หากจะรักอีกสักครั้ง / ภาคพิเศษของ คือความรักในใจ(เก็บไว้เพียงเธอ) /ตอนที่ 1

    ทันทีที่เครื่องบินลำใหญ่ของสายการบินชื่อดังล่อนตัวอย่างนุ่มนวลแตะพื้นรันเวย์ ชายหนุ่มผมยาวประบ่า จมูกโด่งเป็นสัน มีแว่นตากรอบทองอันบางคาดทับดวงตาคู่รีสวย เขาลดรายงานการประชุมในมือลงเก็บในกระเป๋าเอกสารหนังสีดำ ก่อนจะกวาดตามองไปยังทิวทัศน์ด้านนอก

    เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว ที่เขาไม่ได้กลับมาที่เมืองแม่นี้อีกเลยตั้งแต่ถูกย้ายไปประจำสำนักงานที่ฮ่องกง และย้ายต่อไปยังสิงค์โปร์  จีน และที่สุดท้ายก็คืออเมริกา ประเทศแห่งเสรีภาพ และก็คงเป็นประเทศที่เค้าไปประจำอยู่นานที่สุดเกือบห้าปีเลยทีเดียว

    งานต่อเชื่อมเครือข่ายระบบคอมพิวเตอร์ที่ ชายหนุ่มทำอยู่นั้นขยายตัวได้รวดเร็วจนไม่มีเวลาที่จะกลับมาเยี่ยมบ้าน ครั้งหลังสุดเท่าที่จำได้ก็ประมาณห้าปีก่อน และก่อนจะถูกย้ายไปอเมริกานั่นเอง กรุงเทพฯ เมืองแห่งแสงสีที่ไม่เคยหลับไหล  เคยเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มคว้ากระเป๋าเอกสารออกเดินไปพร้อมกับ ผู้โดยสารคนอื่นที่ทยอยกันลงจากเครื่อง

    “มายังล่ะ พี่นันท์ ดูหน่อยสิ” หญิงสาวในชุดแซกสั้นสีฟ้าอ่อนเขย่าแขนชายหนุ่มที่ยืนข้าง ๆ จนเค้าต้องหันมาดุว่า

    “ตื่นเต้นอะไรหนักหนาตัวอ่อนเดี๋ยวมันก็ลงมาเองนั่นแหละ”

    “ก็มาสายซะขนาดนี้ไม่รู้เครื่องลงยัง ก็เพราะพี่นัฐคนเดียวเลยนะ” คราวนี้ส่งค้อนคม ๆ ไปยังผู้ชายมาดเซอร์ผมยาวที่กำลังยืนปิดปากหาวหวอด ๆ อยู่ข้าง ๆ แต่ก็ยังได้ยินประโยคกล่าวหาที่ถูกโยนมาอยู่ดี

    “แหม ยัยตัวอ่อน ยังไงพี่ก็มาแล้วกัน ผิดกับคนบางคนไม่โผล่มาเลย”

    “พี่น้ำเค้าติดงานย่ะ ไม่ต้องมาหาเรื่องกันเลยนะพี่นัฐ”

    “เอ้า…เอา เลิกทะเลาะกันได้แล้วทะเลาะกันเป็นเด็ก  ๆ ทำงานทำการกันแล้วก็ยังทะเลาะกันไม่เลิก” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งในชุดลำลองสบาย ๆ หันมาดุคนที่เริ่มก่อสงครามทั้งสองคน แต่ก็ไม่วายมีเสียงประท้วงเล็ก ๆ มาอีกจนได้

    “ก็พี่นัฐน่ะ ชอบหาเรื่องนิล อยู่เรื่อย พี่นนท์จัดการด้วยล่ะ”

    “โน่นมาโน่นแล้ว” เสียงนายนันท์พี่ชายคนที่สองตะโกนบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ผู้ชายตัวสูงในชุดสูทเต็มยศ ที่เดินเข็นกระเป๋าเดินทางใบเขื่องออกมาพร้อมรอยยิ้ม

    นันท์จักรเดินเข้าไปพร้อมกับโอบกอดคนเป็นเพื่อนไว้ รวมทั้ง นนท์นที ที่ยืนจับมือคนที่ถูกกอดไว้โดยน้องชายตัวเอง

    “โห หล่อขึ้นเยอเลยนะคามิ” นัฐธพงษ์ เอามือชกท้องคนเป็นเพื่อนพี่ชายเบา ๆ

    “นายก็เหมือนกัน โกนหนวดโกนเครามาซะเกลี้ยงเลยนะ”

    “ก็บรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายนี่และที่บังคับแกมขู่โดยเฉพาะยายนี่” นัฐธพงษ์ดันตัวหญิงสาวในชุดแซกสีฟ้าออกมา เธอส่งยิ้มสดใสให้ก่อนจะเอ่ยถามประโยคแรก

    “คามิเปลี่ยนไปนะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ๊ะ” แล้วก็โอบกอดผู้ชายตรงหน้าไว้พอหลวม ๆ

    “นิลก็สวยขึ้นจนแทบจำไม่ได้” คนถูกกอดจับบ่าหญิงสาวดันออกห่างตัวพร้อมมองสำรวจ

    “แหมก็นั่นตั้งสิบปีแล้วนี่หน่า ตอนนี้นิลก็ทำงานแล้วด้วยจะให้เหมือนเมื่อก่อนได้ไงล่ะ แล้วไหน ๆ มาคนเดียวเหรอ” เธอทำท่ามองหาใครสักคนที่น่าจะมากับคนที่เคยเป็นเสมือนพี่ชายอีกคนของเธอ

    “หาใครนะตัวอ่อน” พี่ชายคนโตถาม

    “อ้าว นิลก็นึกว่าคามิจะพาสาวกลับมาด้วยสักคนไง”

    “จะไปมีเวลามองใคร แค่คนเก่าเค้ายังทิ้งไปได้ลงคอเลย” น้ำเสียงที่พูดดูไม่จริงจังนัก หากแต่คนที่เคยคุ้นกันนั้นพอดูออกว่า คนพูดยังรู้สึกเศร้ากับเรื่องราวเก่า ๆ ที่ผ่านมาอยู่

    หลังจากที่ชายหนุ่มย้ายไปอยู่ฮ่องกงได้สามปีก็ส่งข่าวกลับมาบอกว่าจะแต่งงาน และทุกคนในบ้านของนิลกานต์ ก็พากันไปงานแต่งงานของคามิที่ฮ่องกง รวมทั้งนิลกานต์ที่ถูกขอร้องให้ช่วยเป็นเพื่อนเจ้าสาว และน้ำเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว

    เนื่องจากทั้งคามิและลีนมล ต่างก็ไม่มีเพื่อนสนิทที่อยู่ในประเทศนั้นเลย เพราะต่างเป็นคนทำงานที่ถูกส่งตัวไปทำงานที่สาขาต่างประเทศด้วยกันทั้งคู่ อาจจะเพราะคามิเองเพิ่งอกหักและย้ายไปทำงานต่างประเทศทำให้ความเหงาและความเศร้าเดินทางไปด้วยกัน พอ ๆ กันกับ ลีน หญิงสาวร่างสูงโปร่ง หญิงสาวที่จัดว่าเป็นผู้หญิงทำงานโดยแท้ ต่างคนต่างพูดคุยและถูกคอ ในอัธยาศัยซึ่งกันและกัน และในไม่ช้าก็ตกลงเป็นคนรักและแต่งงานกันในที่สุด

    เพราะต่างคนก็ต่างเป็นมนุษย์งานด้วยกันทั้งคู่ แรก ๆ อาจจะอยู่ด้วยกันอย่างไม่ได้รู้สึกว่าเวลามันได้ถูกกลืนหายไปกับงานของแต่ละคนจนหมด หากเมื่อหลัง ๆ ที่ คามิเองต้องย้ายไปยัง สิงค์โปร์ และจีน ลีนเองก็หาได้ไปด้วยไม่ เพราะบริษัทที่เธอทำงานนั้นส่งเธอมาประจำแค่ฮ่องกงเท่านั้น

    เวลา และ ระยะทาง เปลี่ยนแปลงคนส่วนใหญ่ได้ แม้ว่าจะเหลือไว้เพียงเศษ 1 ใน 4 ส่วนก็อาจจะพอมีหลงเหลืออยู่บ้างที่จะไม่เปลี่ยนไป หากแต่ก็หาได้ยากและน้อยเต็มที แต่สำหรับคามิ กับ ลีน เป็นสองคนในส่วนใหญ่ที่เปลี่ยนไปเพราะเวลา และระยะทาง และคนที่เปลี่ยนก็คือ ลีน

    จากคุณ : เปียร์รุส - [ 25 ก.ค. 46 23:25:17 ]