=[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอน 5 – ถกเพลงวิจารณ์ใจ – [นิยาย]

    ในโลกหล้ากลับมีหญิงสาวที่หมดจดงดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ
    นางมีผมที่ดำสลวยนุ่มนวลดุจขนของกาน้ำ บนหน้าผากขาวนวลเนียนปล่อยลูกผมคลอเคลียปรกหน้าผาก รับกับจมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงดังแต้มชาด พวงแก้มสองข้างใสราวหยกเนื้อดี นับเป็นหญิงงามที่น้อยครั้งจะพบพาน

    ดรุณีนางนั้นงดงามอย่างลึกซึ้ง งามจนแม้กระทั่งฮั่นตงเองยังต้องลอบหวั่นไหวใจ อย่างไรก็ตาม บุคคลเช่นเขาย่อมไม่ยอมให้อารมณ์ลักษณะนั้นเข้ามาครอบงำได้โดยง่าย

    ในทางตรงกันข้าม จู่ๆ มีสาวงามมาบรรเลงดนตรีที่ไพเราะอย่างน่าประหลาดให้ฟังเช่นนี้ มือปราบผู้เชี่ยวชาญเช่นฮั่นตงย่อมบังเกิดความสงสัยเป็นธรรมดา แต่ในเมื่อยังไม่รู้เจตนาของฝ่ายตรงข้าม ฮั่นตงจึงตัดสินใจเล่นไปตามหมากของสาวงามผู้นี้ก่อน

    หญิงสาวก้มหน้าลงและเริ่มกรีดนิ้วลงบนกู่เจิ้งอีกคราหนึ่งแล้ว
    เขาเดินไปยืนกอดอกห่างจากสตรีนางนั้นราวสามก้าว แล้วหลับตาลง นิ่งฟังดนตรีที่นางบรรเลงด้วยอาการสงบ

    เหล่าผู้ดื่มกินในร้าน แม้รู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับรูปโฉมที่งดงามกับบทเพลงที่แสนจะไพเราะของดรุณีนางนี้ ทว่าหามีผู้ใดกล้าเข้าไปก้าวก่าย หรือเข้าไปแทะโลมล่วงเกินนางอย่างเด็ดขาด เพียงเพราะบุรุษผู้หนึ่งได้ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากนางซักเท่าไหร่ บุรุษผู้สง่างามห้าวหาญ อีกทั้งยังเป็นยอดมือปราบผู้หนึ่ง เหล่าบุรุษทั้งหลายแม้อยากเข้าไปทำความรู้จักกับดรุณีนี้เพียงไร ทว่าทั้งหมดยังคงเกรงใจฮั่นตงอยู่สามส่วน เพียงได้แต่ใช้สายตาและโสตสดับ ดื่มด่ำต่อความงามและเสียงเพลงอันไพเราะของนางอยู่ในที่ห่างไปเท่านั้น

    ดังนั้นแม้สถานที่นั้นจะเต็มไปด้วยผู้คน ทว่ารอบกายของบุรุษสตรีทั้งสองกลับปราศจากสรรพสำเนียงอื่นใด นอกจากเสียงกู่เจิ้งอันหวานซึ้งไพเราะ ราวกับทั้งสองถูกแยกออกไปอยู่ยังอีกโลกหนึ่งเพียงลำพังสองคนเท่านั้น

    หญิงสาวยังคงบรรเลงกู่เจิ้งต่อไปจนจบเพลง จากนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้นหันมามองฮั่นตงพลางเอ่ยปากกล่าวว่า
    “มือปราบท่านนี้สนใจเพลงของผู้น้อย คาดว่าเป็นผู้สันทัดการดนตรี”

    “มิกล้า...” ฮั่นตงตอบ

    หญิงสาวเอ่ยต่อไป “หากไม่รบกวนเกินไป ขอเชิญท่านวิจารณ์บทเพลงที่เพิ่งจบไปนี้ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาฝีมือของผู้น้อยเถิด”

    ฮั่นตงลอบสังเกตดูรอบกายอย่างระวัง ในขณะที่ปากเอ่ยวาจาวิจารณ์บทเพลงตามที่ผู้บรรเลงร้องขอ

    “เพลงนี้ชื่อเพลง ‘ผีเสื้อเบญจมาส’ เป็นเพลงพื้นฐานสำหรับผู้ฝึกวิชากู่เจิ้ง แนวเพลงสมควรเที่ยงตรงถูกต้อง ตามระเบียบขั้นตอนอันสง่างาม แต่ผีเสื้อเบญจมาสที่ท่านบรรเลงนี้...”

    “...ท่านมือปราบช่างมีสายตากว้างไกล เพลงของผู้น้อยเป็นเช่นไรหรือ” หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ

    “ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง เพลงผีเสื้อเบญจมาสที่แม่นางบรรเลงครั้งนี้ ไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนแม้สักนิด บางคราวเสียงต่ำกลายเป็นสูง บางคราวเสียงสูงกลายเป็นต่ำ บางจังหวะยังแกล้งจงใจดีดผิด หากว่าตามหลักการแล้ว เพลงของท่านนับว่าใช้ไม่ได้สักนิดหนึ่ง” เขากล่าวเสียงแจ่มชัดตรงไปตรงมา

    หญิงสาวฟังดังนั้นก็เอามือป้องปากอย่างอ่อนช้อย  “... แสดงฝีมือต่ำต้อยให้ท่านฟัง เป็นที่น่าหัวเราะเยาะแล้ว”

    “อย่าได้กล่าวเช่นนั้น เพลงของแม่นางไพเราะมาก !” ฮั่นตงพูด

    “อ้อ ... เมื่อครู่ท่านมือปราบยังวิจารณ์ว่าเพลงนี้ไม่ถูกหลักการ...?”

    “ด้วยหลักการนั้นไม่ถูกต้อง แต่ด้วยธรรมดาโสตมนุษย์ ไม่ว่าผู้ใดในโลก ขอเพียงฟังเพลงนี้ก็ต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไพเราะอย่างยิ่ง ตัวข้าเองยังยอมรับว่า ในชีวิตยังไม่เคยฟังบทเพลงผีเสื้อเบญจมาศที่ไพเราะเท่ากับที่แม่นางบรรเลงมาก่อน หากบรรเลงตามแบบแผนคงไม่ไพเราะเท่านี้ แสดงให้เห็นถึงภูมิความรู้ด้านดนตรีอันเป็นเลิศของผู้บรรเลง”

    “เช่นนั้นท่านมือปราบคงพอใจ?”

    “อืม” ฮั่นตงรับ “บทเพลงของท่านมีติเพียงช่วงท้ายนั้น แฝงอารมณ์โศกเศร้าอยู่บ้าง ขัดกับอารมณ์เพลงในช่วงต้น แต่ข้าคาดว่าแม่นางคงต้องการแฝงความหมายบางอย่าง”

    ฟังดังนั้นประกายตาหญิงสาวสดใสขึ้น นางกล่าวว่า “ฮั่นตงช่างสมเป็นฮั่นตง ช่างฉลาดล้ำลึก ฟังเพลงเพียงครั้งเดียวก็วิจารณ์ออกมาได้ลึกซึ้งถึงแก่น”

    ฮั่นตงได้ยินหญิงสาวเอ่ยชื่อตน ก็ลอบตื่นตัว ในใจร่ำร้อง นางพุ่งเป้ามาที่เราแต่แรกจริงๆ แต่ไม่ทราบนางมีจิตเจตนาเช่นไร? ดังนั้นปลุกปลอบสมาธิเตรียมรับเหตุเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เขาไม่คิดอยู่แล้วว่าหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้ มีฝีมือเชี่ยวชาญขนาดนี้ จะมาปรากฏตัวต่อหน้าตนโดยบังเอิญ

    หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้าย ฮั่นตงก็พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ได้โดยทันท่วงที

    หญิงสาวดุจล่วงรู้ความคิดของชายหนุ่ม นางหัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า

    “ท่านฮั่นฝีมือสูงส่ง มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วไป ในแผ่นดินนี้ผู้ที่เป็นคู่มือท่านได้ เกรงว่ามีไม่เกินสิบคน ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอไหนเลยจะกล้าคิดร้ายต่อท่าน”

    กิริยานางแช่มช้อยอ่อนหวาน ยิ่งดูยิ่งชวนให้ลุ่มหลง จนฮั่นตงเกิดความหวั่นไหวขึ้นอีก แต่ก็หักอารมณ์นั้นเสีย แล้วกล่าวว่า

    “ข้าเป็นมือปราบ เคยสังหารคนในหน้าที่มามาก หากในจำนวนเหล่านั้นไม่มีผู้ใดไม่สมควรตาย ... คนผู้หนึ่งหากดำรงชีวิตอย่างสุขสงบ ไม่ประพฤติก้าวล่วงขัดต่อกฎหมาย ข้าฮั่นตงยินดีคุ้มครองและให้ความสนับสนุนเต็มที่!!”

    “กฎหมายหรือ ?” หญิงสาวเอ่ย

    “ข้าไม่เคยได้ยินว่ากฎหมายใดที่ทำให้มนุษย์มีสทธิเท่าเทียมกันมาก่อนเลย เห็นแต่เป็นเครื่องมือที่ผู้มีอำนาจนำมาใช้กดขี่ผู้ที่ไม่มีปัญญาขัดขืนเสียมากกว่า อีกอย่างเริ่มแรกนั้นมนุษย์เราก็อยู่กันมาอย่างไร้ระเบียบควบคุม ใช้ชีวิตอย่างอิสระทำตัวกลมกลืนกับธรรมชาติก็อยู่กันมาได้อย่างสงบสุขดี การมีระเบียบกฎเกณฑ์ทำให้มนุษย์ถอยห่างจากสภาพเดิมแท้ของตน ... มีความเป็นมนุษย์น้อยลงและถูกเอารัดเอาเปรียบมากขึ้น”

    ฮั่นตงฟังความคิดนี้ เห็นว่าแตกต่างจากหลักการที่ตนยึดถือมาชั่วชีวิตโดยสิ้นเชิง แต่หญิงสาวกลับสามารถชี้แจงได้อย่างมีเหตุผล ก็บังเกิดเกิดความสนใจ

    “ท่านคล้ายจะกล่าวว่า มนุษย์เรา ไม่จำเป็นต้องมีตัวบทกฎหมายมาควบคุม ?”

    หญิงสาวยิ้มแล้วลุกขึ้นและกล่าวอย่างแช่มช้า กิริยานั้นงามสง่ายิ่งนัก

    “เมื่อครู่ท่านกล่าวออกมาเองว่า ดนตรีที่ข้าบรรเลงนั้น ธรรมดาโสตมนุษย์ไม่ว่าผู้ใดในโลกฟังแล้วต้องบอกว่าไพเราะ และหากข้าบรรเลงตามแบบแผนก็จะไม่ไพเราะเท่านี้ ซึ่งความจริงดนตรีก็เหมือนกับมนุษย์นั่นเอง หากเราไม่มีกฎควบคุม ดำเนินไปตามอารมณ์ความรู้สึกมิใช่จะกลับสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ดอกหรือ”

    ฮั่นตงทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงที่ตอนท้ายดนตรีของหญิงสาวดีดอย่างโศกเศร้า ก็เข้าใจด้วยปัญญาว่านางกำลังตัดพ้อที่เขาฆ่าฟาซิ่นหยงตามกฎหมาย ทั้งๆ ที่อาจช่วยเหลือให้กลับใจโดยวิธีทางอื่น แทนที่จะไม่พอใจ เขากลับรู้สึกนิยมหญิงสาวผู้นี้ขึ้นมาทันที แต่ยังคงเป็นฮั่นตงผู้ซึ่งไม่เคยแสดงอารมณ์อันใดออกมาทางสีหน้า

    เขาประสานมือคารวะหญิงสาว “ความคิดเห็นของแม่นางนับว่าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา ข้าใคร่ขอทราบนาม...”

    “ข้าแซ่เหวิน ชื่อเหม่ยชิง” หญิงสาวตอบ “ข้ายินดีที่ทำให้ท่านมือปราบเปลี่ยนใจได้ หากครั้งหน้า…”

    แม้ฮั่นตงจะชมชอบเหวินเหม่ยชิง แต่อุดมการณ์ในใจย่อมสำคัญกว่า ขณะนั้นเขากลับตอบไปอย่างหนักแน่นว่า

    “ไม่! แม้แม่นางจะมีเหตุผล แต่กฎหมายกับดนตรีเป็นสิ่งที่ไม่อาจวิจารณ์ร่วมกันได้ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นในกมล:-)เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน หากอยู่รวมกันโดยไม่มีกฎระเบียบควบคุมก็จะทำร้ายเอาเปรียบกันเอง ก่อความเดือดร้อนไม่สิ้นสุด ระเบียบของสังคมจำต้องเด็ดขาด ที่ข้าสังหารฟาซิ่นหยงไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก แต่เพราะคนอย่างฟาซิ่นหยงชั่วร้ายจนยากเยียวยา หากปล่อยไปก็จะไปทำร้ายผู้อื่นต่ออีก ข้าไม่อาจปล่อยให้คนดีมากมายต้องจบชีวตลงเพราะคนเลวเพียงคนเดียวได้ ส่วนเรื่องที่กล่าวว่ากฏหมายนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้กดขี่ผู้อื่นของเหล่าผู้มีอำนาจก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ ตัวบทกฎหมายมิใช่ไม่เที่ยงธรรมถึงเพียงนั้น ปัญหาเพียงอยู่ที่ผู้ใช้กฎหมายเท่านั้น ”

    เหวินเหม่ยชิงนิ่งไปครู่หนึ่ง นางไม่คิดมาก่อนเช่นกันว่าจะถูกตอบโต้เช่นนี้

    แต่แล้วนางก็กลับยิ้มแย้มขึ้นอีกครา พร้อมเอ่ยสุ้มเสียงอันไพเราะ “ท่านมือปราบช่างมั่นคงในวิถีทางที่ท่านเชื่อมั่นยิ่งนัก ผู้น้อยต้องเสียคารวะแล้ว” นางกล่าว “แต่เซี่ยวโกยที่ท่านช่วยเหลือได้เคยทำร้ายผู้คนมากมาย ท่านไม่เพียงไม่ลงโทษกลับยังให้เงินมันใช้ นับเป็นการกระทำตามระเบียบกฎหมายหรือไร?”

    คราวนี้ฮั่นตงกลับเป็นฝ่ายอ้ำอึ้งเสียเอง หญิงสาวมองเขาพลางยิ้มอย่างเอ็นดู

    นางเข้าใจเขาแล้ว เข้าใจทั้งอุดมการณ์และคุณธรรมของชายผู้นี้

    นางย่อมไม่ปล่อยให้เขาลำบากใจเกินไปนัก “ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ถ้าอย่างนั้นเห็นทีผู้น้อยต้องขออำลา โอกาสหน้าคงได้พบกันใหม่” เหวินเหม่ยชิง ค้อมกายคำนับ แล้วจึงเดินออกไปขึ้นรถม้าที่รออยู่หน้าร้านเหลา

    รถม้าคันนั้นเป็นแบบของคนมีสกุล ฮั่นตงรู้สึกมึนงงยิ่งนัก เทพธิดาผู้นี้จู่ๆก็มาจู่ๆก็ไป คาดเดาเจตนาไม่ออก เขามองตามร่างของนางจนสุดสายตา จนไม่ทันระมัดระวังเผลอร่างชนกับคนผู้หนึ่งอย่างจัง!!!

    คนผู้นี้แต่งกายชุดขาว ร่างเล็กแบบบาง พลางถลึงตามองฮั่นตง

    มือปราบหนุ่มต้องค้อมกายขอขมาโทษ “ขออภัยข้าพเจ้ามิทันระมัดระวัง จนต้องขวางทางน้องชาย…”

    บุรุษชุดขาว แค่นหัวร่อ แล้วเอ่ยว่า “พี่ชายท่านนี้เกือบทำให้ข้าพเจ้าต้องสะดุดหกล้ม เพียงเอ่ยปากขอโทษก็คาดว่าหายกันเช่นนั้นหรือ”

    ฮั่นตงหรี่ตาแล้วเอ่ยขึ้น “มิทราบน้องชายท่านนี้จะให้ข้าพเจ้าชดใช้อันใด”
    บุรุษชุดขาวคล้ายกับสนุกสนานที่ได้ยั่วเย้าฮั่นตง “พี่ชายท่านนี้ ถือดีว่าเป็นมือปราบ ฆ่าคนไปคนหนึ่ง จ่ายเงินทำเป็นใจใหญ่ให้ฆาตกร แล้วยังมาทำกะลิ้มกะเหลี่ยกับสาวงาม….”

    ฮั่นตงขมวดคิ้วทั้งคู่เข้าหากัน “น้องชายท่านนี้ออกจะกล่าวเกินเลยไปสักหน่อย…”
    บุรุษหนุ่มส่งเสียงหัวเราะฮิฮะ แล้วสบัดหน้าหมุนกายจากไป ไม่ทันให้ฮั่นตงได้กล่าวจนจบประโยค

    มือปราบหนุ่มรู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ส่งที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นหาได้เป็นเพราะบุรุษหนุ่มเมื่อครู่ไม่

    กลับเป็นเรื่องที่เขาได้โต้เถียงกับ "เหวินเหม่ยชิง" มากกว่า คำพูดของนางมีบ้างที่กล่าวได้อย่างถูกต้อง แต่จะให้ทุกผู้คนอยู่ร่วมกันโดยไม่มีกฎข้อบังคับ ไยมิใช่เช่นเดียวกับจับมุกสิกจำนวนมากมาขังร่วมกัน ทั้งวุ่นวาย ทั้งสับสน

    ตัวเขาเองตอนนี้ก็เฉกเช่นกับเหล่ามุสิกที่ถูกจับขังรวมไว้ในที่เดียวกัน ทั้งวุ่นวาย ทั้งสับสน ฮั่นตงได้แต่ตัดใจไม่คิดถึงเรื่องดังกล่าว สะบัดหน้าไล่ความมึนงง จากนั้นสาวเท้าลงจากเหลาสุรา

    มิคาดบุรุษชุดขาวคล้ายยืนรอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว
    แต่คราวนี้ฮั่นตงตั้งสติได้ เขาเดินนำหน้าชายชุดขาวไปข้างหน้าโดยไม่ให้ความสนใจแต่ประการใด
    เสียงชายชุดขาวดังไล่หลังขึ้นมา “พี่ชายท่านนี้ เดินตรงไปทิศทางนี้ คาดว่าคงไปยังบู๊ตึ้ง บังเอิญข้าพเจ้าก็มีธุระที่บู๊ตึ้งคาดว่าเราคงเดินทางเป็นเพื่อนไปด้วยกันได้ หวังว่าพี่ชายคงไม่รังเกียจ ข้าพเจ้าจะถือว่าเป็นการชดใช้ค่าเสียหายเมื่อครู่ก็แล้วกัน”

    ตอนนี้ฮั่นตงกลับคืนสู่เอกลักษณ์ดั้งเดิมของเขาแล้ว ฮั่นตงผู้ไม่แสดงอารมณ์อันใดออกมา

    ชายชุดขาวเร่งฝีเท้าขึ้นมาเคียงข้างฮั่นตงและพยายามชวนพูดคุย ตอนนี้คนที่ได้เปรียบกับกลายเป็นฮั่นตงไปแล้ว “พี่ชายท่านนี้ไม่คิดจะทราบนามของข้าหรือ ….เฮ้ พี่ชายๆ รอข้าด้วย”

    ...  ...  ...

    แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 46 17:01:25

    แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 46 21:27:59

    แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 46 21:25:13

     
     

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 11 มิ.ย. 46 20:35:33 ]