ไม่ว่าดวงตะวันจะตกอีกกี่ครั้ง

    เขาไม่เคยเปลี่ยนไปจากที่ฉันจำได้.

    แม้ภาพตรงหน้าจะไม่ใช่หนุ่มน้อยในชุดนักเรียนมัธยมปลาย ที่ไว้ผมรองทรงตัดสั้น หน้าสวยและยิ้มใส
    แต่ฉันรู้ว่าถ้าเขาพับแขนเสื้อเชิ้ตที่ใส่ให้สูงขึ้นไปอีกนิด
    จะเห็นรอยแผลเป็นจากรั้วลวดหนามที่เขาปีนข้ามเข้ามาทางแปลงเกษตรในวันที่มาโรงเรียนสาย
    ไม่น่าเชื่อว่าโลกมันกลมพอที่จะหมุนให้เรากลับมาเจอกันได้   ตอนที่อยู่ๆเขาก็โผล่พรวดเข้ามาทักฉันเองยังตกใจ
    แต่ก็ยินดีพอที่จะงดโปรแกรมทั้งหลายที่วางไว้ในเย็นวันศุกร์ไป   เพื่อที่จะได้มานั่งกินข้าวกับเขาอยู่ในขณะนี้

    ฉันแอบมองเขาเงียบๆระหว่างที่เขาง่วนอยู่กับรายการอาหารตรงหน้า
    กำลังสังเกตรอยย่นบางๆที่บริเวณหน้าผากและหางตา ก็พอดีกับจังหวะที่เขาเงยหน้า ตาสบตา
    เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ.

    ดวงตาคู่นั้นยังฉายรอยรู้เท่าทัน รื่นรมย์และฉลาดล้ำ  ดวงตาคู่ที่ทำให้เขากลายเป็นรักแรกของฉัน
    แม้วันนี้ฉันอาจจะไม่ได้รักเจ้าของดวงตาคู่นั้น  แต่ฉันยังคงรักสิ่งที่ปรากฏชัดในมันเสมอ

    เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้รื่นรมย์.

    ++++

    '' ยังไม่กลับอีกเหรอ ''
    คำถามแปลกใจทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือกองโตที่คร่ำเคร่งอ่านมาตั้งแต่เย็น
    ตะวันรอนทอแสงสีชาเข้มๆเข้ามาทางหน้าต่าง  จับดวงหน้าคนถามให้พลอยเข้มจนคร้าม ทั้งๆที่จริงๆนั้นเจ้าตัวค่อนข้างขาว

    '' กลับแล้วคงนั่งอยู่นี่หรอก ''
    ฉันตอบเหมือนชวนหาเรื่อง แต่หัวใจกลับเต้นผิดจังหวะไป   ในความเป็นจริงที่ความรักไม่ได้มีบทพูดซาบซึ้งเหมือนอยู่ในเทพนิยาย
    มันกลับเลือกที่จะเดินมาเคาะประตูหัวใจของฉันอย่างเรียบๆง่ายๆ  ภายใต้หน้าตาของเพื่อนคนหนึ่ง
    ซึ่งแต่ไหนแต่ไรต่างฝ่ายต่างก็ไม่เคยทำซึ้ง  เราจึงได้แต่คอยต่อปากต่อคำกันอยู่อย่างนี้  
    บางคำพูดอาจฝืนกับความรู้สึกและหัวใจ
    แต่ก็ช่วยทำให้เราวางตัวง่ายและควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจเวลาที่อยู่ใกล้ๆกันได้ค่อนข้างดี

    '' ถามดีๆนะนี่ๆ ถามดีๆ ''
    คนโดนย้อนบ่นอุบอิบ  ยันตัวขึ้นนั่งบนกรอบหน้าต่าง  บังแสงสว่างจนอ่านหนังสือไม่ได้

    '' มองไม่เห็น ลงไป ''
    ฉันออกปากไล่  แล้วพยายามดึงสมาธิให้กลับมาจดจ่ออยู่กับหนังสือตรงหน้า  แต่คนชอบแกล้งกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับลุกให้
    แถมยังมีหน้ามาฮัมเพลงหงิงๆอย่างจะเรียกร้องความสนใจ  กำลังจะหันไปว่าอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
    ฉันก็ต้องหยุดมองเสี้ยวหน้ากระจ่างแจ่มใสของคนที่กำลังทอดตามองออกไปนอกหน้าต่าง


    อยู่ๆเขาก็หันกลับมา ตาสบตา  ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่หัวใจกระตุก
    คิดว่าจะลุกขึ้นเก็บของเดินหนีไปเสียเอง ก็พอดีกับที่เขาเรียก

    '' พิมพ์เดือน  มาดูอะไรนี่สิ ''
    น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนอย่างที่น้อยคนนักจะเคยได้ยินจากปากคนหน้าทะเล้น  ก็เสียงแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ และแววตาแบบนี้แหละ
    ที่ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนความตั้งใจ และเดินไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆเขา

    '' สวยไหม ''
    คำถามแผ่วเบา ราวกับดังมาจากที่ไหนสักแห่งที่ไกลแสนไกล ราวกับคนพูดกลัวว่าเสียงถามจะทำลายเวทมนต์ที่หัวใจเราสัมผัสได้
    ในยามดวงตะวันกำลังจะจมหายไปในทุ่งข้าวข้างโรงเรียน

    ฉันไม่ได้ตอบคำถามนั้น เราเพียงแต่ซึมซับภาพที่เห็นด้วยกัน
    ลมรำเพยพัดผ่าน ยอดต้นข้าวสีทองเป็นระลอกไหว สายลมเลยมาสัมผัสตัวเขา สัมผัสตัวฉันแล้วพัดผ่านไป
    ขณะนั้นเราได้ยินเสียงหัวใจของเราเต้นไปพร้อมๆกัน

    จนเนิ่นนานหลังจากนั้น มีบ่อยครั้งที่ฉันยังนึกถึงเขาในเวลาที่มีโอกาสเฝ้ามองตะวันตกดิน

    ++++

    '' สวยไหม ''
    คำถามที่ดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้ฉันมองตามสายตาเขา  นอกหน้าต่างกระจกใส ผู้คนมากมายกำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน
    อยู่ๆฉันก็นึกอยากเห็นดวงตะวัน อยากดูมันตกดินกับเขาอีกสักครั้ง ก่อนจะกล่าวคำลา
    แต่แล้วก็คิดได้ว่า ถึงออกไปยืนที่ข้างนอกนั่น ตึกสูงๆก็คงจะบังจนมองไม่เห็นอยู่ดี
    แต่ไม่เห็น ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี ..

    '' แดดเปลี่ยนสี ตะวันคงใกล้ตกดินเต็มที ''
    เขาก็เป็นเสียอย่างนี้ มีอารมณ์สุนทรีย์ที่ทำให้ฉันพลอยหวั่นไหว  นึกถึงวันจบการศึกษา วันที่เราต้องแยกทางต่างคนต่างไป
    ทั้งๆที่ยังไม่มีใครสักคนเอ่ยปากถึงความรู้สึกที่อยู่ในใจ  อยู่ๆเขาก็โผล่พรวดเข้ามาเหมือนอย่างวันนี้
    จับมือฉัน และบอกว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ขอให้เรามีความรู้สึกดีๆต่อกันอย่างนี้ตลอดไป
    วันนั้นฉันร้องไห้

    ไม่น่าเชื่อว่ามันจะผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว ..

    ++++

    เขาไม่เคยเปลี่ยนไปจากที่ฉันจำได้
    ความรักอาจจะเดินเข้ามา และเดินจากไป
    แต่ความทรงจำที่งดงามยังคงแจ่มใส
    ไม่ว่าดวงตะวันจะตกอีกกี่ครั้ง .

    จากคุณ : เจ้าหญิงน้อย - [ 1 ส.ค. 46 14:44:30 A:202.57.178.212 X: ]