ตราบนิจนิรันดร4/1

    4

    ตราบตะวันสิ้นฟ้า            ตราบจันทราสิ้นแสง
    ตราบทะเลสิ้นแรง           หากพลังแห่งรัก..
    ยังคงซึ้งสลักตรึงในดวงใจ...ตราบนิรันดร

    ข้อความนั้นถูกเขียนด้วยลายมือบรรจงบนกระดาษสีน้ำตาลอ่อนๆเพราะกาลเวลาที่ล่วงผ่าน ลบเลือนความขาวสะอาดของกระดาษออกไปจนเหลือแต่สีมัวซัว

    กระดาษแผ่นนี้ถูกสอดไว้ข้างหลังรูปเธอและจินดา หญิงสาวยังจำได้ถึงท่าทางราวกับตกในห้วงฝันของจินดาตามประสาเด็กสาวที่ช่างฝันได้...ท่าทาง ที่ทำให้เธอต้องล้อเลียนจินดาออกมาด้วยความขำขัน

    จินดาเคยพูดกับเธอว่า

    ‘เราฝันไว้นะว่า สักวันหนึ่งเราจะได้พบพานกับคนที่รักเราจริงๆ ไม่ใช่รักที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่รัก..ที่เราเป็นเรา อิงเชื่อไหมว่าความรักแบบนั้นนั่นแหละ ที่จะเป็นสิ่งที่นิรันดร’

    เธอไม่ได้ตอบคำ เพียงแต่หัวเราะเบาๆกับความคิดของเพื่อนเท่านั้น

    ทว่าในขณะนี้ หญิงสาวอดถามกับตัวเองไม่ได้..แล้วเธอเองล่ะ จะมีโอกาสได้พบเจอกับรักแท้..รักที่นิรันดรอย่างที่จินดาเคยกล่าวไว้หรือไม่

    เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้หญิงสาวผงกหัวนิดหนึ่ง เธอลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้านพร้อมๆกับที่อังควิภาเปิดประตูแง้มเข้ามา

    “ธีมาแน่ะจ้ะ รออยู่ข้างล่าง”

    “เขาจะมาทำไมบ่อยๆนะ”  อิงธิอรอดบ่นออกมาไม่ได้ เพราะว่าหลังจากวันนั้น ธีรเดชก็กลายมาเป็นแขกประจำวันของที่บ้านโดยปริยาย

    ไม่ได้มาหาอังควิภา ทว่าจุดหมายของเขาคืออิงธิอร

    “หลงรักอิงเสียล่ะมั้ง”  อังควิภาแหย่

    ได้ผล ใบหน้าน้องสาวของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ แล้วเข้มขึ้นจนกลายเป็นตำลึงสุก

    “พี่อังบ้า พูดอะไรก็ไม่รู้ อิงว่ามาหาพี่อังนั่นแหละแต่เอาอิงมาเป็นข้ออ้าง”  หญิงสาวว่าไปโน่น “ไม่เอาแล้ว ไม่ทะเลาะกับพี่อังหรอก เถียงทีไรอิงแพ้ทีนั้นสิน่า”  

    ตัดบทจบ เจ้าตัวก็วิ่งตึกตักลงไปข้างล่างโดยไม่เหลียวหลัง ปล่อยให้อังควิภาหัวเราะคิดคักอยู่คนเดียว

    คงจะดีไม่น้อยถ้าหากว่าธีรเดชจะมาเป็นน้องเขยของเธอ...เหอะ หลังจากที่เธอถูกเขาเล่นมาหลายครั้ง คราวนี้แหละ จะได้เป็นตาของเธอที่จะเล่นเขาบ้าง  แค่คิด เธอก็รู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างหยุดไม่อยู่



    หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาเขาด้วยดวงหน้าง้ำๆ ร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสามส่วนดูคล้ายเด็กกะโปโลมากกว่าหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเชิดใส่เขาด้วยมาดนางพญา  และความคิดนั้นทำให้ใบหน้าคมปรากฏรอยยิ้มบาง

    “คุณไปกินรังแตนจากที่ไหนมาอีกล่ะ”  เขาถามเมื่อเห็นเธอกระแทกตัวบนโซฟา

    “ก็คุณน่ะแหละ”  เธอว่าแล้วก็ส่งค้อนให้เขาวงโต  “รู้อยู่หรอกน่าว่าตอนนี้เราต้องทำตัวให้พี่อังเห็นว่าพวกเราสนิทกันมาก แต่ฉันไม่เห็นความจำเป็นที่ว่าทำไมคุณจะต้องมาหาฉันได้ทุกวี่ทุกวัน”

    “อย่ามาคุยเรื่องนี้ตรงนี้เลย ผมว่าถ้าเราจะพูดเรื่องนี้ ไปที่รถผมดีกว่า”  

    “ฉันขี้เกียจออกจากบ้านนี่นา”  เธอโอด

    “ร้อยทั้งร้อย ผมเห็นผู้หญิงชื่นชอบที่จะออกจากบ้านเพื่อไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้ามากกว่าที่จะอุดอู้อยู่ในบ้าน แต่คุณกลับบอกผมว่าคุณขี้เกียจออกจากบ้าน” เขาหัวเราะแผ่วในลำคอ “อิง คุณเป็นผู้หญิงที่แปลกมากนะ”

    “ฉันก็เป็นอย่างนี้ของฉันมานานแล้ว”  น้ำเสียงของเธอสะบัด เกลียดนักแหละ กับการที่ต้องไปเป็นตัวเปรียบเทียบกับใครๆ  เธอก็เป็นเธอแบบนี้ ทำไมจะต้องเป็นแบบผู้หญิงที่เขาเคยพานพบด้วย

    “ก็ดีแล้ว”  นั่นเป็นประโยคที่ทำให้เธอชะงัก “ผมเองก็ชอบที่คุณเป็นคุณอย่างนี้นี่แหละ”

    คำพูดของเขาทำให้ใจเธอแกว่ง ดวงตากลมโตจ้องเขาราวกับเห็นเขาเป็นตัวประหลาด และหลุดคำพูดออกมาโดยไม่ทันคิด

    “คุณพูดเหมือนจินเลย”  

    เขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกตัว อิงธิอรหัวเราะเก้อๆออกมาอย่างอายๆ

    “จินเคยฝันไว้ว่าจะมีคนที่รักจินอย่างที่จินเป็นจิน..”  น้ำเสียงเธอเศร้าลง “แต่จินก็ไม่สมหวัง”  

    สีหน้าเขาอ่อนลงด้วยความรู้สึกส่วนลึก  อิงธิอรเป็นผู้หญิงที่ลึกซึ้งต่อความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ หรือจะเรียกว่าเป็นคนอ่อนไหวก็ย่อมได้ และคนอ่อนไหวอย่างนี้นี่แหละที่มักจะถูกความคิดของตัวเองทำร้ายมากกว่าคำพูดของคนอื่น  อีกทั้งยังมักคิดถึงความรู้สึกคนอื่นก่อนความรู้สึกของตัวเอง

    “ผมเสียใจ”  เขาพูดเบาๆ

    “เรื่องจินน่ะหรือคะ”  อิงธิอรเสียงขม  “จินตายไปแล้ว การเสียใจของคุณคงไม่ช่วยทำให้เวลาย้อนกลับได้”

    จนแล้วจนรอด เธอก็ยังทำใจได้ไม่สนิทเกี่ยวกับเขา ถึงแม้บางครั้งเธอก็จะพูดคุยเป็นอย่างดี แต่ในบางครั้ง มันคล้ายกับมีม่านบางกั้นขวางระหว่างเขาและเธอ

    ชายหนุ่มรู้ตัวว่าเขาทำไม่ถูกต้อง แต่จะให้เขาทำอย่างไรในขณะนั้น เขาไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ ดังนั้นหากจะให้เขาช่วยปกป้องเรียกร้องให้ยุทธนาออกมารับผิดชอบเด็กคนนั้นคงไม่มีทาง อีกทั้งเขายังไม่ชอบเรื่องยุ่งยากโดยเฉพาะเรื่องหาเหาใส่หัวหรือแกว่งเท้าหาเสี้ยน

    ที่สำคัญ ตอนนั้นยุทธนามีพลังเงินและอำนาจ ไม่เหมือนในขณะนี้ที่ไม่มีอะไรสักอย่างจนกระทั่งต้องทำอะไรสิ้นคิดอย่างจะจับอิงธิอรให้อยู่หมัด

    ต่อกรไป จะยังไงก็เสียเวลาเปล่า ข่าวประเภทนี้ผู้หญิงไม่มีทางได้ มีแต่ทางเสีย และสังคมก็ชอบนักกับข่าวของคนดัง เรื่องของเด็กสาวคงถูกนำไปใส่สีตีไข่จนสกปรกไปหมดในขณะที่ฝ่ายชายอาจเพียงโดนตำหนิว่ากระทำตัวไม่เหมาะสม หนักกว่านั้นก็คือเพียงแค่โดนแซวว่าเป็นเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์เท่านั้น

    เรื่องจะออกหัวออกก้อย เขามองออกตั้งแต่แรก

    กำลังเงินและอำนาจมันต่างกัน

    แต่ที่เขานึกไม่ถึงก็คือ เด็กสาวจะรับไม่ไหวจนถึงขั้นฆ่าตัวตายต่างหาก...

    เขายังนึกสงสัยว่าถ้าหากยุทธนารู้เรื่องนี้ ไอ้หมอนั่นจะมีปฏิกิริยาอะไร  

    ตกใจ เสียใจ เฉยเมย หรือไม่แยแส   แต่ถ้าให้เขาเดา คนอย่างยุทธนาคงจะไม่แยแส ไม่แม้กระทั่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

    “เราออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกกันดีกว่า”  จู่ๆเขาก็พูดขึ้นง่ายๆ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องชักจะอึมครึม

    หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงที่พูดออกมาขึ้นจมูกอย่างฉุนๆ

    “จะบ้าเหรอคุณ นี่มันในตัวเมืองกรุงเทพมหานครนะ จะเอาอากาศบริสุทธิ์มาจากไหนไม่ทราบ”

    “เอาเป็นว่าผมหาให้คุณได้แล้วกัน”  

    “แต่ฉันบอกแล้วไงว่าวันนี้ฉันขี้เกียจ”  หญิงสาวสะบัดหน้าหนี  ความเคืองใจที่มีไม่หายทำให้เธอไม่คล้อยตามเขาง่ายๆถึงแม้ว่าเขาจะมีบุญคุณกับเธอก็ตาม

    “ถ้าไม่อยากให้แผนของเราแตก คุณก็ไม่ควรโยเยนะอิงธิอร”  เขาเอ่ยเสียงแผ่ว

    อิงธิอรหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น เธอสามารถรู้ตอนจบได้โดยไม่ต้องเดาว่าจะเป็นเช่นไร...ให้ตายสิ ทำไมเวลาอยู่กับเขาเธอจะต้องกลายเป็นลูกไล่ของเขาอยู่เรื่อยเลยนะ

    จากคุณ : narujung - [ 7 ก.ค. 46 12:57:26 ]