ผมหายไปหลายวัน
เนื่องจากรู้สึกอิ่มตัวกับอะไรหลาย ๆ อย่าง
และเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำงานอย่างหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับตัวเองได้บ้าง
นั่นคือเขียนสารคดีให้กับบริษัทโปรดักส์ชั่นแห่งหนึ่ง ในฐานะที่รู้จักกัน มีอะไรพอจะช่วยกันได้(เขาช่วยให้ผมมีรายได้น่ะครับ)ก็ช่วยกันไป
จึงเป็นที่มาของคำว่า "อิ่มตัว" สำหรับงานเขียน
มิได้หมายถึงผมเขียนแล้วประสบความสำเร็จจน "อิ่มตัว" แต่อย่างไร
ซึ่งในความหมายหลังนั้นยังอยู่ห่างไกลผมเหลือเกิน
และไม่แน่ว่าชาตินี้จะเข้าใกล้จุดนั้นได้
..........
คุณเคยบ้างไหม?
ที่อยู่ ๆ ก็คิดไปถึงเรื่องราวหนหลัง ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว และเคยเสียน้ำตาให้กับมันไปมากมาย
แต่แปลกที่คิดขึ้นมาแล้วกลับมีความรู้สึกสุขใจเล็ก ๆ แฝงมาด้วย
ถ้าไม่เคย(หรือเคยแล้วก็ตาม) ผมจะเล่าให้ฟัง
.....
ช่วงนั้นผมยังอยู่ในระหว่างการสร้างเนื้อสร้างตัว
ผมไปเช่าอพาร์ตเม้นท์อยู่แถวดินแดง ราคาเดือนละสองพันห้าร้อยบาท มีพัดลม และก็เตียงแถมมาให้ใช้ด้วย
ในขณะที่รายได้ของผมหาได้เดือนละสี่พันห้าร้อยบาท มีเงินพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการขายนวยายขนาดพ๊อกเก็ตบุ๊คเฉลี่ยแล้วเดือนละพันกว่าบาท (เรื่องละสามพัน เกือบสามเดือนจะขายได้ซักเรื่องหนึ่ง)
ผมมีมอเตอร์ไซค์ใช้อยู่คันหนึ่ง เสียค่าน้ำมันอาทิตย์ละสองสามร้อยบาท เฉลี่ยแล้วก็เดือนละพันกว่าบาท
เพราะฉะนั้นเงินที่มีซื้อข้าวซื้อของมาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็จะเหลือเพียงสองพันกว่าบาท
ผมยังแปลกใจอยู่ทุกวันนี้ว่าช่วงเวลานั้นผมรอดมาได้อย่างไร
นั่นเป็นเวลาที่ล่วงเลยมานานแล้ว
มานั่งนึกอยู่นี่นึกว่าเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
ผมแก่ไปแล้วจริง ๆ
............
ช่วงเวลานั้นผมมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต
เธอเรียนสถาบันเดียวกับผม จบมาก็พร้อมผม แต่ชีวิตของเธอดีกว่าผมมาก
เธอได้ทำงานในธนาคารที่ญาติเธอทำอยู่ เธอมีรถเก๋งคันสวยงามใช้ เธอมีญาติพี่น้องที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวย และก็มีอะไรต่อมิอะไรมากกว่าผมเยอะ
ผมเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ (สูงไม่ถึงร้อยหกสิบเจ็ดหรอกครับ)ที่พยายามถีบตัวเองเพื่อยกฐานะทางบ้านให้ดีขึ้น(แต่ตัวไม่สูงขึ้นไปด้วย) ด้วยการดิ้นรนไม่ยอมไปทำงานที่เดียวกับพี่ชาย(เป็นเสมียนโรงรับจำนำ) ดื้อที่จะออกไปหางานทำเอง และในที่สุดก็ได้ทำงานในบริษัทโปรดักส์ชั่นเฮ้าส์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถวซอยทองหล่อ โดยมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยไปทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้ช่วยเด็กยกรีเฟลกไปยันผู้ช่วยคนเขียนบท ทำงานตั้งแต่สองโมงเช้าไปยันตีสองตีสาม หรือบางทีก็ต้องเป็นผู้ช่วยคนตัดต่ออยู่จนถึงเช้า
เป็นงานที่ผมสนุกมาก มีความสุขมาก เสียดายที่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำงานอย่างนั้นแล้ว
ส่วนเธอเป็นเด็กสาวที่สวย ผิวขาว หุ่นดี อัธยาศัยใจคอดีมาก ผิดกับผมใครที่เคยเห็นผมแล้วก็จะรู้ว่า ไม่ได้มีอะไรที่ทัดเทียมกับเธอได้เลย
ก็ผู้ชายหน้าตาธรรมดา ค่อนไปทางขี้เหร่ซะด้วยซ้ำ ดีหน่อยก็ตรงเป็นคนที่คารมดี ใครได้พูดคุยด้วยมักจะมีความสุข และจะติดใจผมได้ง่าย ๆ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะมีใครสักกี่คนจะมาสนใจผม แม้แต่เธอเองนั้นก็คบกับผมในฐานะเพื่อนร่วมสถาบันเท่านั้น
จึงเป็นการแอบรัก ของผม ที่รู้สึกว่าจะเกิดขึ้นอย่างจริงจังที่สุดในชีวิตของผม ไม่เหมือนกับต่อ ๆ มาที่ผมแอบรักใครเขาทั่วไปหมด ตามประสาผู้ชายใจง่าย(แต่ไม่เจ้าชู้)อย่างผม
การแอบรักครั้งนี้ของผมเป็นความรู้สึกที่อิ่มอกอิ่มใจอยู่มาก คือคนเราเมื่อรู้ว่าตัวเองได้แต่รักเขาเท่านั้นแล้วก็มักจะทำใจได้น่ะครับ จะไม่ฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานอยากจนจิตใจฟุ้งซ่านหวั่นไหวแต่อย่างไร เพียงแค่ได้เห็นหน้าเธอบ้างก็พอเหลือเกินแล้ว
เขียนถึงตรงนี้ก็คิดเพลงได้หลายเพลง แต่ไม่รู้จักชื่อซักกะเพลง ที่มีเนื้อหาประมาณนี้ ที่ว่าขอแค่ได้เห็นหน้า ขอแค่ได้มอบความรัก ขอแค่ได้เป็นที่สองก็พอ อ้อ..นึกได้อีกเพลงหนึ่ง เพลงเต็มใจให้ไงครับ ที่ผมเคยเอาเพลงนี้ขึ้นมาถกในกระทู้หนึ่งนานมาแล้ว
ในตอนนั้นผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ขอเพียงมีโอกาสได้ฟังเสียงของเธอทางโทรศัพท์บ้าง หรือได้พบปะกับเธอบ้าง ผมก็มีความสุขแล้ว
ผมได้รับรู้ว่าเธอมีผู้ชายสองสามคนมาติดพัน ซึ่งเธอก็ไม่ได้ตัดสินใจว่าใครคนไหนจะเป็นคนที่เธอเลือกคบเป็นแฟน เธอก็คบไปเรื่อย ๆ ในฐานะเพื่อน ที่ผมรู้ก็เพราะเธอมักจะเล่าให้ฟังเมื่อผมโทร.ไปคุยกับเธอที่บ้านตอนสามสี่ทุ่ม หรือไม่ก็มีเพื่อน ๆ เล่าให้ฟังเมื่อผมถามถึงข่าวคราวของเธอ
เดือนหนึ่งผมจะได้พบเธอหนึ่งครั้ง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผมทำให้มันเป็นเช่นนั้น ผมพยายามหาเรื่องเพื่อที่จะพบเธอให้ได้อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง ไม่เอาเรื่องเลี้ยงรุ่นขึ้นมาอ้าง ก็เอาเรื่องเพื่อนคนโน้นคนนี้มาอ้าง แต่ก็มีเหมือนกันนะครับ ที่เธอเป็นฝ่ายโทร.มาชวนเอง ส่วนใหญ่จะชวนไปเดินซื้อของที่จตุจักร(ร้อนชะมัด) นาน ๆ ทีเธอถึงจะชวนไปดูหนังกันสองต่อสอง
แต่อย่างที่ผมได้บอกว่าแล้วเราสองคนคบกันในฐานะเพื่อน ส่วนความรู้สึกลึก ๆ ในใจที่เต็มไปด้วยความรักที่ผมมีให้เธอนั้น เธอคงไม่ทราบ หรือถ้าทราบก็ทำเป็นไม่ทราบ เห็นเธอสนุกสนานกับผมเหมือนเพื่อนทั่ว ๆ ไป บางทีเราก็มีสรรพนามแปลก ๆ มาเรียกกันในช่วงอารมณ์มันได้ เช่น เอ็ง ข้า แก ฉัน แต่ปกติเราจะคุยกันด้วยภาษาเพื่อน คือ เรา และ เธอ
ความรักที่แอบ ๆ ของผมดำเนินต่อไปจากนั้นอีกเกือบปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอดีกับผมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สมัยนั้นเรายังนิยมการเขียนจดหมายถึงกันอยู่นะครับ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เขาใช้วิธีโทร.มือถือหรือวิธีแช๊ตกันแล้ว ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นแฟนกันแต่เราก็เขียนจดหมายถึงกันได้ ด้วยถ้อยคำที่ไม่มีความหมายลึกซึ้งหรือหวานหยดย้อยเหมือนจดหมายรักแต่อย่างไร จดหมายที่เธอตอบมาหาผมผมยังเก็บอยู่จนทุกวันนี้ หลายฉบับครับแต่ไม่ถึงสิบ ส่วนของผมที่ส่งถึงเธอรวมแล้วคงได้เกือบร้อยล่ะกระมัง
ผมได้มีโอกาสฝึกเขียนก็ตั้งแต่ตอนนั้นแหละครับ เขียนอะไรไม่รู้เป็นวรรคเป็นช่องไฟ ส่งให้เธอเฉลี่ยแล้วสัปดาห์และหนึ่งฉบับ ส่วนเธอจะส่งให้ผมเดือนละประมาณหนึ่งฉบับ เธอบอกเธอไม่ชอบเขียนแต่ชอบอ่าน เวลาเธอเขียนก็จะเขียนมาสั้น ๆ ว่า เหรอ..ฉันก็ว่ายังงั้นแหละ และอะไรอีกสองสามบรรทัด
แต่เชื่อไหมครับว่า แค่ผมได้เห็นลายมือของเธอ และได้รับรู้ว่าเธอเขียนถ้อยความต่าง ๆ มาหาผม ผมก็มีความสุขจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรแล้ว ความรู้สึกตรงนี้หากคุณผู้อ่านที่เคยมีความรักมาแล้ว จะรู้ดีว่าความสุขตรงนี้เป็นอย่างไร
มันสุขเสียจน..ล้นออกมาเต็มสีหน้าและอารมณ์เลยล่ะครับ
สมัยนั้น(อีกที)การใช้โทรศัพท์ไม่ได้สะดวกเหมือนสมัยนี้ แม้บ้านของเธอจะมีโทรศัพท์แต่ก็ถูกควบคุมการใช้อย่างเข้มงวด ส่วนผมเองนั้นต้องอาศัยโทรศัพท์สาธารณะซึ่งก็หายากพอ ๆ กับหาหาบเร่ป๋องแป๋งในสมัยนี้ คือทั้งถนนอาจจะมีอยู่สักตู้หนึ่ง และส่วนใหญ่นะครับตู้ที่ว่ามีอยู่สักตู้หนึ่งนั้น ก็ใช้ไม่ได้ซะด้วย
คนสมัยก่อนจึงจีบกันได้ยาก การกระทำทุกอย่างจึงมีความหมายฝังลึกอยู่ในหัวใจ ไม่เหมือนสมัยนี้ซึ่งคำว่ารักว่าชอบนั้นกลายเป็นคำพูดธรรมดาที่จะเอ่ยขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ การจับมือถือแขนการเดินโอบกอดกันจนหัวแทบจะพันกันนั้นก็กลายเป็นวัฒนธรรมของหนุ่มสาวสมัยนี้จนดูเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
สมัยนี้จะมีเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าซักกี่คน ที่ยังไม่มีแฟน ยิ่งถ้าเป็นเด็กหนุ่ม สมัยนี้เขามีภรรยากันตั้งแต่อายุสิบสี่กว่า ๆ แล้ว ข้าง ๆ ห้องของผม(ที่คอนโดฯ) นี่ก็เห็นอยู่คู่หนึ่ง เด็กเพิ่งเข้าเรียนมัธยมต้นก็พาแฟนสาวมานอนค้างสบายใจเฉิบอยู่แทบทุกคืน
ปล่อยให้คนแก่อย่างผมนอนกลืนน้ำลายตะกายข้างฝาไปตามเรื่อง
..
จากคุณ :
ปิ๊วปิ้ว
- [
22 ก.ค. 46 19:07:16
A:202.57.174.104 X:
]