ขบคิด  เหยื่อล่อ…ปลาสดใหม่…ใกล้ปากปลา…
             นางเริ่มเข้าใจได้รางๆ…

             …

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 46 02:46:38

    จากคุณ : ป้าหนอน - [ 1 พ.ค. 46 02:38:27 ]