เพลิงพระคงคา(บทที่๖)


    บทที่๕..
    URL : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2278081/W2278081.html
    ....

    บทที่๖….
      …ยามอุษาโยคเยี่ยมฟ้าสว่างรองเรือง..เเทนเเสงดาวเดียรดาษเมื่อค่อนรุ่ง  ไอหมอกละลายเมื่อต้องเเดดอรุณอ่อน  เป็นน้ำค้างใสพราวราวรุ้งพร่างพรายเหนือพื้นพรมหญ้า…พริ้วไหว

          ผิวกระเบื้องเคลือบเข้มสะท้อนเเสงทิวาวาววับ รองรับด้วยขื่อไม้สลักลายพวงมาลาร้อยรัด
    บนบานบัญชรกว้างที่กั้นด้วยม่านไหมบางเบา..ซึ่งถูกรวบออกไว้ด้านข้างจึงเผยให้เห็นวงพักตร์

    ผู้ประมุขเเห่งคฤหาสถ์..ยังอิงองค์บนอาสนะนุ่ม ณ ที่นั้น

         องค์อุปราชสุเมธะ  ทอดพระเนตรนอกบานบัญชร… ยอดทองอร่ามเรืองเเห่งราชมณเฑียรมคธราชเสียดยอดเทียมเมฆา..โดดเด่นท่ามกลางหมู่เรือนเคหาสถ์ น้อยใหญ่ ริมสายธาราคงคาซึ่งพรายเเสงสีนวลอรุณราวกับวารีเเห่งสรวงสวรรค์..

         สุธารส หอมละมุนในถ้วยใสใบบาง..ถูกยกขึ้นจรดโอษฐ์ ไอร้อนเป็นควันจางๆลอยกรุ่นหอม..ดวงเนตรเรียวเล็กปานนาคา..ทอดยาวเหนือยอดทองพราวพราย ขณะที่ในหทัยครุ่นคำนึง

         "มิช้าหรอก..บัลลังก์มคธจักต้องเป็นของข้า..หาใช่จันทรคุปต์ผู้อ่อนเเอ"
    กระเเสคำนึงหมายมาด..มุ่งมั่น ..หากเป็นไปตามการที่ดำริไว้…จักต้องสมประสงค์

    "จักให้พ่อลูกผิดใจกัน..ยากนักหรือ"

      ม่านบางกั้นบานพระทวารปรากฏเงาคนวูบไหว..ร่างนั้นทรุดตัวลงหมอบกรานก่อนที่จะเอ่ยทูลชัดคำ

    "ทูลองค์อุปราชา บัดนี้ราชทูติเเห่งวัชชี.เเละบริวาร.ได้มารอขอเข้าเฝ้าที่โถงชั้นล่างเเล้วพระเจ้าข้า"

      "มาด้วยเรื่องอันใด" หัตถ์ที่ประคองถ้วยบางค่อยๆวางลงบนอาสนะนุ่ม  ขนงหงอกประปรายขดขมวดสนเท่ห์หทัย

       หากมิมีเสียงทูลตอบจากบุรุษที่หมอบก้มอยู่หลังม่านบางเบา..องค์อุปราชจึงทรงทราบโดยพลัน
    ว่าผู้มาเยือนจากวิสาลีย่อมมีกิจสำคัญยิ่งถึงขนาดมิให้ผู้ใดล่วงรู้…เเล้วใยเล่าจักมิทรงสนพระทัย

    "..จงลงไปเรียนท่านทูติ..ว่าข้าจักลงไปพบ   "

      *********************

        โถงกว้างตลบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานหอมในเตาน้ำมันที่เเอบไว้หลังฉากผ้ามุมห้อง ..บานหน้าต่างเเง้มเปิดพับไว้เพียงครึ่งพอให้เเสงอุษาขจัดความอับทึบได้บ้าง เเดดอุ่นฉายฉาบบนผิวม่านบางที่เเขวนระโยงระยางพริ้วชายไหวระหว่างเสาสูงกลมกลึง ..บนอาสนะบุนวมนุ่มชายชราวัยค่อนคนผู้หนึ่ง โพกพันศรีษะที่ขมวดมุ่นเป็นมวยด้วยไหมงามชั้นดี เช่นเดียวกับอาภรณ์สีเข้มสวมมาบ่งถึงฐานันดรเเห่งผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

    "ท่านทูติ…" บุรุษผู้พึ่งมาลงมาจากชั้นบนทรุดกายลงก่อนที่จะเอ่ยเรียนอย่างสำรวม
    "องค์อุปราช…เสด็จมาเเล้วหรือ"

     อาคันตุกะผู้มาเยือนกล่าวถาม ดวงหน้านิ่งมีริ้วรอยประปรายตามอายุวัยยังเรียบเฉยจึงยากที่จะคาดเดาว่าอารมณ์อยู่ในภาวะเช่นไร

     …สายตาที่ยังมิฝ้าฟางไปด้วยความชราลอบทอดเหลือบเเลไปยังบริวารสองคนที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีหน้าที่ดูเเลหีบเหล็กใบย่อมที่วางอยู่ระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน

    "เหตุใด..ใยองค์ลิจฉวีราชเเห่งวัชชี  ถึงทรงประสงค์เลือกบุรุษผู้นี้เล่า…"

    เครายาวดำมันถูกลูบเบาๆด้วยฝ่ามือนุ่มเนียนอย่างผู้กำเนิดในวรรณะสูงอันมิเคยต้องงานหนักเช่นชนทั่วไป…ราวกับครุ่นคำนึงสงสัยครามครัน

    …….
      เพียงชั่วครู่ม่านบางที่กั้นบานทวารโถงกว้างก็ถูกรวบออกด้วยมือของนางทาสีรับใช้ทั้งสองนางที่คอยหมอบอยู่ริมทาง ทำให้ผู้ที่มารออยู่ด้านในทราบโดยทันทีถึงการเสด็จมาของประมุขเเห่งเคหาสถ์ ในพัสตราภรณ์สีเเดงสดปักเลื่อมไหมงดงาม สมฐานะมคธอุปราชา เสด็จย่างพระบาทอย่างมิรีบร้อน

    "สวัสติ.. ยินดีที่ได้พบพระองค์….สุเมธะอุปราช" ผู้มาเยือนค้อมเศียรลงประณตน้อม

    "เช่นกัน ท่านทูติเเห่งวัชชี"
      ทรงตรัสพลางทรุดองค์ลงประทับบนอาสนะเคียงกัน รินชาร้อนลงในถ้วยใสใบย่อมส่งให้
    อคันตุกะผู้มาเยือนอย่างนุ่มนวล
       
    "ขอบพระทัย…" ราชทูติค่อยๆจิบชากรุ่น…เเล้วจึงเอ่ยชม

    "ชารสดีนัก…ใช่ชาจากทางใต้หรือไม่"

    "ถูกต้องเเล้ว…ใบชาจากทมิฬประเทศ รสเข้มข้นทว่ามิค่อยหอมนัก…"
    องค์สุเมธะตรัสตอบเรียบๆ อาคันตุกะกลางคนจึงเอ่ยเเทรก
    "ถ้าทรงโปรดใบชารสละมุน..ระเหยหอม..ต้องใบชาจากวิสาลี เอกนครเเห่งวัชชี"

    "ข้าว่า...ชาจากที่ใดในภารตทวีปหากใช้น้ำต้มจากสายมหานทีคงคา…ก็ย่อมมีรสดีเสมอ"

     องค์สุเมธะอุปราชตรัสพลางเเย้มสรวลเบิกบาน…หากดวงเนตรเรียวลุ่มลึกยากอ่านความ
    ในพระทัย  คำตรัสเเต่ละคำจึงล้วนละม้ายกับมีความหมายโดยนัยเร้นแฝง…

    เเต่ราชทูติมากวัยพอคาดเดาออกได้พอรางๆ…จึ่งรู้ควรเจรจาต่อไปเช่นไร

    "จริงของพระองค์…น้ำสะอาดบริสุทธิ์ย่อมเป็นสิ่งสำคัญอันทำให้ชารสดีได้…หากกล่าวถึงคงคาจักว่าไปแล้ว..มคธ เเละ วัชชี ก็คล้ายกับเครือญาติใกล้ชิดกัน …คงคาวารีมีกำเนิดจากหิมาลัยเพียงธารเล็กๆในวัชชี.
      .เเต่หากไหลรวมกับยมุนาเป็นมหานทีอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ เขตมคธประเทศ ณ เเคว้นวรานสี…เปรียบไป มคธ ก็ประดุจดั่งพี่ใหญ่ผู้อารีที่คอยคุ้มครองน้องน้อย เช่น วัชชี"

      ผู้ประมุขเเห่งคฤหาสถ์วางถ้วยเคลือบลงบนพานทองเหลืองใกล้องค์ พลางตรัสตอบบุรุษสูงวัยอย่างนุ่มนวล…ตามมารยาทอันควรของเจ้าเรือนทั้งที่ในพระทัยคิดครุ่น
    "มันต้องการสิ่งไร…จึงได้ยกยอสรรเสริญกันเช่นนี้"

    "โอ..ท่านทูติหากท่านไปทูลความเหล่านี้เบื้องพระพักตร์องค์มคธปติ…วาสุเทวะ พระองค์จักต้องโปรดเเละพระราชทานรางวัลเเก่ท่านเป็นเเน่…"

    "ข้าไปเข้าเฝ้าตั้งเเต่เมื่อวานเเล้ว…ตอนถวายราชบรรณาการ..องค์วาสุเทวะช่างงามสง่ายิ่งนัก"

    "อย่างนั้นหรือ…"
    สุเมธะอุปราชตรัสรับคำอย่างมิใคร่เชื่อนัก  .. พลางยกหัตถ์ไล้ลูบมัสสุลงน้ำมันเรียบโค้ง
    ตั้งพระทัยรอฟังคำทูลต่อจากผู้มาเยือน..

    วาจาทูติ….ย่อมปราถนาให้พึงใจเจ้าบ้านเสมอ

    "องศ์ราชะเเห่งมคธ…ท่าจะโปรดสตรี"
    ผู้กล่าวละม้ายเอ่ยขึ้นลอยๆอย่างไม่สนใจคำตรัสตอบขององค์อุปราชที่ประทับเคียงเสมอกัน

    "ท่านทูติ…จักมีบุรุษที่ใดในโลกนี้ที่มิได้ชมชอบสตรีงามเล่า"

    "ประการนั้นข้าเเจ้งใจดี..ท่านอุปราช..หากเเต่ในคราที่ข้าเข้าเฝ้าพร้อมด้วยนางบาทบริจาริกาทั้งร้อยนาง…ข้ารู้สึกได้ในสายเนตรที่ทรงทอดลงมา..มิใช่เพียงชมชอบ..ทว่ามันร้อนรุ่มยิ่งกว่านั้นราวกับทรงต้องมนต์เเห่งกามะ"

          ผู้ประมุขเเห่งคฤหาสถ์ปั้นสีพระพักตร์คล้ายเเปลกพระทัยเพียงเล็กน้อยกึ่งปฏิเสธ…ยามนี้ทรงทราบเเล้วจุดประสงค์สำคัญในการเจรจาคือเรื่องอันใด…หากทรงทายมิผิดน่าจักใช่เรื่ององค์มคธปติ..วาสุเทวะ..

    "โอ..มิจริงหรอกท่าน..องค์ราชเทวะผู้ทรงธรรม์มิได้ทรงเป็นเช่นนั้น"

     "องค์อุปราชา……"
    อาคันตุกะสูงวัยเอ่ยทูลลากเสียงยาวประหนึ่งในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความอารียิ่ง
    "อย่าได้ทรงปิดข้าเลย…ท่านย่อมรู้ดีมิใช่หรือ ว่าพระเชษฐาของพระองค์ทรงเป็นอย่างไร…จักมีประโยชน์ใดเล่ากับการปฏิเสธความจริงที่ชาวมคธทั้งหลายต่างล่วงรู้"

       สุเมธะอุปราชลอบซ่อนรอยสรวลไว้ในสีพระพักตร์ครึมเคร่งอย่างเเนบเนียน..พลางตรัสถามด้วยสุรเสียงเรียบห้วนสั้นราวกับจะเค้นความ จริงจากบุรุษผู้มาเยือนตรงหน้า

    "ที่ท่านมาขอเข้าเฝ้าข้าเเต่เช้า  เพียงเพราะด้วยเรื่องพระนิสัยของเสด็จพี่เท่านั้นหรือ"

    "อย่าได้ทรงกริ้ว…เหตุที่ข้าเเละบริวารจักต้องมาเยือนเคหาสถ์ของพระองค์ย่อมมีกิจสำคัญเเน่นอน…"
        บุรุษสูงวัยเอ่ยทูลตอบอย่างใจเย็น ลอบปรายสายตาไปยังองค์อุปราชาคู่สนทนาที่ยังปั้นพระพักตร์บึ้งอย่างมิพอพระทัย..

        " ทรงตรองดูเถิด..ราชะคือหัวใจเเห่งอณาจักร..หากเเคว้นใดมีกษัตริย์ผู้ทรงปรีชา บ้านเมืองนั้นย่อมมีเเต่ความผาสุกร่มเย็น…เเต่ถ้านครใดมีกษัตริย์ผู้เสื่อมในธรรม์ นครนั้นย่อมจักถึงกาลวิบัติในอีกมิช้า

      …ท่านอุปราชา..องค์วาสุเทวะทรงประพฤติองค์เช่นนี้..จักให้มคธหลีกเลี่ยงการดิ่งสู่หุบเหวเเห่งความเสื่อมทรามได้อย่างไร"

       "เเล้วเรื่องภายในมคธ เกี่ยวอันใดกับวัชชี…"
       ผู้ตรัสขึ้นเสียงสูงละม้ายเยาะหยันอย่างมิพอพระทัย…ก่อนที่จะผุดองค์เสด็จไปอีกด้านของบานบัญชรกว้าง

     "มคธ เเละ วัชชี ต่างประหนึ่งบ้านพี่เมืองน้องโดยถือมารดาเดียวกันคือ พระเเม่คงคาเทวี
    เเม้นผู้พี่ประสบภัย…เเล้วใยผู้น้องจักมิช่วยเหลือ"

    "เเล้วอนุชาจักช่วยประการใดได้เล่า…" ทรงปลายสายเนตรไปด้านหลัง ซึ่งราชทูติเเห่งวัชชีกำลังเดินเข้ามาใกล้วรองค์


    "  ผู้ที่จักเป็นกษัตริยะราช ย่อมถูกลิขิตเเล้วโดยสวรรค์…หากราชะองค์ใดทรงมิได้ทรงธรรม์อันควร…เมื่อนั้นเบื้องบนย่อมลิขิตให้หาผู้เหมาะสมกว่าเเทนที่….ซึ่งข้าเล็งเห็นเเล้วว่า องค์สุเมธะอุปราช ควรเเก่บัลลังก์ทองเเห่งมคธราชยิ่งกว่าผู้อื่นใดในเหล่ากษัตริยะราช…"

     ผู้ทูลเอ่ยกระซิบเเผ่วเบาให้ได้ยินเพียงองค์อุปราชา …ที่ผินพระพักตร์ออกไปนอกบานบัญชรทอดพระเนตรไปยังเบื้องล่าง…ครันเมื่อทรงสดับความจบจึงทรงเเสร้งสรวลลั่น

    "โอ..นี่ท่านจะยุให้ข้าก่อกบฏกับพี่ชายตนเอง เชียวหรือนี่…ท่านทูติ  ข้าผู้เป็นเพียงน้องมิควรเเก่ราชบัลลังก์มคธ เท่า ขัตติยะราชกุมารจันทรคุปต์  องค์รัชทายาทผู้สืบสายโลหิตจากองค์กษัตริย์โดยตรงนั่นหรอก…

      ในแผ่นดินมคธ..อุปราชรองๆเช่นข้าเเทบไม่มีอำนาจบารมีอันใดเลยเสียด้วยซ้ำเเล้วจักขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร"

       เจ้าเเห่งเคหาสถ์ตรัสปดบ่ายเบี่ยงอย่างเจียมองค์…ทั้งที่ในหทัยทรงทราบดี อำนาจการทหารเกือบทั้งหมดในนครราชคฤห์ยังอยู่ในหัตถ์ของพระองค์.

      .กบฎ จักทำเมื่อใดก็ย่อมได้เเต่หากยังมิถึงกาลนั้นทรงต้องขจัดเสี้ยนหนามสำคัญเช่น สุริยะราเชนทร์ออกไปเสียก่อน..หากสิ้นคันธาระปติ บัลลังก์เเห่งองค์จันทรคุปต์ย่อมจักคลอนเเคลน

    "หากจักให้จันทรคุปต์ขึ้นครองบัลลังก์…ก็คงมิต่างอันใดเลยกับพระชนกนาถผู้ลุ่มหลงอยู่ในนารี
    เท่าที่ข้าทราบ..จันทรคุปต์ราชโอรส ชันษาเพียงสิบหกปีปลาย ทั้งยังไม่รู้การบ้านการเมืองเเละศาสตราอาวุธ…

    จักคู่ควรครองบัลลังก์ของผู้ยิ่งใหญ่เเห่งภารตทวีปได้หรือ"

     ราชทูตินิ่งไปอึดใจ พลางสังเกตสีพระพักตร์ขององค์อุปราชที่ยังเรียบเฉย …จึงทูลต่อพร้อมรอยยิ้มที่เเฝงความนัยประหลาดซ่อนเร้น

    "เเม้นถ้าทรงปราถนาจักครองบัลลังก์มคธ…มิยากหรอกหากทรงเปิดโอกาสให้องค์ลิจฉวีราชช่วยเหลือ"

    "วัชชี เเคว้นเล็กๆอย่างนั้นจักทำประการใดได้…"

    อาคันตุกะเเห่งวัชชี กวักมือเรียกบริวารทั้งสองให้ถือหีบเหล็กที่คลุมผ้าไว้มิดชิด ค่อยวางออกเบื้องพระพักตร์เเห่งองค์อุปราช…ทันทีที่หีบถูกเปิดออกอย่างช้าๆของที่อยู่ข้างในถึงกับทำให้เจ้าเรือนต้องรีบซ่อนอาการตื่นเต้นตกพระทัยไว้อย่างมิดชิด

    "ทองเเท่งเต็มหีบนี่…คือของกำนัลจากองค์ลิจฉวีราชที่ทรงประทานให้เเก่ท่านเพื่อเเสดงไมตรีจิตของพระองค์…หากองค์อุปราชารับข้อเสนอของวัชชีราชจักทรงประทานโภคทรัพย์เเก่ท่านมากกว่านี้อีกหลายเท่าทวี…ทรงเห็นหรือยังองค์สุเมธะอุปราชวัชชีมิใช่เเคว้นเล็กๆยากจนเเนเเค้นดังที่ท่านคิด"

    "เเล้วองค์ลิจฉวีราชเเห่งวัชชีมีพระประสงค์เช่นไร…"

    "ทรงประสงค์จักให้พระองค์ช่วยนำข่าวความเคลื่อนไหวทางด้านความเมืองภายในมคธเเจ้งทูลให้พระองค์ทราบเป็นการลับ…เเละข้าจะส่งผู้นำสาน์สมาทุกเดือน

     …ครั้นเมื่อถึงกาลอันควรองค์ลิจฉวีราชจักกรีฑาทัพยาตราสู่ราชคฤห์เเละยกองค์อุปราชสุเมธะเสวยราชย์ ณ บัลลังก์มคธเเทนที่องค์วาสุเทวะผู้ไร้ความสามารถ"

    "ในฐานะเมืองบริวารเเห่งวัชชีหรือ"
    องค์สุเมธะอุปราชตรัสถาม สายเนตรทอดจับบนใบหน้าของอาคันตุกะมากวัย
    "มิใช่..วัชชี กับ มคธ จักอยู่ร่วมกันประดุจบ้านพี่เมืองน้อง..เสมอเท่าเทียมกัน"

    จากคุณ : อชันฏา - [ 10 ก.ค. 46 23:36:03 A:203.107.210.67 X: ]