+;+:+ ไม่ปกติ….ตรงที่หัวใจ +:+:+:

    รถไฟฟ้ารอบห้าโมงเย็นคนแน่นเหมือนเคย แต่ก็ยังดีกว่าต้องลงไปผจญกับรถติดข้างล่างน่า…ฉันปลอบใจตัวเองเหมือนที่ทำมาทุกๆ เย็น นี่ไงชีวิต ‘ตื่น-ทำงาน-หลับ’

    พอจวนเจียนจะถึงสถานีปลายทาง…ฉันก็สามารถเบียดจนตัวเองเข้าไปอยู่ข้างประตูซึ่งเป็นมุมประจำจนได้ รถแล่นช้าลงเรื่อยๆ ขณะเตรียมจอดที่สถานีสยามฯ มองลอดช่องกระจกเห็นผู้คนพลุกพล่านข้างนอกนั่น ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมงเร่งหรือไม่เร่งก็ตาม….ที่นี้ก็คนเยอะตลอดเวลา

    เพียะ !!!

    ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงลอดเข้ามาในรถไฟฟ้า แต่ดูจากผู้คนข้างนอกที่หันไปมองต้นเสียงกันเป็นตาเดียว ฉันว่าก็คงดังพอดู

    ‘อย่างกับในหนัง…’  หัวใจฉันเต้นตึกตัก ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักนิด รถแล่นผ่านคู่รักที่ทะเลาะกันไปอย่างช้าๆ ผู้หญิงเดินกระแทกส้นหนีไปแล้วปล่อยให้ ‘คนถูกตบหน้า’ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คนส่วนใหญ่ยังมองดูสองคนนั่นไม่วางตา ก็สวยก็หล่อทั้งคู่ ถ้ามีกล้องแถวนั้นฉันก็ว่าเขาเล่นละครกันอยู่

    รถจอดนิ่งสนิท

    คนแย่งกันเข้าแย่งกันออกเหมือนเคย ฉันแทบจะไม่ต้องเดินเองด้วยซ้ำ ก็แค่ปล่อยให้คลื่นมนุษย์ช่วยดันออกมาจากรถ ใจยังไม่หายตื่นเต้นกับภาพที่เพิ่งเห็น จะว่าไปฉันทันเห็น ‘คนสวยนั้น’ อยู่แวบๆ ตอนเธอกำลังเดินเข้าประตูรถ ฉันว่าตาเธอแดงนิดๆ  บางทีเธออาจจะไปร้องไห้บนรถก็ได้

    ขณะกำลังคิดจินตนาการเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่อยเปื่อย ‘เขาทะเลาะกันเรื่องอะไร? เธอจะร้องไห้ไหมหนอ? …’  หูก็พลันได้ยินใครบางคนร้องเรียก

    “เฮ้…” ขืนเดินอีกก้าวเดียวฉันชนเขาแน่นอน - - อีตาพระเอกนั่นเอง พอมาเห็นใกล้ๆ ฉันถึงจำเขาได้ …โธ่ นึกว่าใคร… สุดหล่อประจำรุ่นนี้เอง

    “กริชเหรอ….?” ฉันแกล้งทำงง ตีหน้าไม่แน่ใจแก้เก้อ ทำไมจะจำไม่ได้เล่า…? พ่อคุณออกจะป๊อปปูล่าร์ขนาดนั้นตอนเรียนมหาวิทยาลัย  ตอนนี้ก็ยัง ’ดูดี’ อยู่แม้จะสวมแค่เสื้อยืดเรียบๆ กับกางเกงยีนส์ก็ตาม ที่จริงเขาแทบไม่เปลี่ยนจากสมัยเรียนเลยแม้แต่น้อย …..ยังดู ‘ขบถแอบเซอ’ เหมือนเดิม… ในขณะที่เพื่อนผู้ชายคนอื่นเริ่มปล่อยตัวอ้วนเบอะ…ก็ยังดีที่ยังไม่มีใครถึงกับหัวล้าน

    “เธอชื่ออะไรนะ?” นั่นไง…ว่าแล้วเชียวต้องจำชื่อฉันไม่ได้ ก็ควรอยู่หรอก…คุยกันก็นับครั้งได้ ฉันมันเด็กเรียนส่วนเขามันเด็กเลว เราอยู่กันคนละสังคม บนโลกคนละใบ

    “ว่าน…ว่านม่วงไง”

    “อ้อ !!” เขาพยักหน้ารับรู้เหมือนว่าจำได้แล้ว

    เอาน่า…ถึงจำชื่อไม่ได้เขาก็จำหน้าเราได้ - - ฉันเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองเต็มที่

    “โทษเหอะนะ… มีเงินให้ยืมมั้ย แบบว่า กระเป๋าตังค์เราอยู่ที่…” เขากลอกตาแล้วแบะปากเหมือนไม่อยากจะบอก  ฉันก็เลยสรุปเอาเองว่าสงกะสัยจะอยู่ที่แม่นางเอกคนสวยนั้น

    “ได้สิ” ฉันเลื่อนกระเป๋าลงจากบ่า มือก็ควานหากระเป๋าตังค์ไปทั่วแต่ก็ไม่พบ.. ใจฉันหายวูบ

    “ให้มันได้อย่างนี้สิน่า !!” ฉันทรุดตัวลงนั่งยองๆ พยายามค้นดูกระเป๋าให้ทั่วๆ แต่ก็ยังไม่เจอ

    “หายเหรอ” เขาซึ่งตอนนี้ลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นมองดูฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง

    “โดนล้วงมากกว่า” ฉันถอนหายใจยาว เมื่อนึกว่านี้เป็นครั้งที่สามแล้ว…เดือนละครั้งเลยละ !! ชักเซ็งตัวเองที่ดูยังไงก็เป๋อเหวอ ซื่อบื้อ ไม่ทันคน จนตกเป็นเป้าหมายไอ้พวกบ้านี้ทุกที กลับไปบ้านแม่ต้องบ่นอีกแหงๆ บัตรต่างๆ ก็ยังได้คืนไม่ครบด้วยซ้ำ

    “แล้วทำไง ไปแจ้งนายสถานีมั้ย”

    “แจ้งทีไรก็ไม่เคยเห็นจะได้คืนซักที” ฉันล้วงเอาตั๋วเดือนจากช่องด้านหน้า “อย่างน้อยก็มีตั๋วออกไป… ”

    “เอ้อ…กริช โทษด้วยนะ ไม่มีเงินให้ยืมแล้วล่ะ”

    “ทำไมต้องขอโทษด้วย…ไม่ใช่ความผิดว่านซักหน่อย” เขาขมวดคิ้ว “ว่าแต่จะทำยังไงต่อ… ต้องต่อรถกลับบ้านเหรอเปล่า กลับได้มั้ยเนี่ย”

    “พอดีว่านมีเพื่อนทำในสยามเนี่ย อาจจะไปยืมเค้าก่อน….ถ้าไม่เจอก็คงเรียกที่บ้านมารับ” พอพูดจบ รถไฟฟ้าเที่ยวใหม่ก็มาพอดี “รถมาแล้วแหนะ…”

    “เราไปส่งว่านหาเพื่อนก่อนดีกว่า…เผื่อไม่เจอ ”

    “หือ…แล้วไม่ตามแฟนเหรอ”

    “ไม่ช่ายแฟน…” เขาพูดพลางดันตัวเองขึ้นจากพื้น

    “ไม่ใช่แบบ….ไม่ใช่ไม่ชอบหรือเปล่า” พอฉันพูดจบ เขาก็อึ้งไปเลยก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น จนคนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งออกมาจากรถไฟฟ้าหันมามองเราสองคนเป็นตาเดียว

    “โอย ไม่อยากเชื่อว่าคนเรียบร้อยอย่างว่านจะปล่อยมุขกับเขาเป็นด้วย” หมอยังไม่ยอมลุกจากพื้นง่ายๆ สงสัยฉันจะเป็นพวกยุขึ้นซะด้วย พอเห็นเขาว่าแบบนั้นก็รีบปล่อยมุขต่อไปทันที

    “ไม่ใช่ปล่อยมุขอย่างเดียวนะ ปล่อยลำแสงก็ได้ย่ะ” พอมาคิดทีหลัง…เป็นมุขที่ฝืดพิกล แต่สาบานได้ ‘พ่อพระเอก’ ก็หัวเราะกลิ้งจนน้ำตาเล็ด หน้าฉันร้อนผ่าวไม่รู้เพราะว่าอายหรือดีใจกันแน่ มันกึ่งๆ อยู่

    “พอๆ ได้แล้ว ลุกซะทีสิ”

    “ฉุดหน่อยดิ” ตอนเขายื่นมือมาให้ ฉันถึงจำได้ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยมอง ‘มือ’ เป็นอวัยวะส่วนแรกเวลาฉันพบคนแปลกหน้า ฉันหลงใหลมือที่มีนิ้วเรียวๆ แบบที่เรียกว่ามือศิลปิน - - มือของกริชเนี่ยแหละ ‘นัมเบอร์วัน’ สมัยนั้น จากนั้นฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย นี่ไง…เขาถึงว่าคนเปลี่ยนไปตลอดเวลา

    “แล้วกริชออกไปได้เหรอ” ฉันช่วยฉุดเขาให้ลุกขึ้น

    “ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเนี่ยอยู่ใบเดียว” เขาหยิบตั๋วออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นอันว่าเราจะไปเดินสยามฯด้วยกัน


    ไม่น่าเชื่อ ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง ฉันกำลังเดินควงสุดหล่อประจำรุ่นกลางสยามฯเนี่ยนะ หัวใจฉันเต้นตึกตัก รู้สึกเหมือนคนทั้งห้างกำลังมองมาที่เรา มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่เราสวนกับนักเรียนกลุ่มใหญ่แล้วเขาใช้มือมาดันข้อศอกฉันให้เลี่ยงเข้าไปข้างทาง…ไม่ใช่จับ ไม่ใช่ลาก ไม่ได้กระชาก แค่แตะเบาๆ ….แต่ตอนฉันเดิน มันเหมือนกับตัวลอยไปเอง… ทั้งหมดนี้ต้องไปโทษแม่เพื่อนซี้ คำพูดของหล่อนโผล่กลางสมองฉันทันที

    “ฉันนะ….ไม่รู้เป็นไร เวลาเจอผู้ชายถอยรถแล้วกางแขนมาแตะเบาะที่นั่งข้างๆ ทีไร รู้สึกว่าเขาโค-ตรเท่เลย …. อ้อ แล้วแบบว่าเดินๆ อยู่แล้วเอื้อมมือมาแตะข้อศอกอีกนะ …อืม เท่โค-ตร… เวลาจับมือกันยังให้ความรู้สึกไม่เท่าเลย”

    เดี๋ยวคืนนี้ ต้องโทร.ไปเมาท์ซะหน่อย

    ฉันผลุบหายเข้าไปในร้านคนรู้จักไม่นาน ก็กลับออกมาพร้อมกับเงิน
    “เอาเท่าไหร่…?”

    “ร้อยเดียวก็พอ” เขาตอบ

    “พอเหรอ” ฉันแกล้งถามเพื่อประวิงเวลา …อยากติดในโลกสีชมพูอีกพัก

    “พอสิ…เออ เอาเบอร์โทรมาสิ เดี๋ยวจะได้นัดมาใช้คืน” พูดจบก็ควักปากกาออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเองเสร็จสรรพ จากนั้นก็ยื่นทั้งปากกาแล้วก็มือตัวเองให้ใช้แทนกระดาษ ตอนเขียนลงไปบนมือเขา มือฉันสั่นมากจนเลขศูนย์โย้เย้พิลึก แต่เขาก็เอาแต่หัวเราะเพราะจั๊กกะจี๊ ฉันก็เลยแกล้งทำกลบเกลื่อนไปได้… ตวัดเลขสุดท้ายเสร็จ เขาก็หยุดหัวเราะพอดี ฉันคืนปากกาให้เขา แล้วเราก็บอกลา

    “แล้วจะโทรไปหานะ” เขายกมือที่มีเบอร์โทร.ของฉันขึ้นโบก

    “โอเค. งั้นไปก่อนนะ” ฉันหันหลังให้เขา ใจหายพิกล แต่พอรู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เรื่องของเขาก็หลุดออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย…แม่ต้องบ่นแหงเลย โอย…ไหนจะเรื่องกระเป๋าตังค์อีก ทว่า ตอนที่กำลังจะรีบจ้วงเท้าเดินให้เร็วขึ้น เขาก็ร้องเรียกมาจากด้านหลัง ฉันหันหลังกลับไปเห็นเขายังยืนอยู่ที่เดิม

    “ไปกินข้าวกันมั้ย…?” พูดเสร็จก็เดินมาหา สมองฉันประมวลหาคำตอบเร็วจี๋

    ไป…ไม่ไป / ไป…ไม่ไป / ไป…ไม่ไป

    บอกตามตรง ถ้าเป็นฉันตามปกติ…ก็ไม่มีทางซะละที่จะเหลวไหล

    “ก็ดีเหมือนกัน” แต่วันนี้ ฉันไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ …..



     
     

    จากคุณ : นารูมิ - [ 18 ก.ค. 46 04:31:40 ]