+:+:+ ผู้เป็นที่รัก :+:+:+

                                       

                                  มีใครไหมค่ะ ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่มีใครรัก ?!  
             

                 ยีคนหนึ่งละคะ ที่ไม่เชื่อจริงๆว่าไม่มีใครที่ไม่เคยถูกรัก  หรือไม่เป็นที่รัก    ถึงเจ้าตัวจะยืนยันว่าไม่มีใครรัก ก็ตาม  
                 จริงๆนะ..  อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีใครสักคนละ ที่รักคุณ…. เพียงแต่เจ้าตัวจะรู้หรือไม่เท่านั้นเองว่า  ตัวเองเป็นที่รักของใครสักคนเหมือนกันนะ…  
                 แต่คิดอีกที…บางทีคนที่คิดว่าตัวเองไม่เป็นที่รักนี่…อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้รับความรักจากคนที่เขาต้องการ หรือคนความรัก ส่งความรักมาให้ผิดแบบ  ก็เลยทำให้ มองไม่เห็นถึงความรักของคนอื่นที่มีให้เขาเสมอมาก็ได้มั้ง

    +++++++++++++++++

                 ฮิ ฮิ  จะมีใครหมั่นไส้ยีหรือเปล่านะ  ถ้ายีจะบอกว่า ยีไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขาดความรักเลย    ถึงบางครั้งตัวยีเองจะ  มีความเศร้า ความทุกข์ บ้าง(ตามประสาวัยของหนูยี) แต่ก็จะมีใครค่อยอยู่ข้างๆเสมอ..
    จนรู้สึกว่า  ความรักที่ได้รับมา  กลายเป็นความเคยชินที่แสนธรรมดาไป…..

                .
                 .
                 .
                 .

                 ครอบครัวของยีเป็นครอบครัวคนจีน  ยีก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ครอบครัวคนจีนครอบครัวอื่นจะเป็นเหมือนครอบครัวยีหรือเปล่า  คือ จะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกพึงพอใจออกมาให้รู้(โดยเฉพาะอาม่าของยีเอง)  ทำอะไรดี มานี่ ไม่มีการชมให้กำลังใจกันนะ   ถึงจะรู้สึกชื่นชมก็จะไม่ยอมบอกให้เจ้าตัวรู้เด็ดขาด …(ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเก็บไว้ทำไม)    แถมยังชอบเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบให้รู้สึกตัวเองต่ำต้อยลงไปอีก…  ยิ่งเวลาทำผิดเหมื่อไหร่  จะโดนกระหน่ำซ้ำเติมทันทีด้วย..(ทีแบบนี้ไม่ยักจะเก็บไว้แฮะ)    

                 เพราะงั้นหลายครั้งเลยที่ยีอยู่กับอาม่าก็จะสงสัยเหลือเกินว่า  อาม่ารักยี เหมือนที่รักพี่อู๋หรือเปล่า     เพราะอยู่ด้วยกันทีไร  ยีโดนอาม่าบ่น  ว่าแต่ความไม่ดีของยีทุกที  เรื่องดีๆ ที่ยีทำหวังจะให้อาม่าชม ก็ไม่เคยชมเลยสักครั้ง  แต่ทีพี่อู๋นะ ชมเอาชมเอาให้ยีฟัง..(ยกเป็นตัวเปรียบเทียบยีให้จมดินอีกต่างหาก)  ยีกับอาม่าก็จะเถียง บางทีถึงขึ้นทะเลาะกันบ่อยมากๆ
                 
                 บ่อยครั้งก็น้อยใจนะว่า อาม่ารักหลานไม่เท่ากัน…ทั้งๆที่ความจริงน่าจะรักยีมากกว่า…………
           
    จริงๆนะ!!   ก็ยีเป็นคนที่อยู่กับอาม่ามากที่สุดนี่  ก็น่าจะรักมากว่าคนอื่นจิ  

                 แล้วเรื่องที่ทำให้ยีน้อยอกน้อยใจเป็นที่สุด..ก็เมื่อยีสอบ เอ็นทร์ทราซติดเข้ามหาวิทยาลัยได้
    แทนที่อาม่าจะดีใจกับยีด้วย…
                 เมื่อยีเล่าให้ฟัง   อาม่าไม่แสดงความยินดียินร้ายกับยีเลย  แถมยังบ่นว่ายีอีกต่างหาก ว่าเลือกเข้ามหาลัยแบบนี้ไม่ดี   …..  ทำให้ยีแอบไปนอนร้องให้เลย…  ติดมหาลัยได้นี่ ไม่ดีตรงไหนกัน….

                 ไม่เข้าใจอาม่าในตอนนั้นจริงๆคะ  ไม่ดีใจไม่ว่า   แต่เรื่องที่ไม่พอใจว่ายีสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นี่  ไม่ดีตรงไหน   อาม่าจะบ่นว่ายีทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ด้วยเรื่องนี้เรื่องเดียว      กว่ายีจะสอบเข้าไปได้นี่ ไม่ใช่เล่นเลยนะคะ  ยีต้องทุ่มเทขนาดไหนอะ…ถึงจะเห็นยีอู้ไปบ้าง   ขี้เกียจไปบ้าง  แต่ยีก็ทุ่มเท จนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยจนได้…. มาเจอปฎิกิริยาแบบนี้    ยีก็น้อยใจเสียใจ เหมือนกันนะ….

                 แต่ถึงอาม่าจะบ่นจะว่าอย่างไรก็ตาม   ยังไง ยีก็ต้องไปเรียนอยู่ดี  ….  

                 และแล้วยีก็มาอยู่หอจนได้ค่ะ   เมื่อยีมีความจำเป็นต้องออกจากบ้านมาแบบนี้  น้องชายของยี ก็เลยต้องไปอยู่เป็นเพื่อนอาม่าแทนยี    ….  แล้วก็ให้น้อยใจอีกแล้ว… คิดว่า ตอนที่ยีโฮมซิก คิดถึงบ้าน คิดถึงหม่าม๊า ปะป๊า แล้วก็อาม่า       อาม่าก็คงไม่คิดถึงยี   เพราะว่า มีน้องชายของยีไปอยู่เป็นเพื่อนแทนอยู่แล้ว (ก็คนจีนชอบหลานชายมากกว่าหลานสาวนี่ค่ะ)  ทำให้น้อยใจน้ำตาซึม ยิ่งบวกอาการคิดถึงบ้าน ยิ่งแย่ไปใหญ่ ..

                 แล้วความคิดก็เกเร  บอกว่าไม่มีใครคิดถึงยีเลย   ไม่เห็นมีใครที่บ้านโทรมาหายีเลย… .. ปล่อยให้ยีเหงาอยู่คนเดียว….  ทนไม่ไหว  เลยต้องเป็นฝ่ายโทรไปหาเอง  … ปะป๊ารับสาย …คุยได้นิดๆก็น้ำตาซึม เพราะคิดถึงบ้านมากๆ… บ่นๆว่าคิดถึงบ้าน แล้วก็รีบวางสายแอบมานั่งร้องให้ต่อ …. จากนั้นก็กระหน่ำโทรศัพท์โทรหาเพื่อนๆ พี่ๆ กันสนั่น…

                 แต่วันต่อมา…หลังจากความคิดเริ่มกลับตัวเป็นเด็กดีแล้ว  ….  ตอนเย็นๆ  ปะป๊าก็โทรมาหา  
    ยีออกจะแปลกใจมาก เพราะปกติยีอยู่ที่นี่  ไม่มีใครทางบ้านโทรหายีเลยสักคน..  แต่วันนี้ปะป๊าโทรมา..
    คุยกันทั่วไป   แต่ยีรู้สึกได้ค่ะ….. ปะป๊าเป็นห่วงยีแน่ๆเลย  …  จากทียีโทรไปหาแล้ว ปะป๊าคงรู้ว่าลูกสาวคนนี้  ผิดปกติ  วันนี้เลยโทรหา…  ซึ้งใจจนน้ำตาจะไหล(อีกแล้วอะ)    

                 ก็เพราะโรคคิดถึงบ้าน ทำให้ยีวางแผนเป็นเด็กเกเร  โดดเรียนกลับบ้านก่อนกำหนดหนึ่งวัน… การโดดเรียนกลับบ้านครั้งนี้ ยีไม่เสียใจเลยจริงๆนะ..(ออกจะดีใจด้วยซ้ำ)   เพราะถ้ายีไม่โดดเรียนกลับบ้านวันนี้ละก็ …ยี คงไม่รู้ว่า    ยีเป็นที่รัก มากขนาดนี้   …..

                 วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีค่ะ … เนื่องจากมีงานปฐมนิเทศเอก ที่จัดขึ้นที่ประสานมิตร  วันนี้ไม่มีเรียนทั้งวัน รุ่นพี่จะเอารถมารับที่นครนายกไปร่วมงานที่ประสานมิตร  ยีก็วางแผนเก็บของกลับบ้านในวันนี้เลย   หลังจากเลิกงานปฐมนิเทศแล้ว   ยีก็จะแผ่นกลับบ้านทันที ไม่สนใจใคร..  แล้วก็ไม่ได้โทรบอกอาม่าก่อนด้วยว่ายีจะกลับ..

                 หลังจากที่ติดแหงกอยู่บนถนน เกือบ 3 ชม.ยีก็ถึงบ้านจนได้…แวะหาหม่าม๊ากะปะป๊า ก่อน ….แล้วจึงกลับบ้านไปหาอาม่า….

                 วันนั้นเป็นวันที่พี่อู๋มาหาอาม่าด้วย  ….  ทุกคนต่างแปลกใจกันใหญ่ว่า ยีกลับมาได้ไง   แล้วสิ่งที่ยีไม่คิดว่าจะได้เห็น  ยีก็ได้เห็น…..

                 อาม่า คนที่ไม่ว่ายีจะทำอะไรก็ดูจะไม่เป็นที่พอใจ  แล้วก็จะบ่นๆ ว่าๆ หรือแทบจะไม่ชมยีเลยเมื่อยีทำอะไรดีๆ   มีแต่จะซ้ำเติมเมื่อยีทำอะไรผิดพลาด  …

                 แต่เมื่ออาม่าเห็นยีกลับมาบ้านอย่างไม่ทันตั้งตัว…สิ่งที่ยีเห็นมาก่อนอื่น คือ  “รอยยิ้ม” ของอาม่า ..
    เป็นรอยยิ้มที่บงบอกถึงความดีใจ  และเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความสุขออกมา …  เป็นรอยยิ้มที่เวลาอาม่าดีใจมากๆเท่านั้นถึงจะยิ้มออกมา   แล้วก็เป็นรอยยิ้มที่ยีรู้สึกว่า อาม่ายิ้มได้มีความสุขมากที่สุดเท่าที่ยีเคยเห็นด้วย(เข้าข้างตัวเองสุดๆเลยแฮะ)  

                 ถึงจะเป็นรอยยิ้มเพียงไม่นานที่ปรากฏบนใบหน้าของอาม่า    แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ยีจะไม่มีวันลืมไปได้เลยค่ะ   เพราะรอยยิ้มนั้นเพียงรอยยิ้มเดียว …. ทำให้ยีรู้ว่า … อาม่าก็คิดถึงยีเหมือนกัน  แล้วก็ไม่ได้คิดถึงธรรมดานะ  แต่คิดถึงมากๆๆๆๆ ด้วยละ…   และรอยยิ้มนั้น ก็เป็นรอยยิ้มที่อาม่ามีให้ยีคนเดียวโดยเฉพาะเลยด้วย…

                 แต่ท่าทางของอาม่าก็ยังเป็นอาม่าที่ไม่แสดงความรู้สึกตอนนั้นออกมาอยู่ดี … คือทำทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องปกติ  ไม่ยินดีหรือทำท่าแปลกใจเกินไป(ถึงแม้ว่าจะดีใจมากๆ)  ออกมาให้ใครเห็น   แต่ตอนนี้แล้ว ถึงอาม่าไม่ทำ  ยีก็รู้แล้วค่ะว่า  อาม่ารู้สึกยังไง….

                 แล้วยังพี่อู๋ ที่แอบมากระซิบบอกยีอีกว่า…

                 ”อาม่าคิดถึงยีมากนะ” …
                 
                 “พี่อู๋รู้ได้ไง”

                 “ก็วันนี้พี่แซวอาม่าไปสิ   ว่ายีไม่อยู่แล้วเหงาหรือเปล่า”

                 “แล้วอาม่าว่าไงอะคะ”

                 “อาม่าก็ปากแข็งละว่า  เหงาทำไม..อั๊วไม่เห็นเหงาเลย อั๊วอยู่คนเดียวได้”  แล้วพี่อู๋ก็ทำเสียงล้อเลียนอาม่า  ไปด้วยเล่าไปด้วย..  
         
                 “แต่พี่รู้ว่า อาม่าคิดถึงยี  เพราะอาม่าดูซึมๆไปละ” …

                 พี่อู๋นี่ นานๆถึงจะทำเรื่องดีๆสักทีนะคะ   ฮิ ฮิ   ถึงไม่บอกยีก็รู้แล้วละว่าอาม่าคิดถึงยีขนาดไหนอะ.. แต่มาบอกก็ดี…ยีจะได้มั่นใจยิ่งๆๆๆ ขึ้นอีก(ถึงจะมั่นใจอยู่แล้วก็เถอะ) ว่าที่ยีรู้สึกนะ เป็นความจริง    แล้วยังได้รู้อีกด้วยว่า ที่อาม่าบ่นๆเรื่องมหาวิทยาลัยที่ยีสอบเข้าได้   ก็เพราะว่า ถ้ายีเรียนทีนี้…ยีก็จะต้องไปอยู่หอ  แล้วอาม่าก็จะเหงาเพราะคิดถึงยีไงคะ…ฮิ ฮิ ..

                 แล้วตั้งแต่ที่รู้ว่า ยีก็เป็นที่รัก ของอาม่าเหมือนกันนะ  แล้วยังจะเป็นที่รักมากว่าพี่อู๋ด้วย (ฮิ ฮิ อันนี้เข้าข้างตัวเอง ..)    ยีก็มีความรู้สึกที่เปลี่ยนไป…ไม่ว่าอาม่าจะด่า จะว่า ยังไง ยีก็ไม่รู้สึกน้อยใจอีกแล้วคะ..แล้วก็รู้สึกรักอาม่ามากขึ้นทุกวันเลยด้วย…  

    +++++++++++++++

                 รู้……. ว่าได้รับความรักเสมอมาจนเป็นเรื่องธรรมดาที่หลงลืมไป
                 ไม่รู้ … ว่าความรักที่คิดว่าธรรมดา  จะมีมากเกินกว่าจะใช้คำว่าธรรมดาได้ ..

                 ถ้าตอนนี้ ยังมีใครบางคนที่คิดว่า…ไม่ได้รับความรัก..ลองสำรวจดูใหม่นะคะว่า …. ใครคนใกล้ ๆ เขาส่งความรักมาให้ในรูปแบบไหน   …  บางที เขาอาจส่งความรักมาในรูปแบบ ที่ไม่อ่อนโยนนิ่มนวล  แต่กระด้างไม่แสดงออก  เหมือนอาม่าของยีก็ได้…

                 

    แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 46 01:10:39

    แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 46 17:12:34

    จากคุณ : หนูยี - [ 2 ส.ค. 46 17:11:58 ]