นกนางนวลเจ้าเอย - ว่าด้วยอิสระจากพันธนาการชีวิต

    นกนางนวลเจ้าเอย……                             “ลูกแม่ปิง”

                    นกนางนวลเจ้าเอย           เจ้าเกิดบนผืนโลกกว้าง
                 ถิ่นอาศัยคือท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง          กับพื้นน้ำเบื้องล่างชั่วชีวา
                      ชีวิตเช้าค่ำหาปลา                      เบื่อหน่ายหนักหนาพาลสงสัย
                 ชีวิตเรามีเพียงนี้หรืออย่างไร             คิดอยู่นานจึงตัดใจออกฝูงมา
                                  โบยบินเดียวดายบนฟ้ากว้าง              กลัวไหมกลัวความอ้างว้าง
                                 แต่นางนวลนั้นสู้ยอมปล่อยวาง           เพื่อที่หมายการเดินทางค้นหาตน

    เมื่อครั้งที่ฉันยังอายุไม่ถึงสิบขวบ    แม่ได้พาฉันไปเยี่ยมตากับยายที่อาศัยทำไร่ปศุสัตว์ที่จันทบุรี     ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่      ลำธารไหลรินเอื่อย     แดดทอแสงอบอุ่นขับผิวมันของใบหญ้าเป็นเงาวาว       ฉันนั่งอยู่กับบันไดท่าน้ำเอาขาแช่ธารนทีอันเย็นชื่นนั้นอย่างมีความสุข    ตาเหม่อมองไปบนฟ้าเห็นนกฝูงหนึ่งบินเล่นลมอย่างอิสระเสรีอยู่สูงลิบ “ยายจ๋า” ฉันถามหญิงชราที่กำลังนั่งถักเปียให้อยู่ข้างหลัง “นกพวกนี้มันจะไปไหนเหรอจ๊ะ”
    “มันก็บินวนเวียนอยู่แถวนี้แหละหลานเอ๊ย” ยายตอบโดยไม่เงยหน้าไปมองบนฟ้า “ฟังเสียงก็รู้ว่านกนางนวล   ช่วงนี้เป็นหน้าหนาวมันก็อพยพลงมาจากจีนมาก  แถวนี้ก็อยู่ไม่ไกลทะเล   พวกมันไปจับปลาในทะเลกินแล้วก็มาหาที่ทำรังวางไข่บนฝั่งแถวๆนี้แหละ   พอถึงหน้าร้อนก็พาลูกกลับไป….”
    ฉันพยักหน้ารับรู้   สองตายังคงจับจ้องอยู่ที่หมู่นกนางนวลด้วยความสนใจ   นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกอิจฉาในความมีอิสระของพวกมัน   อิสระที่อยู่บนฟ้ากว้าง   ไร้ขอบเขตปิดกั้นใดๆ   ฉันนั่งมองอยู่นานก็เอ่ยขึ้นซื่อๆ
    “ยายจ๋า   ฉันอยากเป็นนก   ทำอย่างไรฉันถึงจะบินได้”
       ยายส่ายหัวแล้วยิ้ม   คงจะนึกขำในความไร้เดียงสาของเด็กหญิงคนนี้     ไม่มีคำตอบใดๆให้

                                                            …………………………………………………


       นกนางนวลเจ้าเอย                ปีกของเจ้าเริ่มล้า     ขาของเจ้าเริ่มอ่อน
                    เจ้าบินไกลแรมรอน                    เสาะหาที่พักผ่อนหย่อนกาย
                    บ้านเก่าที่จากมาช่างเหว่ว้า         ตัวของเจ้าด้อยคุณค่าไปเสียสิ้น
                   มีชีวิตวันๆเพียงแต่หากิน              จึงตั้งมั่นออกแสวงถิ่นแม้สิ้นใจ


    หนังสือเล่มหนึ่งวางไว้บนหิ้งรวมกับหนังสือเล่มอื่นๆในห้องนอนของฉัน   “โจนาธาน   ลิฟวิงสตัน : นกนางนวล” คือชื่อของหนังสือปกสีเทาบางเล่มนั้น   เนื้อหาที่เกี่ยวกับนกนางนวลผู้เป็นขบถต่อจารีตแห่งเผ่าพันธุ์    โจนาธานต้องเลือกเอาระหว่างการได้รับการยอมรับในกลุ่มกับความมีเสรีอย่างที่ใจต้องการแม้จะต้องแลกกับความโดดเดี่ยวก็ตาม   และแล้วโจนาธาน  ลิฟวิงสตันก็ตัดสินใจได้……..
     ฉันหลงใหลในงานเขียนของริชาร์ด  บาค ชิ้นนี้เหลือเกินหลายครั้งที่ฉันอ่านเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะได้แน่ใจว่าฉันได้เก็บรายละเอียดและความรู้สึกอันเสรีของนกนางนวลตนนั้นได้อย่างครบถ้วนดีแล้ว
          “แม่จ๋า   ฉันอยากเป็นนก   ทำอย่างไรฉันถึงจะบินได้”
    แม่ส่ายหัวด้วยความไม่พอใจนัก   คงเป็นเพราะคำถามนี้ไม่เหมาะสมกับเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นอย่างฉันอีกแล้ว   “แกเรียนมาถึงขนาดนี้แล้วยังจะถามโง่ๆอย่างนี้อีก”
      ฉันไม่เข้าใจแม่…..การเรียนสูงขึ้นจะต้องทำให้ความสงสัยและจินตนาการลดลงไปด้วยหรือ   ฉันอยากบิน  บินออกจากบ้าน   ออกไปให้ไกลแสนไกล……

                       ……………………………………………..


                         นกนางนวลเจ้าเอย                  โลกใบนี้ช่างกว้างหนักหนา
    เจ้าบินข้ามทวีป  ข้ามวัน  ข้ามเวลา                จนเหมือนว่าการเดินทางไร้จุดปลาย
       มีเพียงเจ้ากับท้องน้ำที่อ้างว้าง                   ดุจดั่งฟางถูกลมพัดซัดเวหา
    เบื้องล่างคือเกลียวคลื่นอึงคงคา                     ไม่รู้ว่าถึงจุดหมายเมื่อใดกัน

    ฉันนอนมองเพดานในโรงพยาบาลมาได้สามอาทิตย์แล้ว (พยาบาลคุยกับพ่อให้ฉันได้ยินอย่างนั้น)    ฉันมองญาติๆและผู้คนที่ไม่รู้จักมาก่อนผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยียนถึงขอบเตียง    พวกเขาไม่ค่อยคุยกับฉันเพราะฉันพูดไม่ได้   แขนขาก็แทบขยับไม่ได้ด้วยมีอาการปวดร้าวอย่างที่สุดทุกครั้งที่พยายามแม้แต่เล็กน้อย “หมอว่ามันอาจพิการตลอดชีวิต”  แม่คอยอธิบายอาการของฉันให้แก่แขกทีละชุดอย่างใจเย็น
         “ตำรวจยังจับคนขับรถเมล์ไม่ได้   แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก”
    รถเมล์สายที่คว่ำยับเยินอยู่ข้างถนนสุขุมวิทนั้น   เมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่มันจะพลิกคว่ำฉันกับเพื่อนร่วมชะตากรรมคนอื่นๆอีกกว่าสามสิบชีวิตยั่งนั่งอ่านหนังสือ   นั่งคุยหัวเราะกัน   หรือนั่งหลับตารอให้เวลาที่รถจะเข้าเทียบท่าปลายทางมาถึง   แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็จบลงเมื่อฤทธิ์ยาบ้าในตัวคนขับหมดลง   รถเบนออกข้างทางชนกับรถเก๋งที่สวนมาทางขวา   เสียงหวีดร้องลั่นระงมเมื่อรถเสียหลักพลิกลงคูน้ำข้างทาง   ฉันถูกเศษเหล็กกับกระจกฉีกแผ่นหลังแทบทั้งแผง   เจ็บปวดอย่างที่สุดเมื่อได้เห็นเลือดหยดออกจากแผลตามตัวด้วยตาของตัวเองโดยขยับไปไหนไม่ได้   ก่อนที่จะสลบไป….ฉันมองผ่านขอบหน้าต่างรถที่บิดเบี้ยวออกไปเห็นท้องฟ้าสีเข้ม   บนท้องฟ้านั้นมีนกนางนวลตัวหนึ่งบินไกลออกไปอย่างโดดเดี่ยว…..
     ฉันทรมาณเหลือเกิน   พูดไม่ได้   หูอื้อเพราะเป็นผลข้างเคียงจากยาที่พยาบาลฉีดให้   แน่นอน….ขยับตัวไม่ได้เพราะประสาทที่สันหลังไม่ทำงานแล้ว(หมอที่คอยให้กำลังใจและให้ฉันทำใจทีละน้อยบอกมาอย่างนั้น)   คืนหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงแม่ร้องไห้กระซิกที่โซฟาด้านหลังห่างออกไป   ฉันพยายามจะหันคอไปดูแต๋ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของหมอเจ้าของไข้ที่มาเข้าเวรคุยกับแม่
    “หมอพยายามอย่างที่สุดแล้วครับ    เวลาที่เหลืออยู่ขอให้คุณแม่ดูแลเขาอย่างดีที่สุดเถอะครับ”
       ‘เวลาที่เหลืออยู่……?  หมายความว่าไง?’
    “แต่ฉันรับไม่ได้จริงๆค่ะหมอ” แม่ร้องไห้ไม่หยุด “ตอนแรกแค่รู้ว่าแกจะเป็นอัมพาตไปตลอดก็จะแย่แล้ว    หมอมาบอกว่าเจอเลือดตกในอีก   สองวันที่เหลือนี่ฉันรับไม่ได้หรอกค่ะ”
       ‘สามวัน?   ฉันมีเลือดตกใน?   ฉันจะตายในสองวัน?’
    “แม่ครับ  ใจเย็นๆเถอะครับ   เดี๋ยวแกจะตื่นมาได้ยินเสียก่อน”
        ‘หมอจะปิดบังไม่ให้ฉันรู้?’
    เมื่อหมอกลับออกไป   แม่เดินมาลูบหัวฉันที่แกล้งทำเป็นหลับเบาๆ  แต่นั่นยิ่งทำให้แม่ร้องไห้
        ‘ภายในสองวันนี้ฉันต้องตาย?’
    แม่ไม่ยอมกลับไปนอนที่โซฟาอย่างทุกคืน   แต่ลากเก้าอี้มาตั้งข้างๆแล้วนั่งหลับซบกับเตียงของฉัน   มือที่หยาบกร้านของชาวสวนวัยกลางคนกุมมือฉันไว้แน่น   มือนี้เป็นมือคู่เดียวกับที่โอบอุ้มฉันตอนเป็นทารก  เป็นมือคู่เดียวกับที่จับจอบขุดดินทำสวนส่งเสียให้ฉันได้เรียนหนังสือ   และคงจะเป็นมือคู่เดียวกับที่ประคองเชื้อไฟเผาร่างอันไร้วิญญาณของฉันเป็นเถ้าธุลีในสักวันหนึ่งข้างหน้าด้วยตัวแม่เอง   อีกไม่นานฉันจะต้องจากแม่ไป   ฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าผ้าปูที่นอนฝั่งที่แม่นั่งซบอยู่เปียก…….
    ในความมืดและเงียบของห้องคนไข้นั้น   ฉันลืมตามองกระดาษสีที่พับเป็นรูปนกแขวนเป็นพวงสวยงามอยู่บนเพดานท้ายเตียง   เพื่อนๆๆที่โรงเรียนที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นพับมาให้เป็นกำลังใจ   ตามคติความเชื่อของญี่ปุ่น   การพับนกให้กันถือเป็นสัญลักษณ์ในการอวยพรให้มีอายุยืนนาน……..

                             …………………………………………………..

    (มีต่อนะ)

    จากคุณ : ลูกแม่ปิง - [ 20 ก.ค. 46 23:21:33 A:202.57.177.98 X: ]