วันนี้ผมล๊อกอินเข้ามาครับ
เพราะตั้งใจจะเขียนเรื่องสนุก ๆ สักเรื่องหนึ่ง
เรื่องที่ยังไม่มีพล๊อตอยู่ในหัวเล้ย..
แต่ถ้าไม่เริ่มก็คงไม่ได้เขียน
และถ้าพอเริ่มเขียนแล้ว ก็ต้องมีแก้ไขบ้าง
การที่จะแก้ไขบ้าง(หรือมากกว่าบ้าง)นั้น ก็จำเป็นต้องมีล๊อกอิน ซึ่งนายปิ๊วเขานิยมเรียกโลยิ่น
ฉะนั้นเรื่องนี้เลยมีการลงชื่อว่า ปิ๊วปิ้ว(แทน*-*)
หวังว่าทุกท่านคงไม่แปลกใจ
.........
เรื่องนี้ผมจะเริ่มขึ้นในสมัยเด็ก
ตัวเอกในเรื่องนี้มีห้าคน
เป็นเด็กอายุสิบสองสิบสามปี กำลังเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง
แต่เพื่อให้สมกับเป็นเรื่องแต่ง จำเป็นที่จะต้องใช้สถานที่ที่ห่างไกลสักหน่อย
เผื่อจะโม้อะไรจะได้ไม่หลุดจากความสมจริงไปมากนัก
พวกเขาก็เลยได้เรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ
ผมจะให้พวกเขามารู้จักกันและในวันแรกที่พวกเขาเจอกัน
คือวันปฐมนิเทศน์
อ้อ..ถ้าจะให้สนุก การปฐมนิเทศน์ก็ควรจะมีการเข้าค่ายด้วย เรื่องจะได้สนุกขึ้น
พวกเขาจะเจอกันอย่างไร???
นั่นสิ...
อ้อ..คิดออกแล้ว ให้พวกเขามาโรงเรียนสายพร้อม ๆ กันดีกว่า
ถูกลงโทษพร้อม ๆ กัน ถึงได้รู้จักกัน
พอรู้จักกันแล้ว พวกเขาก็จะได้ผจญภัยด้วยกัน
และไปค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่ของโลก(ว่าเข้านั่น)เข้าพร้อม ๆ กัน
และด้วยภาระที่ต้องแบกเอาไว้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องร่วมมือกัน
ร่วมมือกันเพื่อปกป้องโลกเอาไว้ ให้หลุดพ้นจากน้ำมือของอะไรอย่างหนึ่ง ที่ผมยังคิดไม่ออก เพราะยังไม่ได้คิด
ฮะฮะ..ยิ่งคิดยิ่งสนุกแฮะ..
งั้นเริ่มเลยดีกว่านะครับ
..........
ตอนที่ 1
เช้าวันที่ผมตื่นขึ้นมา เป็นเช้าที่เร่งรีบ เพราะเป็นเช้าที่สำคัญในชีวิตการเรียนของผม
วันนี้เป็นวันเข้าค่ายปฐมนิเทศน์ ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดที่ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ นี่แหละ
บังเอิญผมสอบเข้าได้ บังเอิญผมเรียนเก่ง บังเอิญผมโชคดี ผมเลยสามารถเข้าโรงเรียนนี้ได้ด้วยความบังเอิญ
ผมตื่นเต้นมาก เด็กอายุยังไม่ถึงสิบสามปีดีตอนตื่นเต้นนั้นทุกท่านก็คงรู้ดีอยู่ว่าอาการจะเป็นอย่างไร
นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับอยู่ทั้งคืน เพราะสิ่งที่รออยู่ในวันรุ่งขึ้นเป็นความแปลกใหม่ของชีวิต ทั้งที่เรียนใหม่ เสื้อผ้าใหม่ ครูคนใหม่ และเพื่อนคนใหม่
ผมเป็นเด็กค่อนข้างผอม ดูไกล ๆ เหมือนเด็กอมโรค คอยาว ใส่แว่นกลม ๆ ทำให้ดูเหมือนเด็กคงแก่เรียน
สายตาผมไม่ได้สั้นครับ แต่มันเอียง หมอบอกว่าโตขึ้นก็จะหายไปเอง
และผมก็เป็นคนที่ขี้เกียจเรียนติดอันดับโลก คุณแม่ของผมมักจะบอกผมอย่างนั้น
ตอนเรียนชั้นประถม ผมมีเพื่อนอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาพากันเรียกผมว่าไอ้แห้งบ้าง ไอ้หยองกรอดบ้าง
ผมไม่ถือ เพราะผมเองก็เรียกเพื่อนผมว่าไอ้อ้วนบ้าง ไอ้แหว่งบ้าง(เพื่อนคนนี้ติ่งหูมันแหว่งครับ) ไอ้เดี้ยงบ้าง(ขาไม่เท่ากัน) ฯลฯ
แต่เมื่อผมจะได้เข้าเรียนในระดับมัธยมในวันพรุ่งนี้ ผมจะถูกเพื่อนเรียกว่าอย่างไร?
ผมเปิดไฟในห้องนอนของผมขึ้นอีกครั้ง สายตาชำเลืองไปที่ชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมกลีบโง้ง
ส่องตัวเองในกระจก เด็กผู้ชายในชุดนอนนั้น ผอมจนเห็นซี่โครงเมื่อถลกเสื้อดู แขนเล็กขาเล็ก ขายาว และก็หัวโต
เฮ้อ
ผมไม่มั่นใจเสียในตัวเองเสียเลย..
..
ผมตื่นสาย..เลยต้องรีบเป็นพิเศษ
กระเป๋าจัดเตียมไว้ตั้งแต่สองวันที่แล้ว ถูกรื้ออีกครั้ง เมื่อผมไม่แน่ใจว่าผมใส่ยาสีฟันลงไปหรือยัง
กว่าจะเสร็จเรียบร้อยออกจากบ้านได้ ก็เกือบเจ็ดโมง
รถสองแถวประจำหมู่บ้านก็มาช้า..กว่าผมจะถึงโรงเรียนใหม่ ก็เป็นเวลาที่เขาเข้าแถวกันแล้ว
ครูคนหนึ่งยืนหน้ายิ้ม ๆ รอผมอยู่แล้ว ท่านเป็นผู้ชาย หน้าตาใจดี อายุคงประมาณสามสิบกว่าปี
ผมวางของแล้วยกมือไหว้
ท่านพยักหน้า บอกให้ผมไปยืนใต้ต้นไม้ข้าง ๆ ท่านคงเห็นว่าแดดกำลังจะร้อน เลยให้ไปยืนหลบแดดเสียก่อน
แต่ผมก็แปลกใจ ว่าทำไมท่านไม่ให้เข้าไปร่วมแถวกับเพื่อน ๆ ในนั้น แต่ก็ไม่กล้าถาม
สักพักหนึ่ง เด็กนักเรียนรุ่นเดียวกับผม ก็มายืนต่อจากผม
เขาเป็นเด็กชาย ร่างท้วม ใส่แว่นใสแจ๋ว กรอบทอง กระเป๋าเสื้อผ้าใบเบ้อเริ่ม
จากนั้นก็เป็นเด็กผู้หญิง ผมสั้นแค่คอ ตาโตคิ้วเข้ม เสียแต่หน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ เดินแบกเป้มายืนต่อจากเจ้าอ้วน
ไม่นานจากนั้น ก็มีเด็กผู้ชายอีกคน เขาคนนี้ตัวสูงกว่าผม ผอมกว่าผม ผมสั้นของเขาเหมือนไม้กวาดที่ถูกตัดปลายออกแล้ว
สุดท้ายก็เป็นเด็กผู้หญิง ผมยาว รวบผมไว้ด้วยริบบิ้นสีชมพู มองแว่บเดียวผมก็รู้ว่าเธอเป็นลูกอาแปะหรือไม่ก็อาม้าในอำเภอนี้แน่ ๆ ก็คิ้วของเธอเฉียง ตาของเธอตี่ แก้มขาวจนเป็นสีแดง
พวกเราทั้งหมดยืนเข้าแถวเรียงเดียว ฟังเพลงชาติที่เพื่อนนักเรียนที่เข้าแถวอยู่ร้องให้ฟัง
เป็นเพลงชาติที่ไม่เพราะเลย..
.
พวกเธอมาโรงเรียนสาย
เป็นคำแรกที่คุณครูคนนั้นพูดกับพวกเรา
วันนี้เป็นวันแรกแท้ ๆ เธอยังไม่รักษาเวลา แล้วอย่างงี้ครูจะแน่ใจได้อย่างไรว่า สี่ห้าปีที่เธอจะเรียนที่นี่ เธอจะไม่มาสายอย่างนี้อีก..
ผมเรายืนเหงื่อแตก ด้วยเพราะอากาศร้อน และกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่จะได้รับว่าจะมาแบบไหน
การเรียนที่นี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวินัย ในคำว่าวินัย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการตรงต่อเวลา..
โทษของการมาสาย ก็คือต้องเชิญผู้ปกครอง ให้มาลงนามรับทราบ หากอาทิตย์หนึ่งสายเกินสามครั้ง พวกเธอจะต้องถูกพักการเรียน..
แต่วันนี้ถือเป็นครั้งแรก ซึ่งเธอยังไม่รู้กฎระเบียบของที่นี่ ฉะนั้น ครูจะให้อภัย โดยลดโทษให้บ้าง.. เสียงของคุณครูนุ่มนิ่มน่าฟังมาก
ครูจะปล่อยให้พวกเธอไปเข้าแถว เพื่อรับการปฐมนิเทศน์ แต่เย็นนี้ ก่อนพิธีเปิดค่ายจะเริ่มขึ้น พวกเธอทุกคนจะต้องมาพบครูที่ห้องพักครู..เข้าใจไหม?
พวกเราพยักหน้า
คุณครูขยับไม้เรียวในมือดังเควี้ยว
พวกเรารีบขานรับแทบไม่ทัน
คร้าบบบบบบบบค่าาาาาาาาาา
.
จากคุณ :
แทน*-*
- [
30 ก.ค. 46 13:26:35
]