+ - + โลกบวมๆ ภาค 1 : น้ำตาสามีซาอุ +-+-+


    เมื่อประตูผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินนานาชาติเมลเบอร์น ประเทศออสเตรเลีย ถูกปิดลง โรเบิร์ต โธมัส วัย 56 ปีก็ยิ้มออกหลังจากต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกที่ซาอุนานเกือบหนึ่งปี ด้วยความผิดที่เขาไม่ได้เป็นคนทำ ลูกสาวคนโตซึ่งมารอรับบิดาที่สนามบิน โผเข้ากอดพ่อด้วยความดีใจ

    “พ่อกลับบ้านแล้ว…” เขากระซิบ แล้วจูบเธอที่ศีรษะ

    โรเบิร์ตไปทำงานอยู่ที่ซาอุนานเกือบสิบปี เขาเป็นหัวหน้าวิสัญญีแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาล ปรินซ์ อัลดุลละห์ บิน อับดุลลาซิส ที่นั่นเอง เขาได้พบกับ ลอร์นา สาวชาวฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหัวหน้านางพยาบาลอยู่ที่นั่น ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานแล้วอาศัยอยู่ด้วยกันในอพาร์ตเม้นท์หรูสองห้องนอน ตกแต่งตามสไตล์ตะวันตก ก่อนเกิดเรื่องพวกเขาอยู่อย่างสุขสบาย และมีความสุขดีอย่างที่เคยบอกกับลูกๆ ว่า “สุขจนน่าเหลือเชื่อ”

    แต่หลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูในวันที่ 20 มิถุนายน ปีที่แล้ว (2002 – ผู้เขียน) ชีวิตของโรเบิร์ตก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

    “ลูกต้องไม่เชื่อเรื่องที่พ่อไปเจอมาแน่ …” เขาเล่าสิ่งที่เขาไปพบมาในคุกให้ลูกและน้องสาวที่ไปรอรับฟัง

    “ที่นั่น พ่อเห็นหลายต่อหลายคนกลายเป็นบ้า พ่อทันเห็นคนหกคนถูกเอาตัวออกจากห้องพักไปยิงเป้า … มันเลวร้ายมาก”

    โรเบิร์ตและภรรยาถูกตัดสินให้จำคุกนาน 16 เดือน และถูกโบย 300 ทีสำหรับความผิดที่เธอเป็นคนก่อแต่เพียงผู้เดียว แต่เขาต้องร่วมรับผิดชอบด้วยในฐานะสามี

    ลอร์น่าและเพื่อนอีกสองคนถูกจับได้ว่าแอบส่งพัสดุซึ่งบรรจุยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์คิดเป็นเงินกว่า 100,000 เหรียญกลับไปยังฟิลิปปินส์  แม้เธอจะยืนยันว่าเธอบริสุทธิ์ แต่ผลการตัดสินคือเธอผิดจริง สำหรับโรเบิร์ตเขาถูกตัดสินว่าไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องที่ภรรยาของเขาทำ … และนี่คือความผิดของเขา  คือการที่เขาไม่รู้ว่าภรรยากำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดตาม “กฎหมายชาเรีย”

    “ลอร์น่าเริ่มร้องไห้ ผมเองก็เหมือนกัน…ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง”

    ในคุก โรเบิร์ตเป็นชาวตะวันตกเพียงคนเดียวในนั้น เขาต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาแม้ตัวเองจะเหนื่อยล้าและทุกข์ทรมานแค่ไหน เขาจะไม่ยอมให้ใครเห็นว่าอ่อนแอ เขารู้ตัวดีว่าเขาตกเป็นเป้าได้ง่าย  ยิ่งไปกว่านั้น สภาพในคุกก็เรียกได้ว่าเหลือทน โรเบิร์ตมีผ้าผืนเล็กๆ ใช้ปูนอนบนพื้นแข็งๆ ข้างหลุมส้วมที่ใช้ร่วมกันกับนักโทษคนอื่นๆ อีกยี่สิบคน

    “เราอยู่กันอย่างแออัด ต้องนอนบนพื้น อาหารก็รสแย่จนกินไม่ลง อากาศก็ร้อนจนแทบจะหายใจไม่ออกไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือกลางคืน”

    ชีวิตของโรเบิร์ตขึ้นอยู่กับภรรยาของเขา ถ้าเธอยอมรับความผิด เขาก็จะเป็นอิสระและสามารถกลับไปทำงานตามเดิมได้ โชคร้าย เธอไม่ยอมรับ… ดังนั้น โรเบิร์ตต้องทนติดคุกอยู่ที่นั่นเพียงเพราะไม่รู้ว่าภรรยาตัวเองแอบไปทำอะไรลับหลัง เหมือนเรื่องตลกในสายตาของชาวโลก แต่ที่นั่นเขาถือกันเป็นเรื่องจริงจัง

    ลูกๆ และพี่น้องของโรเบิร์ตที่ออสเตรเลียพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากคุกที่นั่นด้วยข้อหาที่ไม่เป็นธรรมแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก

    หลายวันก่อนที่เขาจะได้รับอิสระภาพ จู่ๆ ก็มีคนนำตัวเขาออกจากคุกโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า  ตอนนั้น เขาถึงได้รู้ว่าตนได้รับอภัยโทษให้เหลือโทษจำคุก 1 ปีจากเดิม 16 เดือน เจ้าหน้าที่พาเขาบินไปที่เจดา ที่นั่นเขาต้องไปจัดการเรื่องเอกสารก่อนจะได้บินกลับบ้านเกิดที่ออสเตรเลีย ปรากฏว่าเขาต้องถูกจำคุกอยู่ที่นั่นเพราะกลับมาไม่ทันเครื่องบิน

    “ผมเริ่มกลัว… ผมรู้ว่ามีคนเคยติดอยู่ที่คุกนักโทษเนรเทศนั้น ตั้งเกือบสองปี ”

    โชคดี อีกแค่สองวัน เขาก็ได้บินกลับมายังที่นี้ - - - บ้านเกิดของเขา ดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยอิสระภาพ และผู้คนที่เขารัก โดยทิ้งความทุกข์ทรมานและประสบการณ์เลวร้ายไว้ที่นั่น

    “ตอนฉันเห็นท่าน หัวใจฉันแทบจะหยุดเต้น… ทั้งหมดที่ฉันคิดก็คือ ท่านกลับบ้านแล้ว ไม่ใช่แค่กลับมาเยี่ยม แต่มาอยู่กับเราตลอดไป”

    ภรรยาของเขา ลอร์น่าก็ได้รับอภัยโทษเช่นเดียวกัน และเธอก็บินกลับไปบ้านเกิดของเธอที่ฟิลิปปินส์ ทั้งคู่ไม่มีแผนที่จะอยู่ร่วมกันอีกหลังจากแต่งงานกันมาเกือบเก้าปี

    “ไม่มีประโยชน์ที่จะเคืองแค้น” เขาพูด “ผมยังมีชีวิตเหลือให้ก้าวต่อไป ที่แน่ๆ ผมไม่มีวันกลับไปที่นั่นอีก”

    ===============================
    เรียบเรียงจาก whipped for my wife’s crime
    Woman’s Day ฉบับวันที่ 14 กรกฎาคม 2003
    ===============================

    จากคุณ : นารูมิ - [ 21 ก.ค. 46 22:53:32 ]