ลำนำแห่งรัก (ตอนที่16-17)

    **************************
    อันดับแรกต้องขอโทษทุกคนไว้ก่อนที่มาโพสต์ช้าไป  แล้วก็ต้องขอโทษที่ตอนนี้คงไม่ได้ตอบความคิดเห็นค่ะ  เพราะวาโยไม่ค่อยสบาย เป็นหวัด + ข้อเท้าพลิก เท้าบวมตุ่ยเชียว  ยังสรุปไม่ได้ว่าที่ไม่สบายนี่เพราะหวัดหรือพิษบาดแผลกันแน่

    ทำไมชีวิตเราไม่เหมือนนิยายบ้านหนอ  ตอนสะดุดบันไดข้อเท้าพลิก ก็ไม่มีหนุ่มหล่อมารับซักกะคน  พอไปหาหมอ  ก็กะว่าจะหมอหนุ่ม ๆ หล่อ ๆ มารักษาให้   ดันเจอป้ายแพทย์หญิงติดอยู่หน้าห้องเสียอีก   เซ็งค่ะ..

    แถมต้องกลับบ้านมาเอาผ้าพันเท้าให้ตัวเองอีก (ไปโรงพยาบาลแต่ไม่มีใครพันให้)   ใช่สิ!  เรามันใช้ประกันสังคมนี่  หมอพยาบาลที่ไหนเขาจะมาสนใจ

    ยังไงก็ขอโทษอีกครั้งค่ะที่ไม่ได้ตอบความคิดเห็นใคร  เพราะวาโยจาไปนอนต่อแล้วค่า...........

    ***************************************

    ลำนำแห่งรัก (ตอนที่16)

    “พลาด!!”  

    กำพลไล่สายตาไปยังลูกสาวทั้งสองของเขา   ปาลิกานั่งหน้าซีดเซียวไม่ยอมปริปากกล่าวอะไรตั้งแต่กลับมาถึง  เขาเห็นอาภรณ์แปลกตาที่ปาลิกาสวมใส่  แต่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้   ส่วนปณาลีก็นั่งเงียบ  มองพี่สาวฝาแฝดอย่างใจลอย

    ทั้ง ๆ  ที่ทั้งสองทำตัวผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย  แต่กลับไม่วิตกทุกข์ร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้น  ราวกับว่าปาลิกาและปณาลีมีเรื่องอื่นที่น่ากลุ้มกว่าเหตุการณ์ที่เขาเห็นว่าร้ายแรงในครั้งนี้

    “พวกแกทำผิดพลาดมากรู้มั้ย”   กำพลกล่าวเสียงหนัก  ทำให้ปณาลีละสายตาจากพี่สาวมามองเขาอย่างไม่ชอบใจนัก  “ไม่ต้องมามองฉันอย่างนั้นยัยลี   ความผิดน่ะมันอยู่ที่แกมากกว่าทำงานได้เลวยิ่งกว่ามือสมัครเล่นชั้นสวะซะอีก”

    นัยน์ตาของปณาลีลุกวาบอย่างน่ากลัว   แต่แทนที่เธอจะโต้ตอบออกไปอย่างเผ็ดร้อน  เธอกลับเดินไปยังเคาท์เตอร์เครื่องดื่มแทน  วิสกี้สีเหลืองทองถูกเทลงในแก้วเจียรนัยเนื้อดี  เธอเลิกคิ้วให้ผู้เป็นบิดาและได้รับการพยักหน้าตอบกลับมา  แก้วเจียรนัยอีกใบจึงถูกจัดออกมาวาง   ปณาลีตั้งใจจะจัดเครื่องดื่มให้ปาลิกาด้วย  แต่พี่สาวส่ายหน้าเสียก่อน  เธอจึงได้แต่ยักไหล่  เดินไปส่งแก้วเจียรนัยที่บรรจุน้ำสีอำพันให้บิดา
    กำพลยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

    “หนูยอมรับว่าคราวนี้หนูพลาดจริง ๆ  เพราะไม่ทันคิดว่าคุณไรภีจะมาเดินอยู่แถวบ้านเราได้”      ปณาลียิ้มนิด ๆ  เมื่อนึกถึงอีตาไรภีบ้าขึ้นมา  เขาเป็นคุณไรภีเสมอยามอยู่ต่อหน้าบิดาเช่นนี้   ทำให้เธอหมั่นไส้จนต้องเรียกเขาในใจว่าอีตาไรภีบ้ามาตลอด

    “เพราะอย่างนี้น่ะสิ  พ่อถึงบอกว่าทำอะไรให้รอบคอบทุกฝีก้าว”

    ปณาลีเขย่าแก้ววิสกี้ในมือเบา ๆ    “แล้วพ่อคิดว่าเราควรทำยังไงต่อไปคะ”

    “ทำไมแกถึงโยนปัญหามาให้ฉันอย่างนี้ล่ะยัยลี  ไม่คิดหรือไงว่าปัญหานี้แกควรหาทางแก้เองเพราะแกเป็นคนทำพลาด”  กำพลมองลูกสาวคนเล็กนิ่ง   แต่รอยยิ้มพริ้มเพราบนริมฝีปากของปณาลีทำให้เขาไม่สบายใจเอาเลย

    “พ่อเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ”   ปณาลียกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ  เสียงดังกึกเบา ๆ  กลับทำให้บรรยากาศชวนตรึงเครียดยิ่งขึ้น

    กำพลกระแอมเบาๆ  “แกหมายความว่ายังไงยัยลี  ฉันเข้าใจผิดยังไง”

    ปณาลีเงยหน้าสบตากับบิดาด้วยนัยน์ตาราบเรียบ  เย็นเยียบราวกับก้อนน้ำแข็ง  “ก็เข้าใจผิดที่ว่าปัญหาทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะหนูน่ะสิคะ     พ่อช่วยลองคิดอีกทีเถอะค่ะว่าปัญหาทุกอย่างมันเกิดจากใครกันแน่  ทำไมหนูกับปาต้องมาอยู่ในสภาพนี้    ไม่มีสักครั้งในชีวิตที่เราสองคนจะมีชีวิตเต็มร้อย  ไม่ว่าจะทำอะไรเราต้องเผื่อใจสำหรับการระวังตัว   และความรอบคอบที่พ่อพูดเสมอ..”

    ไม่เพียงกำพลเท่านั้นที่อึ้งไป  กับท่าทางซีเรียสของปณาลี    ปาลิกาที่เอาแต่เงียบมาตลอดก็กำลังเริ่มสับสน เมื่อได้ฟังคำพูดของน้องสาวฝาแฝด

    “..หนูคิดเสมอนะคะพ่อ”   ริมฝีปากของปณาลีบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มขมขื่น  “เมื่อสิบปีก่อนหนูคิดถูกหรือเปล่าที่  กลับมาอยู่กับพ่อ  แทนที่จะอยู่กับแม่”    ปณาลีพูดเพียงแค่นั้นก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง

    “พ่อคะ?”  ปาลิกายืนขึ้นอย่างลังเล  ไม่แน่ใจว่าควรตามปณาลีไป  หรืออยู่กับบิดา ที่เห็นชัดว่านิ่งขึงไปกับคำพูดของน้องสาว

    แต่กำพลเป็นคนตัดสินใจแทนปาลิกา  “ยัยปา  ตามน้องไป ไป๊...”
    เมื่อปาลิกาคล้อยหลังไป   กำพลยืนเหม่ออยู่ชั่วครู่  เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ผลักหน้าต่างบานหนึ่ง  เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน   ความมืดแบบนี้แหละที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับมันมาตลอด      เมฆก้อนใหญ่ลอยผ่านไปเผยให้เห็นดวงจันทร์ส่องแสงสีเหลืองนวล

    กำพลตระหนักถึงความคิดที่ไม่เคยผุดขึ้นมาในสมองเขามาก่อน    กลางคืนคือชีวิตของเขา  แต่สำหรับลูกสาวของเขากลางคืนหรือกลางวันกันแน่ที่เป็นชีวิตของพวกเธอ..

    **********************************************

    ปาลิกาเคาะประตูเบา ๆ  ก่อนผลักบานประตูห้องของปณาลีเข้าไป      ในห้องไม่ได้มืดสนิท   แต่มีแสงไฟสีส้มอ่อน   จากหัวเตียงทำให้เห็นร่างบางของปณาลีที่นั่งเหม่ออยู่ข้างหน้าต่างได้ในทันที

    “ปาเหรอ”

    “อือ”

    ปณาลีหันมามองปาลิกา  “ขอโทษนะ   ปาไม่ได้ตั้งใจที่พูดราวกับว่าไม่อยากอยู่กับปาแล้วก็พ่อ   แต่วันนี้มันเกิดเซ็งชีวิตแบบนี้ขึ้นมา”   ปณาลีส่งยิ้มเศร้าสร้อยให้คู่แฝด

    ปาลิกาสะท้อนในอก  รู้สึกปวดใจกับภาพที่น้องสาวผู้ร่าเริงแจ่มใสเคว้งคว้างราวกับเด็กหลงทาง   เธอค่อย ๆ  เดินไปทรุดตัวตรงหน้าเก้าอี้ที่ปณาลีนั่งอยู่  เอื้อมมือไปโอบกอดร่างของน้องสาว

    “ไม่เป็นไรหรอก   แต่ปาอยากบอกให้ลีรู้ว่า  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นปาจะไม่ทิ้งลีไปไหน”      

    ปณาลีกอดตอบพี่สาว  ต่างคนต่างกอดกันแน่นจนชวนอึดอัด  แต่ไม่มีใครรังเกียจความอึดอัดที่มากับความอบอุ่นนี้

    “ลีก็เหมือนกัน   ลีก็เหมือนปา  จะไม่ทิ้งปาไปไหนเราจะไม่ทิ้งกัน”    เสียงเครือนิด ๆ  บอกถึงอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี

    ปาลิการู้สึกถึงหยดน้ำร้อน ๆ ที่หัวไหล่    และก็รู้ตัวว่าน้ำตาเธอกำลังหลั่งรินเช่นกัน    เธอดันร่างน้องสาวออกเบา ๆ

    “อะไรก็ไม่รู้  นี่เรามานั่งร้องไห้กันทำไมเนี่ย   ดูสิยัยหนูลีน้ำตานองหน้าเชียว”   ปาลิกาปาดน้ำตาจากแก้มน้องสาว

    “ตัวเองก็เหมือนกันแหละ”   ปณาลียกชายแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง   อีกมือก็ควานหากระดาษทิชชูส่งให้พี่สาว   ต่างคนต่างหัวเราะให้กันและกัน

    ************************************************


    “เอ่อ..ปา  ลีกะจะถามตั้งแต่ปากลับมาแล้วล่ะ   แต่พอดีพ่อทำหน้ายักษ์อยู่เลยขึ้เกียจพูด”   ปณาลีในชุดนอนกำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงในห้องของปาลิกา   เธอมองพี่สาวที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำมานั่งแปรงผมอยู่

    “เรื่องอะไรล่ะ”   ปาลิกายังแปรงผมไปเรื่อยๆ

    “ก้อ...ปากลับมาเสียดึกแล้วทำหน้าเหมือนปวดท้องอย่างนั้น   นายธัญธาดาทำพิษอะไรเข้าล่ะ”

    ปาลิกาชะงักแปรงในมือ  เม้มริมฝีปากแน่น  “ก็ไม่มีอะไรนี่   ไปกินข้าว  แล้วก็ฟังเพลงเท่านั้นแหละ”

    ปณาลีฟังออกว่าน้ำเสียงของปาลิกาออกจะแข็ง ๆ อยู่  แถมกิริยาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้พ้นสายตา   แต่ในเมื่อปาลิกาไม่อยากเล่าตอนนี้  ก็คงต้องปล่อยไปก่อน

    “แค่นั้นเองเหรอ...สู้ลีก็ไม่ได้”  ปณาลีทำเป็นย่นจมูก  “อีตาไรภีทำป่วนหมดเลย”

    “หือ..?  คุณไรภีทำป่วนอะไรล่ะ”   ปาลิกายินดีที่ได้เปลี่ยนเรื่อง

    ปณาลีก็เริ่มเล่าเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นหลังกลับบ้านให้พี่สาวฟัง

    *************************


    “โอ๊ย...ร้อนๆๆ”   ไรภีโวยทันทีเมื่อเข้ามานั่งในบ้านหญิงสาว  เขาดึงวิกผมออกวางกองลงกับโต๊ะ  อย่างไม่มีมารยาทที่สุดเท่าที่ปณาลีเคยเห็นมา   เธอเลยจัดการรินน้ำเย็นเจี๊ยบจากตู้เย็นให้เขาดื่ม   ขณะที่ลงมือจัดข้าวของเข้าครัว   เตรียมทำอาหารฝรั่งเศสที่ไปเข้าคลอสเรียนมา  ตอนสืบหาคน ๆ ในงาน งานหนึ่ง

    หลังจากกระดกน้ำจนหมดแก้วอีตาไรภีบ้าก็เดินเข้ามาสมทบในครัว

    “ไงมีอะไรให้ช่วยมั้ย?”

    “ลูกเศรษฐีอย่างคุณทำกับข้าวเป็นหรือไง”  ปณาลีถามแกมเยาะ

    “อย่าดูถูกไป  สมัยอยู่หอที่มหา’ลัย  ผมเป็นพ่อครัวประจำหอเลยนะ”

    “จริงอ่ะ????”  ปณาลีไม่ค่อยเชื่อนัก  แต่เห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของเขาก็เลยต้องยอมให้เขาช่วย
    “จะให้ทำอะไรก่อนล่ะ”

    “ช่วยลอกเปลือกมะเขือเทศให้หน่อยแล้วกัน”   ปณาลีหยิบหม้อใบกะทัดรัดใบหนึ่งออกมาหลังจากล้างผลมะเขือเทศเรียบร้อยก็ใส่ลงไปในหม้อเปิดน้ำจนน้ำท่วมผลมะเชือเทศสีแดงอมส้ม  จากนั้นก็นำมาตั้งไปอ่อน ๆ บนเตา  “พอน้ำอุ่น ๆ คุณก็ลอกเปลือกมันออกนะ”     พอไรภีพยักหน้ารับ   ปณาลีก็หันกลับไปจัดการกับของอื่นต่อ

    ผ่านไปพักหนึ่ง  เสียงน้ำเดือดปุด ๆ ทำให้ปณาลีหันไปมองที่เตาอย่างสงสัย

    “คุณไรภี  นั่นน้ำเดือดแล้วนะ  ทำไมมะเขือเทศยังอยู่ในหม้อล่ะ”   ปณาลีโวยลั่น  รี่เข้าไปปิดเตาแก๊ส  แต่สายไปแล้ว  มะเขือเทศในหม้อสุกจนนิ่มไปทั้งลูกแล้ว

    ปณาลีตักมะเขือเทศสุกใส่จาน  เธอเงยหน้ามองไรภีด้วยความสงสัย   ชายหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย  เป็นทำนองบอกว่าช่วยไม่ได้

    “ผมไม่เคยลอกเปลือกมะเขือเทศนี่นา..”  
    ราวกับว่านั่นเป็นคำตอบทั้งหมดที่เขาอธิบายได้    ปณาลีแอบกัดฟันกรอด...เมื่อได้ยินไรภีพูดต่อ

    “..เอาไว้ทำซุปก็ได้นี่นา”  
    แล้วซุปในเย็นนั้นก็เป็นซุปมะเขือเทศแทนที่จะเป็นซุปฟักทองอย่างที่ปณาลีคิดไว้แต่แรก

    “ฉันว่าคุณออกไปรอข้างนอกดีกว่านะคุณไรภี”

    “แต่ผมทำสลัดผักได้นะ”   ไรภีดื้อแพ่ง

    คราวนี้ปณาลีไม่ค่อยอยากจะเชื่อเขานัก  เลยแอบดูเขาเป็นระยะ ๆ  ปรากฏว่าเขาจัดสลัดผักได้สวยน่ากินจริง ๆ เสียด้วย    เธอเห็นเขาทำน้ำสลัดด้วย  อดไม่ได้เลยขอโผล่หน้าไปชิม  เอ๊ย..ไปดูใกล้ ๆ
    ทว่า...เจ้าขวดที่หนุ่มนักแสดงรูปงามที่สาว ๆ ทุกคนกรี๊ดกร๊าดทุกครั้งที่เจอเพิ่งวางลงไป  ทำให้ปณาลีกรีดร้องเสียงดังลั่น

    “ตายแล้ว...!!  คุณไร คุณเพิ่งใส่อะไรลงไปในน้ำสลัดน่ะ  ไอ้สามช้อนพูน ๆ นั่นน่ะ”

    “น้ำตาลไง”   ไรภีทำหน้าเหรอ  ไม่เข้าใจว่าเขาทำผิดอะไร
    “น้ำตาลงั้นเหรอ..งั้น  คุณลองชิมดูสิ”    ปณาลีคว้าช้อนแกงคันเล็ก  มาตักน้ำสลัดมาจ่อถึงปากเขาเลยล่ะ  ไรภีทำหน้าประหลาดใจ  แต่ไม่วายทำหน้าทะเล้นใส่หญิงสาว  จนปณาลีอยากจะถองศอกเข้าชายโครงเขานัก

    ไรภีอ้าปากชิมน้ำสลัดฝีมือเขาที่ปณาลีป้อนถึงปากอย่างมั่นใจ   แต่พอลิ้นรับรู้รส ชาดเท่านั้นเขาก็แทบพ่นออกมา  เขารีบยกมือป้องปากพยายามกลืนเจ้าน้ำสลัดช้อนนั้นเข้าไป

    ปณาลีวางช้อนลง   เท้าสะเอวมองเขาอย่างสมน้ำหน้า  “เป็นไงบ้างน้ำตาลของคุณน่ะ”

    ถ้าปณาลีคิดว่าไรภีจะจนมุมก็ผิดไปล่ะ  “ทำไมน้ำตาลบ้านคุณเค็มจัง”

    ปณาลีอ้าปากกรี๊ดเสียงดังจนไรภีต้องอุดหู




    จากคุณ : wayo - [ 26 มิ.ย. 46 23:01:40 ]