นิทานแห่งชีวิต (ปรับปรุงใหม่)

    เรื่องสั้น : นิทานแห่งชีวิต

    วันนี้ครูประจำชั้นให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับแม่ นักเรียนอาจจะเขียนถึงความเทิดทูนพระคุณของแม่ที่มีต่อลูก หรือบทบาทที่ลูกประทับใจในความเป็นแม่ ซึ่งในวันแม่แห่งชาติที่ใกล้จะมาถึงนี้ คณะครูทางโรงเรียนได้จัดการประกวดข้อเขียนทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง การตัดสินให้รางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ จะประกาศภายในงาน เมื่อใครทราบว่าเป็นผู้ชนะการประกวดแล้ว จะได้ออกมาอ่านข้อเขียนของตัวเองให้เพื่อนนักเรียนและแม่ทั้งหลายที่มาร่วมงานฟัง

    พวกเรารู้สึกตื่นเต้นมากกับงานนี้ ซึ่งปีหนึ่งก็มีเพียงหนเดียว ที่โรงเรียนได้จัดกิจกรรมดีๆ เพื่อระลึกถึงพระคุณของคุณแม่ เพื่อนบางคนคิดหนักว่าจะต้องเขียนอย่างไร บางคนยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจบอกว่าตัวเองถนัดอยู่แล้ว เพราะมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับคุณแม่ที่จะได้นำมาเขียน ฉันเองก็มีความรู้สึกอย่างนั้น ฉันจะเอานิทานก่อนนอนที่แม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งยังเด็ก ซึ่งมันยังตราตรึงประทับอยู่ในใจไม่รู้ลืม มาเขียนเป็นเรียงความส่งครู แม่ตั้งชื่อนิทานเรื่องนั้นว่า “นิทานแห่งชีวิต” และเรื่องก็มีอยู่ว่า…

    เช้ามืดของวันหนึ่ง…

    นางม้วนลุกตื่นแต่ไก่โห่ เดินลงเรือนอุ้ยอ้ายเข้าไปในครัวใต้ถุนบ้าน เพื่อจะได้ก่อไฟนึ่งข้าว ตั้งแต่นางม้วนท้องแก่และปวดท้องต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ ทิดมีจะลุกมาทำเอง แต่วันนี้ไม่รู้นางนึกยังไง บอกว่าจะเป็นคนเตรียมนึ่งข้าวใส่บาตรเอง ส่วนทิดมีกำลังวิดน้ำในโอ่งมังกรล้างหน้า ทิดมีจะต้องนำควายออกสู่ทุ่งนาแต่เช้ามืด เพราะนาอยู่ไกลกว่าจะไปถึงตะวันก็โพล่แล้ว หน้านี้ข้าวกำลังเขียวจึงจะต้องนำควายไปไว้นาตัวเอง จะปล่อยให้มันไปตามประสาไม่ได้ ข้าวกล้าคนอื่นจะเสียหายหมด

    “อ้ายทิดๆ ฉันเจ็บท้องแล้ว”
    นางม้วนร้องเรียกทิดมีซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก พร้อมกับทรุดตัวลงข้างเตาไฟ ทิดมีเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งมาพยุงขึ้นไปนั่งบนแคร่
    “เดี๋ยวนั่งรอดยู่นี่ก่อนนะ พี่จะไปบอกพ่อก่อน”

    หลังแต่งงานทั้งคู่ก็ออกเรือนมาอยู่ด้วยกันสองคน แต่บ้านเฒ่าบุญพ่อของนางม้วนก็อยู่ไม่ไกลนัก ประเดี๋ยวเดียวก็ถึง

    “พ่อ ๆ อีม้วนมันปวดท้องอีกแล้ว” ทิดมีวิ่งหน้าตื่นมาบอกพ่อตาแต่เช้ามืด
    เฒ่าบุญก็ตื่นแต่เช้าเพราะจะได้เตรียมของใส่บาตรหน้าบ้าน พร้อมทั้งไปจังหันที่วัด

    “คราวนี้ดูท่าจะไม่ไหว…แหก ๆ” ลูกเขยเหนื่อยหอบ ทั้งตกตื่นทำอะไรไม่ถูก
    “เอ็งรีบไปตามรถเจ็กน้อยซิไป เร็ว” เฒ่าบุญสำทับลูกเขยให้ไปตามรถเพื่อที่จะพานางม้วนลูกสาวเข้าโรงพยาบาลในตัวอำเภอ มือไม้อันสั่นเทาของเฒ่าบุญผู้เป็นพ่อคว้าเอายอดพุทธรักษาหน้าบ้านหลายใบ รีบรุดขึ้นลงเรือนหลายเที่ยว กว่าจะปักหลักลงตรงโคนเสาใต้ถุน นั่งพนมมือ ถือจานใส่ดอกไม้ ธูป เทียน กราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองลูกสาวและหลานน้อยที่กำลังจะคลอดออกมา

    “โอ้ย…ฉันเจ็บท้องเหลือเกิน…พ่อ” นางม้วนครางโอดโอยไปตามทาง
    “กัดฟันอดทนเอาเถิดอีนาง ลูกคนแรกของเอ็ง แม่เอ็งก็เป็นยังงี้แหละ ทนไว้ กลั้นเอาไว้ก่อน อีกหน่อยก็ถึงหมอแล้ว” พ่อเฒ่าปลอบลูกสาวอย่างเห็นใจ

    ก่อนหน้านี้เฒ่าบุญเคยพาลูกสาวมาหาหมอที่โรงพยาบาลสองครั้งแล้ว นางปวดท้องบ่อยครั้งตั้งแต่เริ่มท้องแก่ขึ้น อุ้มท้องได้เดือนที่ห้าและเดือนที่หกก็ปวดท้องหนักจนต้องพามาหาหมอ ทุกๆ ครั้งลูกสาวก็ต้องแบกรับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะช่วงนั้นหมอได้ตรวจพบความผิดปกติของเด็กในครรภ์ หมอบอกว่าขาข้างหนึ่งของเด็กน้อยไปเบียดทับกับกรวยไต ถ้านานเข้าจะทำให้ไตอักเสบและใช้งานไม่ได้ ปัสสาวะก็ไม่ได้ จะต้องเอาสายยางเจาะเป็นท่อไว้สำหรับถ่ายปัสสาวะ เวลาเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนจะรู้สึกปวดไปหมดทั้งตัว เมื่อเด็กโตขึ้นและขยับตัวบ้างก็จะทำให้ผู้เป็นแม่เจ็บปวดมากถึงกับเป็นลมล้มพับไป และถ้าโชคร้ายหน่อยก็จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของทั้งสองแม่ลูกเลยก็ได้ หมอบอกว่าจะใช้ความพยายามช่วยเหลือจนถึงที่สุด บางทีอาจต้องเข้าไปปรึกษานายแพทย์ใหญ่ในกรุงเทพ แต่ใครๆ ที่นึกสงสารนางต่างบอกให้ผ่าเอาลูกออกเพื่อรักษาชีวิตผู้เป็นแม่ไว้ เฒ่าบุญไม่มีคำพูดหรือความเห็นใดๆ ได้แต่คิดว่ามันเป็นเวรเป็นกรรม ส่วนทิดมีก็ขอร้องให้นางยอมฟังคำแนะนำของหมอบ้าง “เหลือแม่อยู่สักคนก็ดีกว่าเป็นอะไรไปทั้งสองคนนะ” แต่นางม้วนก็ไม่ได้ฟังคำแนะนำของใคร นอกจากเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ต้องปกป้อง ต้องทะนุถนอมดูแลลูกให้ถึงที่สุด แม้จะต้องแลกด้วยเลือด เนื้อ หรือชีวิตของแม่เองก็ตาม ความเป็นแม่มันฝังลึกเข้าไปในจิตวิญญาณตั้งแต่นางรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง นางกัดฟันสู้ อดทนอุ้มท้อง ทนต่อความเจ็บปวดที่แสนสาหัส ทรมาน ทนต่อความลำบากทั้งปวง จนผ่านมาถึงวันนี้ เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว นี่…เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ก็จะได้เห็นหน้าลูก และจะหายเจ็บปวดเป็นปลิดทิ้ง จะทนไม่ได้เชียวหรือ…ต้องทำได้ซิ…สิ่งที่ผ่านเข้ามาในความคิดของนางเริ่มวกวน เวียนไปเวียนมา และเหมือนมันได้พานางล่องลอยออกไปจากร่าง คล้ายดังไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ นางรู้สึกเบาหวิวเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศธาตุ…

    คงเป็นเพราะลูกน้อยสงสารแม่ บางทีสายใยสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสามารถสื่อถึงกันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดสื่อสารเลยสักคำ หนูน้อยอาจเห็นใจในความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของแม่ ทนเห็นแม่อุ้มท้องด้วยความลำบาก จึงอยากคลอดออกมาเร็วกว่ากำหนด วันนั้นซึ่งรวมระยะเวลาได้แปดเดือนพอดี ทั้งหมอและพยาบาลต่างพากันวิ่งวุ่น นึกเห็นใจต่อความทรหดอดทนของนางตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นางบอกหมอไว้ล่วงหน้าก่อนที่นางมาคลอดว่า “ช่วยชีวิตลูกของฉันให้ปลอดภัยนะหมอ ส่วนตัวฉันเป็นหรือตายไม่ว่า” หมอพยายามอย่างสุดความสามารถก่อนที่จะรักษาชีวิตของทั้งสองแม่ลูกคู่นี้ไว้ได้อย่างปลอดภัย

    แม่เคยเล่านิทานเรื่องนี้ให้ฟังก่อนนอนตอนฉันอายุเจ็ดขวบ เมื่อฉันโตขึ้น ฉันก็ยังไม่เคยลืมมันเลย และฉันคิดว่ามันเป็นนิทานแห่งชีวิตของฉัน ที่แม่เล่าให้ฟังนั่นเอง ฉันจะขอเอานิทานที่คุณแม่เล่าให้ฟังเรื่องนี้มาเป็นข้อมูลเขียนเรียงความส่งครู และในวันแม่แห่งชาติที่จะมาถึงนี้ ฉันอาจจะได้ออกไปอ่านเรียงความ ไปเล่าความประทับใจในพระคุณของแม่ให้เพื่อนในโรงเรียนและคุณแม่ของคนอื่นๆ ฟังก็เป็นได้ใครจะรู้


    -----------------------------------------

    เรื่องสั้นนี้เป็นฉบับปรับปรุงใหม่ ขยายให้ยาวขึ้น ทุกท่านที่ได้อ่าน ช่วยแนะนำ วิจารณ์หน่อยนะครับ เผื่อมันดี คิดว่าจะส่งไปตีพิมพ์ครับ

    จากคุณ : Tiger370 - [ 1 ส.ค. 46 09:48:38 A:203.113.61.71 X: ]