เรื่องเล่า...จากต้นหญ้า

                                                        เรื่องเล่า…จากต้นหญ้า

                ร้านหนังสือเล็กๆแห่งหนึ่งย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  ตัวเรือนเป็นอาคารคอนกรีตสีขาว  สูง 2 ชั้น ข้างล่างเปิดเป็นร้านหนังสือทั่วไป  ข้างบนเป็นมุมร้านกาแฟเล็กๆสำหรับนักอ่าน ร้านเป็นร้านเล็กๆแต่บรรยากาศอบอุ่น  เพราะโทนสีเบจที่เลือกใช้ในร้าน  จึงทำให้ร้านดูโปร่ง และสะอาดตา       ยังผลให้ผู้พบเห็นต่างแวะเวียนเข้ามา  เพราะความน่ารัก  น่าเอ็นดูของร้านนี้
                หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้วยท่าทางมุ่งมั่น เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิด และความฝัน      เธอเป็นหญิงสาวร่างเล็ก  ผมยาวสลวยเกล้าเป็นมวยไว้หลวมๆ  สวมเสื้อแขนกุดสีเขียวกับกางเกงยีนส์สีซีด  สะพายเป้ไว้ที่หลัง   ดูสบายๆในวันเบาๆอย่างนี้  
                 หญิงสาวเดินเข้ามาในร้านหนังสือที่ขึ้นป้ายชื่อไว้ว่า ‘รวงข้าว’   เธอเดินดูหนังสือไปเรื่อยๆ  สายตาจับจ้องหาหนังสือเบาๆสักเล่มหนึ่ง  โดยที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่ออะไร หรือใครแต่ง   หญิงสาวเดินเรื่อยไปจนถึงมุมหนังสือข้างในสุดของร้าน  มีชั้นหนังสือวางเรียงกันแน่นขนัด  มีป้ายบอกตรงเหนือชั้นว่า ‘หนังสือจิปาถะ’  หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบมาดูเล่มแล้วเล่มเล่า  แต่ก็ยังไม่เจอเล่มที่อยากได้  หล่อนจึงคิดที่จะเดินไปดูมุมอื่น  แต่สายตากลับไปกระทบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ หลืบในสุดของชั้นวางหนังสือชั้นล่าง  หญิงสาวจึงก้มตัวไปหยิบมาดู  รูปเล่มก็เหมือนหนังสือ       พ็อกเก็ต บุคส์ธรรมดาๆทั่วไป  ตัวเล่มสีครีมอ่อน  หน้าปกเป็นรูปวาดต้นหญ้าสีเขียวขจีปลิวไสว  ภายใต้ต้นไทรใหญ่หนาครึ้ม  มีตัวหนังสือเดินลายว่า ‘เรื่องเล่า..จากต้นหญ้า’
                   หญิงสาวพลิกเข้าไปหน้าแรกก็เริ่มแปลกใจ  เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่มีทั้งชื่อสำนักพิมพ์  ชื่อผู้จัดจำหน่าย  ปีที่พิมพ์  คำนำ หรือสารบัญเลย  มีแต่ลายเซ็นหวัดๆที่อ่านได้ว่า ‘ต้นหญ้า’ เป็นผู้แต่ง  เธอจึงเปิดหน้าต่อไปอย่างกระหายใคร่รู้  มีตัวหนังสือตรงกลางหน้ากระดาษพิมพ์อยู่ไม่กี่บรรทัดอ่านได้ใจความว่า

                 ‘ สวัสดีจ้ะ สวัสดีพวกเธอทั้งหลายที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน  เธออย่าแปลกใจเลยที่หนังสือเล่มนี้  ไม่มีทั้งสำนักพิมพ์  ผู้จัดจำหน่าย  คำนำ หรืออะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างที่มันควรจะมี  มันเป็นความประสงค์ของฉันเองแหละจ้ะ  เธออย่าสนใจเลยนะว่า ทำไม! มันไม่สละสำคัญอะไรนักหรอก  ฉันขอให้เธอรู้แต่เพียงว่า  ฉันเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็เพื่อพวกเธอ  ถ้าเธอพอมีเวลา  ลองเปิดอ่านดูสิจ๊ะ  ฉันสัญญาว่าเธอจะไม่ผิดหวังจ้ะ…   ’

                หญิงสาวจึงเปิดหน้าต่อไปอย่างกระหายใคร่รู้เป็นที่สุดว่าหน้าต่อไปจะเป็นเช่นไร  หน้าต่อไปเป็นภาพฝีแปรงสะบัดพู่กัน  ที่มองทีแรกก็มองไม่ค่อยจะออกนักหรอก  ต้องมองซ้ำอีกสักสองรอบ  ก็จะเดาได้ว่าเป็นรูปต้นหญ้าสีเขียวขจี  ปลิวไสวตามสายลม ภายใต้ต้นไทรใหญ่ร่มครึ้มปกคลุมอีกที โดยมีชายชราร่างสันทัดในชุดสูทสีขาว ยืนเท้าไม้เท้าหันหลังให้กับสระน้ำมองมาทางตรงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  และดูอบอุ่น  เบื้องหลังสระน้ำเป็นอาคารก่ออิฐที่ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่แห่งนั้น   หญิงสาวสังเกตว่าตรงใต้ภาพมีตัวอักษรบรรยายไว้ว่า  ‘ท่านผู้ประศาสน์การ’
                  หญิงสาวจึงเปิดหน้าต่อไป   แผ่นกระดาษสีขาวนวลจากหน้าที่แล้ว  จึงเปลี่ยนเป็นกระดาษสีครีมอ่อน  แบบกระดาษถนอมสายตา  และแล้วตัวอักษรทั้งหลายก็เริ่มวาดลวดลายของมันลงไป

                  …ลมเย็นเอื่อยๆพัดมาถูกต้องตัวฉันอย่างแผ่วเบา  แต่ก็ทำให้ฉันต้องเบียดตัวเข้าชิดพี่ใหญ่  เพื่อให้พี่ใหญ่ถ่ายทอดไออุ่นให้กับฉัน  แล้วฉันก็หลับต่อไปอย่างง่วงนอน   แสงแดดรำไรเริ่มลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ลงมาแยงตาฉันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ปลุกให้ฉันต้องตื่นขึ้นและบิดขี้เกียจช้าๆไปมาอย่างเสียดาย
                 ชีวิตช่วงนี้ของฉันค่อนข้างเหงาหงอย  เพราะไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมฉันเลย  แม้จะผ่านมาสักนิดก็ไม่มี  ฉันเริ่มทบทวนความจำเรื่อยๆจากสาระบบความคิด  และแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้   มันช่วงสอบปลายภาคนี่นา  นักศึกษาที่ไหนจะมาเดินเอ้อระเหยแถวนี้ล่ะ  พวกเขาต่างก็ต้องคร่ำเคร่งกับตำรับตำราเรียน  ใครมานั่งเล่นกับฉัน  ไม่บ้าก็โง่แน่เชียว
                  ฉันพูดยังไม่ทันจบคำนัก  ก็มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งเดินมานั่งลงข้างๆฉัน  เดี๋ยวก่อนนะ  เมื่อกี้ที่ฉันเผลอว่าออกไปน่ะ  ฉันพูดเล่นนะ  ไม่ได้ตั้งใจว่าหรอก  บางทีผู้หญิงคนนี้อาจมีเรื่องทุกข์ใจอยากจะระบายให้ฉันฟังก็ได้นะ  ฉันหันไปยิ้มให้และกล่าวทักทาย
                    “สวัสดีจ้ะ  ฉันชื่อต้นหญ้า”
    ผู้หญิงคนนั้นยังคงนั่งนิ่ง  สะอื้นไห้ต่อไป  แต่มือก็ไม่วายขว้างก้อนหินลงน้ำดัง ‘จ๋อม’  ฉันไม่โกรธหรอก  ฉันเข้าใจ  เธอคงเสียใจมากสินะ  เลยไม่ยอมคุยกับฉัน  ไม่เป็นไร  เธอมีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังไหม  ฉันยินดีนะ เผื่อเธอจะดีขึ้นยังไงล่ะจ๊ะ  ฉันพูดจบแล้วเธอก็ร้องไห้ต่อ  พลางก้มลงมาซบไหล่ฉัน   ฉันปลอบเธออย่างแผ่วเบา  เธอค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่ง  และแล้วเรื่องราวความทุกข์ของเธอก็ถูกปล่อยออกมาอย่างกับว่าเก็บกดมานาน  เธอเล่าว่าเธอเป็นลูกคนเล็กของบ้าน  พ่อเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง  ร่ำรวยมหาศาล  แต่ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจตกต่ำ  กิจการของพ่อเธอถึงขายไม่ค่อยได้  เธอก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานว่าพ่อติดหนี้ธนาคารหลายสิบล้าน  แถมยังถูกลูกจ้างโกงอีก  แล้วพ่อเธอกำลังจะถูกศาลฟ้องสั่งล้มละลาย  เธอรู้สึกอายเพื่อนมากที่ฐานะตกต่ำลง  เงินทองที่เคยมีใช้จ่ายไม่ขาดมือ  ก็ต้องกระเบียดกระเสียนใช้  เพื่อนที่เคยคบกันก็ไม่ยอมคบหาด้วย  กลัวว่าเธอจะมาเกาะ และขอยืมเงิน  ที่สำคัญคือพ่อให้เธอลาออกจากมหาวิทยาลัย  เพราะค่าเรียนแพง  แต่เธอไม่อยากลาออก  ก็อีกเทอมเดียวเธอก็จะจบแล้วน่ะสิ  เธอว่าเธอได้คะแนนดีมาตลอด
                   ฉันรับฟังเรื่องราวของเธออยู่เงียบๆด้วยความสงสาร  ฉันอยากจะปลอบเธอ และบอกเธอว่า  ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอกที่ทุกข์ใจ  ยังมีคนอีกมากมายที่มีปัญหาหนักหนากว่าเธออีกมาก  อย่ามัวเสียเวลาร้องไห้อยู่เลย  ลองคิดหาวิธีดูสิ  พี่ใหญ่เคยบอกไว้ว่ามหาวิทยาลัยมีทุนให้กู้ยืมไม่ใช่เหรอ  ยิ่งเธอเรียนดีอย่างนี้  เขาคงจะเห็นใจและช่วยเหลือเธอนะจ๊ะ  ฉันพูดจบ  ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกจากไป  โดยไม่หันกลับมามองฉันเลย  ฉันเข้าใจ  ฉันไม่โกรธเธอหรอกจ้ะ  ถ้าเธอได้อ่านเรื่องนี้อย่าคิด   มากนะ   ฉันไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ  บางครั้งคนเราก็อยากมีช่วงเวลาที่อยู่เงียบๆคนเดียว  ไม่อยากจะคุยกับใครเหมือนกัน  
                 ฉันคิดอะไรเพลินๆไปได้สักครู่  ก็มีนักศึกษาชายคนหนึ่งเดินมาทรุดกายนั่งลงข้างๆฉัน  ฉันพิศมองเขาทั้งด้านหน้าและด้านข้างแล้ว  เขาจัดเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีทีเดียว  รูปร่างก็สูงใหญ่  เรียกได้ว่าแมนสมชายชาตรี   แต่ดวงตาเขาออกจะเศร้าๆยังไงไม่รู้  ฉันเลยถามเขาไปว่า
                 “เธอมีเรื่องอะไรหนักใจใช่ไหม”
    เขาถอนหายใจยาว  พลางยืดขาเหยียดยาวด้วยความเหนื่อยอ่อน  
                 “เธอมีเรื่องหนักใจจริงๆนั่นแหละ  เล่าให้ฉันฟังก็ได้นะ  ฉันคงบอกคนที่เธอรู้จักไม่ได้หรอกจ้ะ  วางใจได้”  
    ฉันพูดไปแค่นั้น  แล้วเรื่องราวของเขาก็ถูกถ่ายทอดออกมา  เอกเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่  พ่อหวังในตัวเขาไว้มาก  และปัญหาที่สำคัญตอนนี้ก็คือพ่อหาผู้หญิงให้เขาแล้ว  จะหมั้นกันในอีกสองเดือนข้างหน้า  ทั้งๆที่เขาไม่ได้รัก  และไม่มีวันจะรักได้  เพราะ ? … เพราะเขาเป็นเกย์  
                  เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเกย์ตั้งแต่เด็กแล้ว  ชอบของสวยๆงามๆ และตุ้งติ้งตั้งแต่เด็ก  แต่พอพ่อเขารู้  พ่อก็ซ้อมเขา และทำโทษจนเขาสะบักสะบอมไปหมด  เขาเลยกลัวและต้องหลอกคนอื่นว่าเขาเป็นผู้ชายเต็มตัว  ด้วยการเป็นนักกีฬาและนักกิจกรรมของโรงเรียน  เล่นกล้าม  เล่นกีฬาสารพัดชนิด  เรียกได้ว่าสาวเห็นสาวกรี้ดก็ว่าได้
                  ทั้งที่จริงๆแล้ว  เขาอยากจะมีข้อมือเล็กๆ  เอวคอด  ช่วงขาเพรียวเหมือน   ผู้หญิง  เขาไม่รู้จะทำยังไงดี  บอกความจริงให้ทุกคนรู้ดีไหม  จะได้ล้มเลิกงานหมั้น  แล้วเพื่อนที่เขาคบกันมาล่ะ  จะรังเกียจเขาไหม   พ่อเขาล่ะ  พ่อจะรู้สึกยังไง  เขารู้สึกสับสนและร้องไห้โฮออกมา  น้ำตาของเขาตกต้องมาที่แขนของฉัน  ฉันได้แต่นิ่งรับฟังปัญหาของเขาด้วยความหนักใจ  และเป็นห่วง  
                  ฉันก็ได้แต่ปลอบไป  โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะรับฟังไหม  ฉันบอกเขาว่าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ    ถ้าทำแล้วสบายใจ  ดีกว่าต้องมาทนทุกข์อีกต่อไป  และผลที่ตามมาภายหลัง  อาจไม่ใช่เขาคนเดียวที่เจ็บ  ฉันเชื่อว่าเพื่อนของเขาคงรับได้ที่เอกเป็นเกย์  เพราะถ้าเพื่อนเขาจะเลิกคบกับเอก เพียงเพราะเอกเป็นเกย์  เขาก็ไม่เข้าใจคำว่า ‘เพื่อน’เลยจริงๆ  ส่วนพ่อของเอก  ฉันว่าเขาควรยอมรับความจริงนะ  ปิดบังต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์หรอก  มีแต่จะทำร้ายลูกและคนรอบข้างเปล่าๆ  ฉันมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดนักหรอก  คนเราเลือกเกิดไม่ได้นี่นา  ขอแค่เขาไม่ทำความเดือดร้อนให้ใครก็พอแล้วล่ะ
                   ฉันพูดปลอบเขาไปเท่านี้  ฉันเห็นเขามีรอยยิ้มกว้างขึ้น  ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินสิ่งที่ฉันพูดหรือเพราะเขาเห็นเพื่อนเขาเดินอยู่ฝั่งโน้นก็ไม่รู้ได้  แต่คงเป็นประการหลังมากกว่า  เพราะเอกรีบลุกไปหาเพื่อนของเขาอย่างรวดเร็ว  ทิ้งให้ฉันนั่งอย่างเงียบเหงาเหมือนเดิม
                   “เป็นไงบ้างล่ะ  ผู้หญิงกับผู้ชายคู่เมื่อกี้น่ะ”  พี่ใหญ่ก้มลงถามฉัน  ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    จากคุณ : ดาหลา - [ 21 พ.ค. 46 10:10:49 A:202.133.170.26 X: ]