***เรื่องสั้นศึกหกภพ "ห้วงวรุณ" ตอนที่ ๓ การล่มสลายของระบบบุญ***

    ๓.

    ปีดาวดึงส์ศักราชที่ ๑๑๖๕ ห้าปีหลังจากกวนน้ำอมฤตสำเร็จ ระบบบุญดำเนินไปอย่างราบรื่น สถิติการทำความชั่วลดน้อยถอยลงเรื่อยๆเพราะผู้คนกลัวบาป ในขณะที่ความดีถูกแผ่ขยายกว้างขวางออกไปเรื่อยๆ หากจะเรียกโลกในช่วงเวลานี้ว่า ‘ยุคแห่งท้องฟ้าสีทองและแผ่นดินสีเขียว’ อย่างคำขวัญที่พวกเทพตั้งขึ้นเมื่อประกาศใช้ แผนวรุณก็ไม่ผิด

    พระวรุณยินดีกับข้อเท็จจริงข้อนี้ จะมากจะน้อยความดีก็ยังคงเป็นความดีไม่ว่าจะถูกใช้ในสถานการณ์ใดหรือเพื่ออะไร แม้แผนของเขามีข้อเสียร้อยข้อ แต่ก็มีประโยชน์ที่ทำให้สังคมโลกร่มเย็นเป็นสุขย่อมหักกลบลบล้างลงได้อย่างสบาย

    ความดีย่อมนำมาสู่ความสมบูรณ์พูนสุข ชาวมนุษย์ที่อิ่มหมีพีมันบวงสรวงเทพเจ้ามากขึ้น และเทพเจ้าก็บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ

    ปัญหาที่ตามมาพร้อมกันและมองเห็นได้จากสายตาของพระวรุณผู้อยู่มานานคือ ขณะนี้พวกเทพฟุ้งเฟ้อขึ้นกว่าเมื่อพันปีก่อนมาก เทพชายหญิงแต่ละองค์หากมิใช่แก้วแหวนเงินทองที่ล้ำค่าไม่เหมือนใครก็จะไม่ยอมใส่ หากมิใช่อาหารซึ่งโอชาประณีตจริงๆก็จะขว้างทิ้ง

    มีคำกล่าวหญิงชาวมนุษย์ซึ่งมีสกุลสูงมีความงามล่มเมือง ได้ชำระล้างร่างกายอย่างสะอาดบริสุทธิ์แล้วเก้าคาบ ประทินเครื่องหอมอย่างวิเศษอีกเจ็ดคาบ เมื่อนำตัวขึ้นสวรรค์ไปให้พวกเทพดูยังบอกกันว่าเหม็นสาปเต็มทนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ทั้งนี้เพราะมาตรฐานการดำรงชีวิตของคนและเทพต่างกันเกินไป

    เทพในขณะนี้แบ่งเป็นสองพวกอย่างเห็นได้ชัด คือพวกที่ฉลาดมีความสามารถซึ่งขึ้นมาบริหารระบบบุญให้ดำเนินไป กับพวกที่เหลือซึ่งเกิดมาเสพความสบายจากระบบนั้น
    พวกหลังนี้เป็นคนส่วนใหญ่ซึ่งนับวันจะสนใจเหตุการณ์บ้านเมืองน้อยลง และแสวงหาความสุขแบบปัจเจกชนไปเรื่อยๆ ซึ่งพวกแรกก็พอใจเพราะทำให้ปกครองง่าย

    พระวรุณเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กังวลกับปัญหานี้ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงคิดว่านั่นเป็นเพียงข้อเสียหนึ่งในร้อยข้อที่ข้อดีของระบบบุญจะหักกลบลบล้างอยู่นั่นเอง

    ปัญหาที่แท้จริงคือเวลานี้ยังมีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ยอมรับระบบบุญ!

    พวกชัยฏอนเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์อยู่ทางตอนเหนือของมนุษย์ภูมิ มีหน้าตาคมสัน ผมหยิก ผิวขาว นอกจากนั้นเพราะอาศัยในที่ราบสูงซึ่งห่างไกลผู้คน พวกชัยฏอนจึงมีภาษา วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตแตกต่างกับมนุษย์ทั้งปวงอีกด้วย
    ความต่างนี้มีมากจนกระทั่งมีตลกขำขันว่าระยะห่างแห่งการเปรียบเทียบของพวกชัยฏอนกับคนทั่วไปนั้น คงไม่น้อยไปกว่าระยะห่างระหว่างคนกับลิงเป็นแน่

    อย่างไรก็ตามประการอื่นๆนั้นไม่เป็นปัญหาเท่ากับการที่พวกชัยฏอนมีทัศนะขัดแย้งกับ ‘กฎแห่งความดี’ ที่พระวรุณและพระเจ้าสูงสุดตั้งขึ้นแทบจะโดยสิ้นเชิง

    พวกชัยฏอนไม่ปรนนิบัติพ่อแม่ คนเมื่อแก่จนทำอะไรไม่ได้จะถูกลูกชายของตัวเองสังหาร
    พวกชัยฏอนไม่ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ คนที่อ่อนแอจะต้องเป็นทาสของคนที่แข็งแรง หรือไม่ก็ถูกฆ่า
    พวกชัยฏอนไม่ทำบุญทำทานเว้นแต่เลี้ยงแขก ซึ่งก็จะเลี้ยงอย่างดีที่สุดเช่นกัน

    ชาวชัยฏอนสร้างบ้านที่ทำขึ้นจากขี้ม้าขี้วัว นุ่งห่มด้วยหนังสัตว์ มีความสำราญจากการดูการประลองฝีมือกันถึงตายของสมาชิกในเผ่า ทั้งยังบูชาเทพเจ้าที่สร้างขึ้นมาเองชื่อว่า ‘องค์ตัยซีร’ มีรูปลักษณ์เป็นคนตัวดำทมึนถือดาบและศีรษะมนุษย์ ซึ่งในสายตาของพระวรุณหากเทียบวัฒนธรรมเหล่านี้กับของชาวอารยะแล้วนับว่าป่าเถื่อนเต็มที

    เทพแห่งน้ำพลิกดูเอกสารเก่าๆเกี่ยวกับพวกชัยฏอน พิจารณาถึงองค์ประกอบทั้งสภาพแวดล้อมภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ เขาพบว่าบางทีวิถีทางเดิมของพวกนี้ก็พอมีเหตุผลอยู่บ้าง

    ทุ่งหญ้าของชัยฏอนแห้งแล้ง คนที่อยู่ได้คือคนเข้มแข็ง คนอ่อนแอจะเป็นตัวถ่วงของเผ่าจึงต้องถูกกำจัดหรือลดสถานภาพลง
    ชัยฏอนไม่ทำทานเพราะมีทรัพย์น้อย แต่ที่มักจะเลี้ยงแขกให้ถึงที่สุดเพราะการเดินทางคนเดียวในทุ่งหญ้าชัยฎอนนั้นลำบากมาก ดังนั้นจึงต้องอาศัยการช่วยเหลือกันสูง กฎของชัยฏอนเป็นกฎที่ตราขึ้นเพื่อความอยู่รอดไม่เกี่ยวกับความดีหรือเลวอย่างใด

    พวกชัยฏอนอาจไม่ผิด กลุ่มชนแต่ละพวกย่อมมีมุมมอง ‘ความดี’ ของตนแตกต่างกัน แต่ถ้าหากไร้กฎแห่งความดีที่เป็นสากล แล้วอะไรล่ะที่จะเรียกเป็นความดีได้?

    ถ้าไม่มีความดีก็ไม่มีระเบียบ และนั่นคือสิ่งที่พระวรุณมิอาจยอมรับเด็ดขาด

    เนื่องจากเขาไม่อยากใช้กำลังทหาร จึงส่ง ‘ธรรมทูต’ ทั้งมนุษย์และเทพไปติดต่อกับพวกชัยฏอน ชี้แนะถึงแนวทางอันถูกต้องเที่ยงแท้ นำเอาคัมภีร์คำสอนในระบบบุญพร้อมทั้งแก้วแหวนเงินทองแพรพรรณต่างๆไปแสดงให้ เกาะกอ หัวหน้าเผ่าชัยฏอนดูถึงความรุ่งเรืองอันจะเกิดจากการยึดถือระบบเดียวกันนี้

    “ขณะนี้โลกทั้งโลกกำลังอยู่ภายใต้ระบบแห่งความดีอย่างเดียวกันหมดและกำลังก้าวสู่ความรุ่งเรืองพร้อมๆกัน ขาดเพียงชนเผ่าของท่านเท่านั้น ท่านไม่คิดจะร่วมวงศ์ไพบูลย์นำชัยฏอนไปสู่อมตภาพแห่งการเสวยสวรรค์บ้างเทียวหรือ?” ธรรมทูตกล่าวโน้มน้าวเช่นนี้

    หากคำตอบของเกาะกอกลับเป็นเหตุผลไร้สาระที่ว่า อมตภาพไม่มีจริง และถึงมีเขาก็ไม่ยอมรับเด็ดขาดเพราะนั่นเป็นการทำตนเสมอองค์ตัยซีร นอกจากนั้นแก้วแหวนเงินทองในสายตาของชาวชัยฏอนก็ไม่ต่างจากก้อนกรวด “ท่านอยู่ส่วนของท่าน เราอยู่ส่วนของเรา หากโลกทั้งโลกคิดจะเปลี่ยนแปลงเราก็เชิญแต่ขอเตือนว่าหอกดาบของชาวชัยฏอนนั้นแหลมคมเช่นกัน” เกาะกอกล่าวก่อนจะตะเพิดทูตกลับไปอย่างไร้มารยาท

    พระวรุณหัวเสียกับคำตอบที่โง่เขลาและไม่ประมาณตนนี้ ความจริงเขาเคยเจอเผ่าชนที่ยึดมั่นถือมั่นกับวัฒนธรรมของตนเองมาหลายเผ่าแล้ว แต่ไม่มีเผ่าใดดุร้ายนักจึงยังพอเผยแผ่ระบบบุญเข้าไปได้

    แต่พวกชัยฏอนนี้ต่างกัน เขาพบว่าคนพวกนี้หัวรุนแรงและติดยึดกับวัฒนธรรมของตนเองมากที่สุด ทำให้กล่อมเกลาได้ยากมาก

    อย่างไรก็ตามเขายังคงเพียรส่งธรรมทูตไปเผยแพร่ระบบบุญให้ชาวชัยฏอนตั้งแต่ระดับผู้ปกครองจนถึงชาวบ้านฟังเรื่อยๆ หวังให้คนเหล่านี้ฟังธรรมทุกค่ำเช้าจิตใจค่อยๆเปลี่ยนเป็นดีขึ้นเอง หากปรากฏว่าหนักเข้าทูตคนหนึ่งก็ถูกเกาะกอส่งกลับมาแค่ศีรษะพร้อมทั้งยืนยันว่า “ท่านอยู่ส่วนท่านเราอยู่ส่วนเรา”

    ความจริงพระวรุณอาจใช้นี่เป็นข้ออ้างในการนำกำลังเทพกวาดล้างคนป่าเถื่อนพวกนี้ก็ได้ แต่เขาพยายามหักใจให้สงบและตัดสินใจให้โอกาสสุดท้ายโดยการเชื้อเชิญเกาะกอไปพบพระเจ้าสูงสุดด้วยตนเอง โดยสมมุติฐานที่ว่าหากเกาะกอได้ยลบารมีภาพอันไร้ขอบเขตของพระเจ้าบนสวรรค์แล้วก็จะสิ้นทิฐิมานะ หันมานับถือระบบบุญตามชาวอารยะและละทิ้งองค์ตัยซีรบ้าบออะไรนั่น

    เกาะกอตอบตกลงเรื่องนี้ง่ายๆ ด้วยประเพณีที่หัวหน้าเผ่าชัยฏอนพึงแสดงความกล้าหาญให้บริวารดูโดยรับทุกคำท้าและเอาชนะมัน

    ดังนั้นเมื่อดูวันเวลาดีแล้วพระวรุณก็พาเกาะกอขึ้นสวรรค์ไวกูณฐ์ไปเฝ้าพระนารายณ์ ทั้งสองหมอบคลานไปเฉพาะหน้าพระเจ้าสูงสุด ขณะนั้นพระนารายณ์กำลังบรรทมอยู่บนหลังของพระยาอนันตนาคราช ข้างกายมีพระลักษมีเทวีคอยพัดวีปรนนิบัติ ดวงพักตร์ผ่องแผ้วน่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก

    พระวรุณถึงกับน้ำตาไหลเมื่อยลพระบารมี เขาหันไปทางเกาะกอ เห็นว่ากำลังน้ำตาไหลเช่นกันจึงพูดว่า “เป็นอย่างไรล่ะท่าน นี่แหละคือพระเจ้าสูงสุดที่แท้”

    เกาะกอร้องไห้กล่าวว่า “โอ... ถูกของท่าน ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะสามารถพาข้ามาพบพระองค์ได้ โอ ข้าตายตาหลับแล้ว ...ข้ายอมแพ้แล้ว”

    พระวรุณกระหยิ่มเล็กน้อย “ทีนี้ท่านคงจะละทิ้งตัยซีรอันงมงายได้เสียที”

    เกาะกอหันหน้าขวับ “หมายความว่าอย่างไร? จะให้ข้าละทิ้งองค์ตัยซีร!!!” เขากล่าวอย่างกราดเกรี้ยว

    “ก็ท่านเห็นรูปลักษณ์ที่แท้ของพระนารายณ์พระเจ้าสูงสุดแล้ว และยังยอมรับเองมิใช่หรือ?”

    “พูดบ้าๆ ที่ท่านพาข้ามาดูคือองค์ตัยซีรต่างหาก ไม่เห็นหรือพระองค์กำลังนอนอยู่ซากศพ ข้างกายมีดาบและศีรษะมนุษย์ดูขึงขังทีเดียว!”

    พระวรุณหันไปอีกทีก็เห็นเป็นพระนารายณ์แต่งกายงดงามหลับอยู่บนหลังพระยาอนันตนาคราชเช่นเดิม จะกลายเป็นองค์ตัยซีรที่มีลักษณะตรงกันข้ามทุกประการได้อย่างไร จึงเข้าใจว่าเกาะกอต้องมีปัญหาเรื่องสายตา

    แม้กระนั้นเขาก็ไม่กล้าปลุกพระนารายณ์ขึ้นมาชี้แจงกับเกาะกอ จึงถอยไปโต้เถียงกันข้างนอก สรุปว่าหัวเด็ดตีนขาดพระวรุณเห็นพระนารายณ์เป็นพระนารายณ์แน่ๆ ส่วนเกาะกอเห็นพระนารายณ์เป็นองค์ตัยซีรแน่ๆ

    เมื่อคุยอย่างไรก็ไม่เข้าใจเกาะกอจึงยื่นคำขาดเหมือนเดิมว่า “ท่านอยู่ส่วนท่านเราอยู่ส่วนเรา หากท่านยังมายุ่งกับเราแม้เพียงหนเดียวเราจะทำสงครามสั่งสอนที่ท่านเอาองค์นารายณ์บ้าบออะไรนั่นมาอ้างหมิ่นองค์ตัยซีร”

    ฟังดังนั้นความโกรธของสาวกนารายณ์ผู้ซื่อสัตย์อย่างพระวรุณก็ปะทุ เขาจึงใช้อำนาจออกคำสั่งให้ปราบปรามพวกชัยฏอนด้วยกำลังทหารทันที โดยไม่รอให้เรื่องผ่านเทวสภาด้วยซ้ำ

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 48 15:46:14

    จากคุณ : เชษฐา - [ 1 ส.ค. 46 16:38:36 ]