+:+:+: Betty Ann +:+:+:

    ก่อนจะตัดสินว่าเขาเป็นคนเช่นใด โปรดลองเปิดใจรักเขาซะก่อน
    แม่ชีเทเรซ่า


    ความผิดพลาด

    ไม่ว่าใครต่างก็เคยทำผิดกันทั้งนั้น เวลาที่เขียนผิด เราก็แค่ใช้ยางลบลบมันทิ้งไป พอปัดขี้ยางลบออก…สิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นแค่รอยเปื้อนเล็กๆ ที่มองแทบไม่เห็น

    แต่ความผิดพลาดบางอย่างลบทิ้งไปไม่ได้…ไม่ว่าเราจะอายุมากขึ้นแค่ไหน

    ฉันเรียนรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ตอนเรียนเกรดเก้า มันเป็นปีที่ฉันเริ่มเรียนเรื่องประโยคความซ้อน พึ่งจะได้บัตรอนุญาตสอนหนังสือ ได้สวมชั้นในแบบไร้สายตัวแรก และได้แต่งบทกลอนซึ่งไม่มีวันจะอ่านมันให้พ่อกับแม่ฟังเป็นอันขาด   แต่บทเรียนที่สำคัญและยากที่สุดคือ…บทเรียนที่ว่า ”ไม่มียางลบในชีวิตจริง” ฉันจะทำให้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว…ไม่เคยเกิดขึ้นไม่ได้    ไม่!… แม้แต่ในความคิดของตัวเอง ไม่มียางลบใดลบมันทิ้งได้  ตอนอายุ14ฉันเคยหวังว่าจะทำได้  แต่จนกระทั่งวันนี้ฉันก็ยังได้แค่หวัง…หวังว่าจะสามารถลบหรือลืมสิ่งเลวร้ายที่ตัวเองเคยทำลงไป… ฉันหมายถึงสิ่งที่ ’พวกเรา’ เคยทำลงไปกับเบตตี แอนน์

    เบตตี แอนน์ ย้ายโรงเรียนมาจาก คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สู่ชั้นเรียนของพวกเราที่นี้…ในริชมอนด์ รัฐ-เวอร์จิเนีย ที่ซึ่ง คลีฟแลนด์ ไกลเหมือนอยู่บนดาวดวงอื่น

    “โอ้  ไง โอ้วว….” มาร์กี้กระซิบเบาๆ อย่างล้อเลียน ขณะที่ มิซจอห์นสัน กำลังแนะนำ เบตตี แอนน์ ในชั่วโมงโฮมรูมวันแรกของเธอ มาร์กีอาจจะเป็นพวกขี้คุยอยู่บ้าง…แต่ก็ไม่มีใครถือมันเป็นจริงเป็นจังเวลาที่เธอพยายามจะโวถึงความเป็นคุณหนูจากตระกูลสูงส่ง

    ทุกๆ บ่ายหลังอาหารมื้อเที่ยง มาร์กี้จะเล่าถึงการท่องเที่ยวบนเรือสำราญลำใหญ่ ไม่ก็บรรดาเรื่องซุบซิบในนิวยอร์ค เธอเล่าได้เป็นฉากๆ  โดยมีพวกเรานั่งเลียครีมโอรีโอ้ ฟังเธอโม้บนบันไดหน้าตึก บางครั้งพวกเราก็จะขอเศษเหรียญจากเธอเพื่อจะไปกด ‘ดอกเตอร์ เปปเปอร์’ จากตู้ขายน้ำอัตโนมัติที่โรงยิม มาร์กีจะเรียกร้องความสนใจด้วยการขึ้นเสียงสูงปรี๊ด ก่อนจะเริ่มอวดถึงบรรดานางแบบโวคที่เธอรู้จัก…วิธีที่พวกนั้นหมักผมด้วยเบียร์  ไม่ก็เรื่องที่พ่อแม่ของเธอไม่ยอมเป็นอันขาดหากเธอคิดจะแต่งงานกับใครก็ตามที่สามารถทานอาหารทั้งมื้อได้ด้วยส้อมสลัดเพียงคันเดียว
    ความจริงแล้ว มาร์กีก็ไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองมากไปกว่าพวกเราที่เหลือ เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา…ชีวิตของเธอก็ตื่นเต้นเท่าๆ กับการเทียบตัวเลขไปเป็นระบบเมตริค…ก็แค่นั้น แต่ทุกคนรู้จักมาร์กีเช่นเดียวกับที่เราต่างรู้จักกันทั้งหมด…ยกเว้นเบตตี แอนน์  พวกเราส่วนใหญ่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล

    แล้วเบตตี แอนน์ก็มา  เด็กผู้หญิงกับกระโปรงสีฟ้าเฉิ่มๆ แถมยังม้วนถุงเท้าเป็นก้อน นอกจากนั้น ยังมีความคิดประหลาดๆ

    ถ้ามีแค่มาร์กีเท่านั้นที่แกล้งเบตตี แอนน์… ทุกอย่างคงจะไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เบตตี แอนน์อาจจะรับมือกับมันไหว แต่นี่…พวกเราทั้งหมดถือโอกาสร่วมผสมโรงด้วย

    ฉันคิดว่าเรื่องที่ทำให้พวกเราเริ่มมีอคติกับเบตตี แอนน์เริ่มต้นขึ้นตอนที่เธอสามารถเขียนเรียงความได้ดีกว่าซูซาน เฮนเดอสัน  ทั้งๆ ที่ซูซานคือนักเขียนประจำชั้น…เธอคือความภูมิใจของพวกเราทุกคน  เรื่องประจำสัปดาห์ของซูซานน่าสนใจเสมอ ทุกๆ วันศุกร์ มิซมูนจะเลือกอ่านเรียงความของซูซานเป็นประจำ ซูซานจะนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนโดยมีดินสอด้ามหนึ่งเหน็บอยู่หลังหู แล้วมองไปรอบๆ ห้องราวกับเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเราเอาไปอวดได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเพื่อนเธอ

    ศุกร์แรกหลังจากการย้ายมาของ เบตตี แอนน์…ซูซานนั่งพิงพนักเก้าอี้เหมือนทุกที มือหนึ่งหมุนดินสอเล่นอย่างสบายอกสบายใจ รอเวลาที่พวกเราทุกคนจะได้ฟังเรียงความที่ดีที่สุดในชั้น แน่นอน - - -เรียงความของเธอ

    แต่วันนี้มันไม่ใช่!! มันกลายเป็นเรียงความของเบตตี แอนน์ เธอเขียนเกี่ยวกับนักกวีผิวดำที่ชื่อว่า     แลงสตัน ฮิวจ์ และการที่เขากลายมาเป็นกระบอกเสียงให้กับคนผิวสี  ในขณะที่เรียงความของซูซานส่วนใหญ่ไม่พ้นงานแสดงม้า หรืองานเปิดตัว

    ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อของแลงสตัน ฮิวจ์ ยิ่งกว่านั้น นี้คือโรงเรียนเอกชนที่มีแต่นักเรียนผิวขาว แม้แต่  มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ยังถูกหยามเหยียดโดยผู้ใหญ่หลายคนที่เรารู้จักด้วยซ้ำไป การปล่อยให้ เบตตี แอนน์ พูดถึงแลงสตัน ฮิวจ์หรือคนผิวดำ รวมถึงคำพรรณนาอย่าง “แม่หนูน้อยเมเปิ้ลแสนหวาน” - - ทั้งหมดคือชนวนระเบิดสำหรับเรื่องทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นตามมา

    ในเรียงความของซูซาน “โทรศัพท์ทะเลาะกันได้” และ “สายรุ้งระบายสีฟากฟ้า”… แต่ เบตตี แอนน์ เขียนถึงสงครามกลางเมืองในสเปน ชาวยิวผิวสีในกรุงฮาเร็ม หรือแลงสตัน ฮิวจ์ จากคลีฟแลนด์ …น่าจะเดาได้

    มิซ จอห์นสัน กำลังอ่านงานของ เบตตี แอนน์ ถึงตอนที่ แลงสตัน ฮิวจ์ แต่งกลอนเกี่ยวกับความชื่นชอบแตงโมซึ่งมากจนกระทั่งหากมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระราชินีแห่งประเทศอังกฤษ เขาจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะถวายให้พระนางได้ทรงลองซักชิ้น
    ตอนนั้นเองที่ แอคเนส มาเทอร์สัน หันมาสบตากับฉันพอดี (ไม่ก็เป็นฉันเองที่เป็นฝ่ายหันไปสบตาเธอ) แล้วเราสองคนก็เริ่มล้อเลียนด้วยการแสดงท่าทางของพระราชินีขณะทานแตงโม จากนั้น ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เรียงความส่วนที่เหลือไม่เคยถูกอ่าน …

    พวกเราทั้งหมด -ยกเว้นเบตตี แอนน์- ถูกกักให้อยู่หลังโรงเรียนเลิกรวมถึงต้องถูกระดานดำให้สะอาด มื้อเที่ยงอีกวัน เบตตี แอนน์พบกระดาษชิ้นเล็กๆ ใต้ใบผักกาดในจานเขียนว่า “พวกเราขอโทษ” แต่ในโรงอาหารเรื่องแตงโมยังถูกล้อเลียนต่อไป

    นับตั้งแต่วันนั้น เบตตี แอนน์กลายเป็นตัวตลกประจำชั้น ทุกอย่างที่เธอใส่ ทุกอย่างที่เธอพูด ทุกอย่างที่เธอกิน - -ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันกลายเป็นหัวข้อให้เราได้เยาะเย้ยถากถางเสมอๆ สุดท้ายก็กลายเป็นการประชันขันแข่งว่าใครจะแกล้งเธอได้มากกว่ากัน ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่นิด ความผิดเดียวในเรื่องนี้คือความโง่เขลาของพวกเรา…เท่านั้นเอง

    เบตตี แอนน์ เริ่มป่วยบ่อยขึ้น มีครั้งหนึ่งเธอขาดเรียนไปทั้งสัปดาห์…ถึงอย่างนั้นเรื่องตลกเกี่ยวกับเธอก็หาได้หยุดตามไปด้วยไม่… เบตตี้ แอนน์จากดาวดวงอื่น เธอคือคนต่างถิ่น ตัวประหลาด ยัยซื่อบื้อประจำชั้น!

    *** *** ***

    วันหนึ่ง ฉันต้องทำงานกลุ่มคู่กับ เบตตี แอนน์ ฉันเลือกไม่ได้…เพราะวันที่เขาจับคู่กัน ฉันต้องไปแข่งว่ายน้ำให้โรงเรียนที่เมืองอื่น ฉันก็เลยถูกจับคู่กับเธอไปโดยปริยาย หลายคนแซว..แล้วฉันก็ร่วมหัวเราะไปกับพวกเขา จนกระทั่งวันก่อนครบกำหนดส่งงานหนึ่งวัน…ฉันต้องไปทำงานที่บ้านของเธอหลังเลิกเรียน

    แม่ของ เบตตี แอนน์ เตรียมคุกกี้ไว้และท่านก็ผลุบเข้ามาในห้องบ่อยๆ เพื่อดูว่าฉันอยากได้โค้กหรืออย่างอื่นเพิ่มอีกไหม ท่านบอกว่า ฉันเป็นเพื่อนของ เบตตี แอนน์ เพียงคนเดียวที่มาที่บ้าน และยังบอกอีกว่าท่านดีใจแค่ไหนที่ได้เจอฉัน

    กริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ตอนฉันอยู่ที่นั่น…มันเป็นสายของฉัน  ตอนที่รับโทรศัพท์ แม่ของ เบตตี แอนน์ ยืนอยู่ในห้องครัว เสียงหัวเราะคิกคักของมาร์กี้ดังมาตามสาย

    “ไงเด็กดี เธอได้กินลูกกวาดแสนหวานรสเมเปิลรึยัง อ้อ อย่าลืมทวงแตงโมหวานฉ่ำด้วยนะ...” เธอรอให้ฉันหัวเราะรับมุขตลกปัญญาอ่อนนั่น

    ฉันมองดูแม่ของ เบตตี แอนน์ ซึ่งกำลังยืนหันหลังให้ฉันอยู่ในห้องครัว ท่านแกล้งทำเป็นไม่ได้ฟัง แต่ฉันรู้สึกว่าท่านได้ยินทุกๆ อย่าง ดังนั้น ฉันรีบวางสายทันที...คงเป็นตอนนั้นที่ฉันเริ่มตระหนักและรู้ตัวถึงสิ่งร้ายกาจที่ฉันและเพื่อนๆ ได้ทำลงไป
    “ทำไมพวกเธอถึงไม่ชอบ เบตตี แอนน์ล่ะ…รู้มั้ย เธอชอบหนูนะ…”

    ไม่เคยมีใครถามคำถามแบบนี้มาก่อน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าขนาดไหน

    นับตั้งแต่วันนั้น ความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจก็หลั่งไหล่สู่ เบตตี แอนน์ อย่างท่วมท้นแต่ก็ยังสายเกินไป… พ่อแม่เธอจัดการย้ายเธอไปเรียนที่อื่น ต่อมา เราก็ได้ข่าวว่าเธอเครียดจนเป็นประสาท

    หลายปีจากนั้น…ครั้งหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านจากวิทยาลัย ฉันบังเอิญเห็น เบตตี แอนน์ อยู่ในคลินิก เธอจำฉันไม่ได้…

    *** *** ***

    ท่อนไม้ และก้อนหินทำร้ายได้แค่ร่างกาย…แต่ถ้อยคำทำลายลึกถึงวิญญาณ  เราปลอบใจกันและกันว่าการที่ใครคนหนึ่งจะถึงกับเป็นประสาทคงไม่ใช่เพราะเรื่องแค่นี้…อาจจะจริง อาจจะไม่

    แต่ที่แน่ๆ  เราลบความผิดนั้นทิ้งไปไม่ได้…

    ===============================
    แปลจาก Betty Ann โดย Ina Hughs
    Chicken Soup for the Teenage Soul
    ===============================

    จากคุณ : นารูมิ - [ วันเข้าพรรษา 11:48:57 ]