ตอนที่1: มุมมองใหม่ของชีวิต
"แม่ หนูได้งานทำแล้วนะ บริษัทที่หนูไปสัมภาษณ์วันนี้แหละ" ฉันรีบรายงานแม่ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน
"จริงหรือลูก ดีแล้วจะได้กลับมาอยู่บ้านสักที แต่แปลกนะทำไมเขารับง่ายจังเลย" แม่ฉันแสดงความยินดีหลังจากที่ได้แต่ก็อดแสดงความแปลกใจไม่ได้
"ทำไมล่ะแม่ ก็ลูกสาวแม่เก่งไง"
"ไม่หรอก แม่ว่า บริษัทตามต่างจังหวัดคงหาพนักงานยากมั้ง เขาเลยรับหนูเข้าทำงานนะ" แม่ฉันออกความเห็นพร้อมทั้งหัวเราะอย่างสนุกสนาน
"พ่อก็ว่าอย่างนั้นแหละ แล้วเราจะทำงานได้จริงๆหรือนี่" พ่อฉันร่วมแสดงความคิดเห็นหลังจากที่ท่านเดินเข้ามาในบ้านพอดี
"อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้กันล่ะ ไม่เชื่อในลูกสาวตัวเองกันบ้างหรือไง" ฉันเริ่มที่จะน้อยใจพ่อกับแม่ขึ้นมาตะหงิดๆ
"คอยดูนะ แล้วแม่กับพ่อจะทึ่งในฝีมือลูกสาว" ยังไงซะฉันก็ยังอดที่จะอวดถึงสรรพคุณตัวเองไม่ได้
"จ้า แล้วแม่กับพ่อจะคอยดู แต่ว่าเริ่มงานเมื่อไหร่ล่ะ" แม่ฉันก็ยังอดจะถามไม่ได้ ที่จะถามด้วยความใส่ใจ
"อีกสองวันจ๊ะ หนูยังไม่มีเสื้อผ้าเลย พรุ่งนี้หนูจะไปกรุงเทพฯ นะแม่" ฉันตอบรับพร้อมกับขออนุญาตไปช็อปปิ้ง
"ไปสิ แล้วจะไปกลับใครล่ะ"
"ไปกับแป๋มนะสิ เหลือมันที่ยังคบหนูอยู่คนเดียวแหละ คนอื่นหายไปหมดแล้ว" ฉันพูดกับแม่พร้อมทั้งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"โชคดีนะแกจบมาไม่เท่าไหร่ก็ได้งานทำแล้ว" แป๋มเพื่อนของฉันแสดงความดีใจหลังจากที่ฉันได้เล่าให้ฟัง "ฉันสิ ยังไม่ได้เลยแม่ก็จะให้กลับไปอยู่บ้านด้วยเหมือนกัน แต่แม่จะให้ฉันกลับไปแต่งงานว่ะ"
"เอาจริงหรือแก แล้วแฟนแกล่ะจะทำยังไง" ฉันค่อนข้างจะตกใจกับคำพูดของเพื่อน ไม่คิดว่าสมัยนี้แล้วยังจะมีการคลุมถุงชนอยู่อีก
"นี่แหละแม่ฉัน เขาจะให้ฉันไปดูตัวกับหนุ่มหล่อและรวยประจำหมู่บ้านเชียวนะโว้ย แกจำได้ไหม พี่โจที่ฉันเคยเล่าให้ฟังไง ที่ฉันเคยแอบปลื้มตอนเด็กๆ"
"เออ จำได้ ก็ดีแล้วไงได้แต่งงานกับหนุ่มในฝัน โรแมนติกจะตาย" ฉันก็อดที่จะวาดวิมานสวยหรูให้เพื่อนไม่ได้
"ฝันร้ายสิแก เจ้าชู้จะตายชัก เท่าที่จำได้พี่แกเปลี่ยนแฟนเป็นสิบแล้ว ฉันไม่เอาด้วยหรอก แฟนฉันก็มีแล้ว" เพื่อนฉันไม่ได้มีความคิดเห็นคล้อยตามฉันบ้างเลย แต่ก็เอาเถอะ แป๋มไม่ใช่คนชอบฝันกลางวันอย่างฉันซะด้วยสิ
"แต่แกจำไว้นะกร ชีวิตแกไม่ได้ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้วนะ โลกของคนทำงานนะ มันซับซ้อนหาความจริงใจยากนะโว้ย" เพื่อนผู้แสนดีและค่อนข้างจะมองโลกในแง่ร้ายก็อดที่จะสั่งสอนฉันไม่ได้
"คงไม่ขนาดนั้นมั้ง แกมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่าแป๋ม"
"แกก็ยังมองโลกในแง่ดีเหมือนเดิมนะ ระวังเถอะจะเจ็บเพราะความซื่อของแกนั่นแหละ โดนมากี่ทีแล้วไม่จำเลยนะ"
"แหมยังไงก็เพื่อนให้อภัยกันได้" ฉันพยายามที่จะพูดเพื่อให้เพื่อนอารมณ์ดีขึ้น
"เออๆ แกก็เป็นอย่างนี้ทุกทีนั่นแหละ แต่ยังไงก็โชคดีนะ มีอะไรก็เข้าแข็งไว้นะ อย่าร้องไห้บ่อยล่ะ ขี้เกียจตามไปปลอบ" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ฉันและเพื่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
"หนูไปทำงานแล้วนะแม่ อวยพรหนูหน่อยสิ พ่อจ๋าไปส่งหนูที่ทำงานนะ ไม่อยากไปเองเลยวันแรก" ฉันกล่าวทักทายพ่อแม่ในตอนเช้า พร้อมกับอดที่จะอ้อนพวกท่านตามนิสัยเด็กๆของฉันไม่ได้ จริงๆแล้วฉันค่อนข้างจะตื่นเต้นเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าที่ทำงานจะเป็นยังไงบ้าง จะเจอพวกชอบนินทราคนอื่นบ้างไหมนะ ลึกๆแล้วฉันก็กังวลกับคำพูดของแป๋ม ฉันไม่ชอบเลยกับการนินทราว่าร้ายคนอื่น นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมแป๋ม ถึงเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยคนเดียวที่เหลืออยู่ เพราะว่าฉันกับแป๋มเป็นคนประเภทเดียวกัน คือพวกที่ค่อนข้างจะมีโลกส่วนตัวสูงไม่ค่อยสนใจเรื่องคนอื่น ไม่ชอบนินทราใคร แต่ผิดกันตรงที่แป๋มมองโลกในแง่ร้ายเจ็บแล้วจำ แต่ฉันซิ สงสัยจะเป็นพวกคนขี้ลืม เจ็บแล้วไม่เคยจำเลย
"นี่นะหรือเด็กใหม่ หน้าตาก็งั้นๆแหละ บริษัทรับเข้ามาได้ไงนะ เห็นว่าคนเดือนสูงกว่าเด็กที่จบใหม่เหมือนๆกันนี่"
"สงสัยจะมั่นใจว่าตัวเองเก่ง เลยเรียกเงินเดือนสูงกว่าคนอื่น ก็ดูสิถ้าไม่สอนงานอะไรเลยมันจะทำได้ไหม"
"อะไรกัน ต้องมีคนมารับมาส่งด้วยหรือ แหมทำตัวเป็นคุณหนูจังเลยว่ะ"
"ดูเขาแต่งตัวสิ มั่นใจนักหรือไงว่าสวย"
ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่า สังคมที่แป๋มเล่าให้ฟังมันมีอยู่จริง ฉันรับรู้ได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรของเพื่อนร่วมงาน และบางครั้งก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดถึงฉันลับหลังค่อนข้างจะบ่อยเลยทีเดียว
"กลับมาแล้วหรือลูก อ้าววันนี้ก็ร้องไห้อีกแล้วหรือ วันนี้เรื่องอะไรอีก เพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย" แม่ก็ยังคงถามคำถามเดิมเสมอหลังจากฉันทำงานมาได้เกือบเดือนแล้ว
"หนูจะลาออกแล้วแม่ไม่ไหวแล้ว ทำไมชีวิตทำงานไม่เห็นจะสนุกสนานอย่างคนอื่นเขาเลย" ความอดทนของฉันที่เหลืออยู่น้อยนิดเริ่มที่จะหมดไปแล้ว "เจ้านายก็ชอบด่า ชอบแต๊ะอั๋ง เลิกงานแล้วก็ไม่ยอมให้กลับบ้านทั้งๆที่ไม่มีงานทำแล้ว ก็ให้นั่งเป็นเพื่อนเขาอยู่ได้ เพื่อนๆก็ไม่มีใครเป็นมิตรด้วยเลย ถามคำก็ตอบคำ บางทีถามก็ไม่ตอบ" ทุกๆวันฉันก็ได้แต่ปรับทุกข์ให้พ่อกับแม่ฟัง บางครั้งก็โทรไปเล่าให้แป๋มฟัง
"อดทนไว้ลูก ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นหนูยังต้องเจออะไรที่มันลำบากกว่านี้"
"หนูจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ พ่อรู้ว่าหนูทำได้ แล้วสักวันทุกอย่างจะดีขึ้นเอง" พ่อกับแม่ก็ได้แต่ปลอบฉันซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้ทุกวัน
ตอนที่2 : การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
ฉันทำงานมาได้เกือบสองเดือนแล้วล่ะ ค่อนข้างจะรับได้กับบรรยากาศรอบข้างแล้ว และแน่นอนกิจวัตรประจำวันของฉันคือร้องไห้หลังเลิกงาน จริงๆแล้ววันนี้ฉันค่อนข้างจะตื่นเต้นมาก เพราะฉันจะมีเพื่อนร่วมงานใหม่ ฉันได้หวังเอาไว้ลึกๆในใจว่า เพื่อนใหม่คนนี้อาจจะทำให้ฉันรู้สึกดีกับที่ทำงานได้บ้าง
และแล้วพระเจ้าก็เข้าข้างคนดีอย่างฉัน ฉันเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ดีเลยทีเดียว วัลย์เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ไม่ชอบวุ่นวายกับใคร และที่สำคัญวัลย์ทำให้ฉันหัวเราะได้ แน่นอนมันทำให้ฉันรู้สึกอยากมาทำงานมากขึ้น
เดี๋ยวนี้หนูไม่ค่อยร้องไห้แล้วนี่ แม่ฉันอดแปลกใจไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกสาว
ไม่รู้หรือไงเดี๋ยวนี้ลูกสาวเธอเขามีเพื่อนแล้วนะ พ่อฉันก็อดจะกระเซ้าฉันไม่ได้ ก็ดีแล้วลูก จะได้รู้สึกดีขึ้น พ่อก็ไม่อยากให้ลูกร้องไห้หรอก
จ้า ต่อไปนี้หนูจะพยายามไม่ร้องไห้แล้ว หนูไปนอนก่อนนะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ฉันบอกกับพ่อแม่ก่อนที่จะขอตัวไปอาบน้ำนอน
นี่กรรู้หรือยังตอนนี้เราต้องติดต่องานกับฝ่ายผลิตแล้วนะ รู้สึกว่าคนที่เราต้องติดต่อด้วยจะชื่อ พี่ปืน เราจะต้องคอยเช็คงานกับเขา วัลย์ถามฉันถึงงานใหม่ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้านาย ฉันกับวัลย์ทำงานในตำแหน่งเดียวกัน แต่ต่างกันที่ลูกค้า ฉันดูแลลูกค้าในส่วนอเมริกาและยุโรป ส่วนวัลย์ดูแลลูกค้าในส่วนเอเชีย
อ๋อ รู้จักแล้วหล่ะ เคยเห็นหน้าอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยคุยกันสักที เดี๋ยววันนี้บ่ายเราจะมีประชุม ค่อยไปทำความรู้จักกับเขาก็ได้มั้ง ฉันเสนอความคิดเห็น ก็ดีนะบางทีฉันอาจจะได้เพื่อนเพิ่มอีกสักคนสองคน แต่ตอนนี้เราไปกินข้าวกลางวันกันก่อนเถอะวัลย์หิวจะตายอยู่แล้ว
สรุปว่าเราจะผลิตกันตามแพลนนี้นะ น้องกร น้องวัลย์ น้องขายได้ตามแพลนเลยนะ ต่อไปนี้มีอะไรก็ถามพี่ได้นะ พี่เป็นคนใจดีมีปัญหาอะไรปรีกษาได้ พี่ปืนกล่าวสรุปการประชุม และไม่ลืมที่จะแสดงความมีน้ำใจที่จะคอยช่วยเหลือ
ขอบคุณค่ะพี่ ต่อไปนี้จะรบกวนบ่อยๆ พวกหนูกลับแผนกกันก่อนนะ ฉันและวัลย์กล่าวลาพี่ๆในฝ่ายผลิตเพื่อแยกย้ายกันไปทำงาน
นับว่าเป็นวันดีของฉันอีกวันหนึ่ง ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกตั้งหลายคนเลย ต่อไปนี้ฉันคงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในที่ทำงานอีกต่อไปแล้วล่ะ พอมีเพื่อนเพิ่มขึ้นฉันก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยมากขึ้น จนฉันสามารถคุยเล่นได้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆได้
จริงๆเราก็เป็นคนตลกนี่กร พี่คิดว่าเธอจะเป็นคนหยิ่งซะอีก เห็นวันๆไม่ค่อยพูดกับใครเลย พี่กระแตที่ทำงานแผนกข้างๆถามขึ้นมา
หนูก็ไม่กล้าคุยกับใครเท่าไหร่หรอกพี่ กลัวว่าพูดไปแล้ว พวกพี่จะรำคาญหนูเปล่าๆ ฉันตอบคำถามพี่เขาตรงๆอย่างที่ฉันรู้สึก พวกเขาจะรู้กันไหมนะว่าฉันเคยร้องไห้เพราะพวกเขามามากเท่าไหร่แล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ฉันมั่นใจว่าสักวันฉันจะทำให้พวกเขาเป็นเพื่อนกับฉันให้ได้
จากคุณ :
ืำnew hands (Mindnat)
- [
18 ก.ค. 46 11:06:37
]