Riptide คลื่นมนุสส์ ตอนที่ 2

    ทันทีที่ก้าวพ้นตัวอาคารออกมาด้านนอก ซาร่าก็พยายามจะสลัดความรู้สึกกริ่งเกรงในใจด้วยการสูดลมหายใจเฮือกใหญ่หวังให้อากาศบริสุทธิ์ช่วยไล่ความรู้สึกแปลก ๆ ไป อากาศยามบ่ายในเดือนพฤศจิกายนดูสดชื่น ทั้งจากแสงแดดเรืองรอง ท้องฟ้าสีครามสดใส และกลิ่นไอของเมเปิ้ลทะเลซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบเขียวในทิวป่า มองเห็นใบพริ้วไหวเป็นหย่อม ๆ ทั้งสีทอง สีน้ำตาล และสีเหลืองไหม้
    สเตฟานี่โบกไม้โบกมือกับซาร่าและจูลี่อยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าฟิตแอนด์ฟันพลางตะโกนบอกเสียงดัง “จูลี่ วันอาทิตย์นี้เธอน่าจะพาซาร่าไปที่โบสถ์นะ ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่อยู่แล้ว แต่ฉันคิดว่าทุกคนคงอยากเจอเธออีก พวกเขาจะได้รู้จักซาร่าด้วย”
    “จ้ะ แล้วฉันจะไป” จูลี่ตะโกนตอบ “เที่ยวให้สนุก อย่าลืมกินซูชิเผื่อฉันด้วยนะ และที่สำคัญอย่าเผลอให้เกอิชาคนไหนรวบหัวรวบหางไรอันได้ล่ะ”
    คงไม่มีเกอิชาหรือผู้หญิงคนไหนยั่วยวนไรอัน แฮร์ริสันให้หลงใหลไปได้อย่างเด็ดขาด ในเมื่อเขากับภรรยารักใคร่ผูกพันกันมากมายขนาดนั้น ซาร่าอดคิดไม่ได้ นี่เราอิจฉาพวกเขาอย่างนั้นเหรอ? ไม่ ไม่ใช่แน่ ๆ ซาร่ายิ่งคิดก็ยิ่งขำตัวเอง แต่คิด ๆ ดูบางทีเราอาจจะแอบอิจฉาพวกเขาอยู่ลึก ๆ ก็ได้
    “เพิ่งจะรู้ว่าเธอก็ไปโบสถ์กับเขาด้วยเหมือนกัน” เธอถามหลังจากที่นั่งลงบนเบาะข้างคนขับในรถฮอนด้าบุโรทั่งของจูลี่
    “ก็ไปบ้าง” จูลี่บอกพลางติดเครื่องรถ “สเตฟานี่เป็นคนชวนฉันไป เธอกับไรอันเป็น
    พวกคริสเตียน*ที่เคร่งครัดมาก”
    ซาร่ากลั้นหายใจฟังเสียงเครื่องยนต์ที่ค่อยๆ ติด นึกภาวนาให้เครื่องติดโดยไม่มีปัญหาอะไรเหมือนทุกครั้ง ครู่หนึ่งเสียงเครื่องยนต์ก็เริ่มผ่อนลงไปเป็นเสียงคราง แล้วจูลี่ก็หักพวงมาลัยพารถออกสู่ถนนอย่างคล่องแคล่ว
    “ฉันว่าโบสถ์ที่นี่ก็ดีนะ” เธอพูดต่อ “คือฉันก็ศรัทธาในพระเจ้าอยู่บ้างหรอก ทุกคนที่โบสถ์ก็อัธยาศัยดี ดนตรีที่นั่นก็เพราะ แต่ส่วนใหญ่แล้ววันอาทิตย์เป็นวันที่ฉันวาดรูปได้ดีที่สุด เหมือนนั่นคือของขวัญชิ้นพิเศษสุดสำหรับฉันจากพระเจ้า ฉันก็เลยไปบ้างไม่ไปบ้าง ความจริงแล้วฉันคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องไปที่โบสถ์เพื่อแสดงความศรัทธาต่อพระเจ้าเสมอไปหรอก มีวิธีอื่นอีกตั้งมากมายที่เราจะแสดงความศรัทธาต่อพระเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องศรัทธาผ่านพระเยซูอะไรทำนองนั้น”
    ซาร่าอดสงสัยไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้วพระเจ้าทรงนำทางให้จูลี่วาดรูปได้ในวันอาทิตย์มากกว่าจะไปโบสถ์อย่างนั้นหรือ แต่เธอก็ได้แต่สงสัยเท่านั้น จะว่าไปเธอแทบไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับพระเจ้าหรือการแสดงความศรัทธาต่อพระองค์เลยด้วยซ้ำ ในวัยเด็กเธอเคยไป
    โรงเรียนสอนศาสนาในวันอาทิตย์อยู่สองสามครั้งเท่านั้น นอกจากนั้นเท่าที่เธอนึกได้ก็คือวันคริสต์มาส และวันอีสเตอร์ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ เกิดขึ้นในครอบครัวของเธอ เป็นต้นว่าพ่อของเธอจะแต่งตัวเป็นซานตาคลอสในวันคริสต์มาส พ่อเป็นซานตาคลอสที่สนุกที่สุดเท่าที่เธอจำได้ ส่วนวันอีสเตอร์ก็คือวันที่แม่ของเธอจัดการแข่งขันค้นหาไข่อีสเตอร์ให้เธอเล่นกับเด็ก ๆ ในละแวกเดียวกัน เท่านี้จริง ๆ ที่ซาร่าคิดว่าเป็นรายละเอียดที่เธอจดจำได้เกี่ยวกับพระเจ้า จนกระทั่งเธอได้พบกับคุณทวด ผู้หญิงซึ่งทั้งฉลาดทั้งอบอุ่นที่เฝ้าตามหา และจับตาดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอและจูลี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
    และเพราะความรู้สึกที่มีต่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ทึบตันสำหรับเธอ ซาร่าจึงรู้สึกอึดอัดใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีก เธอเลยเสพูดเปลี่ยนเรื่องไป “เอาล่ะ ก่อนที่เราจะเทกระจาดเงินทองทั้งหมดที่มีกับงานนี้ ฉันอยากให้เธอเล่าเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับโรงละครนั่นให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้”
    “โธ่…ฉันว่าเรื่องพวกนั้นมันเหลวไหลทั้งเพ อย่างเรื่องที่ว่าที่นั่นมีวิญญาณสิงสู่รอคอยที่จะจัดการกับเหยื่อรายต่อไปอย่างงี้” จูลี่หยุดรถที่ทางแยกที่ตัดสู่ถนนสายหลักของเมืองจูลส์เบิร์ก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงสาย 101 ด้วย รถเพียงคันเดียวที่ผ่านมาให้เห็นคือรถสายตรวจ ซึ่งเป็นรถสีขาวดำที่มีแถบเครื่องหมายของตำรวจท้องที่ติดอยู่ตรงประตูรถ ทันทีที่รถสายตรวจผ่านเข้ามาใกล้ จูลี่ก็โบกมือให้คนขับอย่างเป็นกันเอง “นี่ไง ตำรวจคนเก่งคนเดียวของเรา”
    “คนเดียวอย่างนั้นเหรอ”
    “ความจริงที่นี่มีตำรวจประจำการอยู่สองคน แต่เบ็น โมสลี่ย์เพิ่งจะเกษียณไป
    แรนดี้ วิลสันก็เลยได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับการตำรวจของที่นี่” แล้วเธอก็เลี้ยงรถเข้าสู่ถนนสายหลัก
    “แล้วถ้าเกิดมีเหตุร้ายเกิดขึ้นพร้อมกันสองที่จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทั้งเมืองมีตำรวจแค่คนเดียวแบบนี้”
    “โอ๊ย…เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด คนร้ายในจูลส์เบิร์กพวกนี้มีมารยาทพอที่จะรอคิวต่อ ๆ กันไป” จูลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเสียจนซาร่าเกือบจะเชื่อว่าเธอหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ
    “แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริง ๆ ล่ะก็ เรายังมีสำนักงานเขต ที่มีเจ้าหน้าที่พอจะเป็นแรงหนุนได้อยู่เหมือนกัน แต่เรื่องแบบนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก ฉันว่าแรนดี้ทำ
    หน้าที่ของเขาเองได้ดีอยู่แล้ว อย่างเมื่อสักสองสามเดือนก่อน มีกลุ่มวัยรุ่นพยายามจะรวมตัวกัน แรนดี้ก็จัดการเอาพวกนั้นซะอยู่หมัดอย่างกับหมาที่กัดไม่ปล่อยเลยแหละ”
    “โอเค เข้าใจแล้ว ไว้ถ้าคิวของพวกคนร้ายที่เธอว่ามันวนมาลงที่ฉัน ฉันจะรีบแจ้งคุณตำรวจคนเก่งของเธอทันทีเลย…ทีนี้กลับไปที่เรื่องโรงละครเนเวอร์มอร์นั่นได้แล้ว!”
    “จ้ะ..ได้เลยจ้า…เท่าที่ฉันจำได้นะรู้สึกว่านานมาแล้ว คงจะประมาณช่วงยุค 60 หรือต้น ๆ ยุค 70 นี่แหละ มีฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นั่น”
    “ฆาตกรรมเหรอ แล้วเขาตายยังไงล่ะ”
    จูลี่เบรกรถจนตัวโกร่งเมื่อบ้านรถพ่วงคันหนึ่งหักเลี้ยวออกมาจากมุมถนนอย่างกะทันหัน ก่อนที่จะวิ่งโคลงเคลงนำหน้าพวกเธอไป “ถูกแทงมั้ง ฉันไม่แน่ใจหรอก แต่คิดว่าพวกเขาจับตัวฆาตกรไม่ได้ และหลังจากนั้นผู้หญิงที่เป็นเจ้าของโรงละครในตอนนั้นก็ฆ่าตัวตาย”
    “ทันทีหลังจากที่เกิดเหตุฆาตกรรมน่ะเหรอ”
    “เปล่าหรอก โรงละครยังคงเปิดตามปกติอยู่อีกเป็นปี ๆ แต่ตอนนั้น แกก็เพี้ยน ๆ แล้วล่ะ เขาเล่ากันว่าแกชอบใส่ชุดราตรีออกมาเดินกรีดกรายไปมาที่โถงทางเดิน แล้วก็พล่ามแต่บทจากหนังเรื่องวิมานลอย* ประหลาดไหมล่ะ”
    “บทที่แกพล่ามน่ะบทของใครรู้ไหม สการ์เล็ตต์หรือเมลานี**” ซาร่าถามขำ ๆ
    “ก็ต้องสการ์เล็ตต์สิ ถ้าเธอจะเพี้ยนเพราะสิ้นหวังทั้งทีเธอไม่อยากเป็นสการ์เล็ตต์หรือไง ฉันว่าเมลานีน่ะเหยาะแหยะจะตาย”
    ซาร่าหยุดคิดไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเปรยขึ้นมาเบา ๆ “ฉันไม่ใช่คนที่ท้อแท้สิ้นหวังง่าย ๆ และฉันก็ไม่เชื่อเรื่องคำสาปหรืออาถรรพ์อะไรนั่นด้วย”
    จูลี่ผ่อนเครื่องและนำรถของเธอเข้าไปจอดยังลานจอดรถลาดยางของโรงละคร
    เนเวอร์มอร์ที่สภาพในตอนนี้มีหญ้าขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ ก่อนจะดับเครื่องเมื่อรถจอดสนิท เสียงเครื่องยนต์ที่ค่อย ๆ ดับลงดังครั่ก ๆ ซึ่งซาร่ารู้สึกเริ่มคุ้นเคยกับมันบ้างแล้วดังตามมาตามคาด ทว่า
    จูลี่ดูจะไม่วิตกกังวลกับเสียงแปลก ๆ นั่น ถ้าเป็นเธอ ซาร่าคิดว่าเธอคงจะแจ้นไปให้ช่างเช็คเครื่องรถเรียบร้อยแล้ว จูลี่เท้าปลายแขนไว้บนพวงมาลัยพลางแหงนหน้าขึ้นไปมองดูกำแพงโรงละครที่เป็นกระเบื้องผสมไม้ ซึ่งตอนนี้มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่เป็นหย่อม ๆ กระจัดกระจายไปทั่วส่วนที่เป็นกระเบื้องซึ่งกร่อนพังไปตามกาลเวลา
    “ฉันคิดว่าฉันกลับกล้าเปิดใจยอมรับอะไรมากขึ้นกว่าแต่ก่อนนะ” จูลี่พูดด้วย

    น้ำเสียงจริงจัง และเมื่อเหลือบมองมาที่ซาร่า ดวงตาสีฟ้าใสของเธอส่อแววยั่วเย้าขึ้นมาทันที “แต่เธอคงคิดว่าฉันงมงายกับเรื่องที่ไม่มีแก่นสารซะมากกว่า”
    “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ซาร่าแย้ง นึกถึงความสนใจของจูลี่ที่มีต่อคริสตัล ลางสังหรณ์ และอดีตชาติ “บางทีเรื่องพวกนี้มันคงใหม่เกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจได้น่ะ…”
    “คงอย่างนั้นมั้ง” จูลี่เห็นพ้องด้วยอย่างอารมณ์ดี “จะว่าไปฉันก็ไม่ได้เชื่อเรื่องคำสาปอะไรนั่นเหมือนกันนั่นแหละ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องแสดงว่าไม่เชื่อมันแบบเอาจริงเอาจังนัก ใครจะไปรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อย่างเรื่องอดีตของโรงละครนี่ก็ยังไม่หมดหรอกนะ”
    “จริงน่ะ” ซาร่าอุทาน

     

    จากคุณ : ประไพ การุณวงศ์ - [ 10 ก.ค. 46 12:39:54 A:202.129.57.3 X: ]