คําสาปรัก บทที่ 1

         บทที่ 1
    “เคลิน ฟาเร็ลล์ ลูกน่าจะหาเวลาหยุดพักฤดูร้อนบ้างนะ”

    คาลหรือเคลินหยักไหล่พลางจิบกาแฟของเขาและยังคงนั่งครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอย่างเลื่อนลอย สายตาของเขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องครัวที่บ้านเขา ชายหนุ่ม
    ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทําไมเขาถึงมาที่นี่หรือมาแค่ให้ได้ยินเสียงแม่เขาบ่นและเป็นกังวลเกี่ยวกับตัวเขา หรือมาที่นี่เพราะว่าเขาอยากจะมานั่งฟังพ่อเขาผิวปากอย่างอารมณ์ดีในขณะที่พยายามจะผูกสายเอ็นที่คันตกปลาอย่างขะมักเขม้นอยู่บนโต๊ะ แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ เขามีความรู้สึกอะไรอยู่ในใจลึกๆ ที่ตัวเองก็บอกไม่ได้ที่ทําให้เขาอยากกลับมาบ้านที่เคยเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยากจะกลับมาระลึกถึงวันคืนเก่าๆในวัยเด็กก็เป็นได้ ระลึกถึงมันสักชั่วโมง สองชั่วโมง บ้านเล็กหลังนี้ที่เขาเติบโตขึ้นมาที่ บรู้คลิน ไฮน์  (Brooklyn Heights) หรือเขาอยากจะมาเพื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่เขาอีกครั้งก็เป็นได้

    “ผมก็กําลังคิดๆเรื่องนี้อยู่เหมือนกันครับ”

    “ทํางานหนักเกินไป” พ่อของเขากล่าวขึ้นแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่แต่กับคันเบ็ดตรงหน้า

    “ น่าจะไปกับพ่อแม่ที่ มอนทาน่า ( Montana) สักอาทิตย์สองอาทิตย์ ที่นั่นนะขึ้นชื่อเรื่องปลาทอดว่ากันว่าทอดปลาได้อร่อยที่สุดในโลกเลยนะ เอากล้องของแกไปด้วยก็ได้นะ” จอห์น ฟาเร็ลล์เหลือบตาขึ้นมองเขาและยิ้มกว้าง
    “อยากจะหยุดจําศีลสักพักก็ดีนะ”

           คําเชิญชวนของพ่อเขาน่าสนใจไม่น้อยแต่ชายหนุ่มไม่กระตือรือร้นในเรื่องตกปลาสักเท่าไหร่ไม่เหมือนพ่อของเขาที่ชอบตกปลา แต่ มอนทาน่า เป็นเมืองที่สวยงามและใหญ่โต คาลคิดสนใจอยากไปพักผ่อนที่นั่่นอยู่เหมือนกันเพื่อหยุดพักจากความเหน็ดเหนื่อยในหัวใจของเขา ไปให้พ้นจากความฝันที่ตามหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ

    “สองอาทิตย์กับอากาศที่บริสุทธิ์น่าจะทําให้ลูกผ่อนคลายได้มากอยู่นะ” ซิลเวีย ฟาเร็ลล์หรี่ตาแล้วหันกลับไปจ้องมองลูกชายของเธอ

    “ลูกนะหน้าตาซีดเซียวดูเหนื่อยอ่อนเอามากๆนะคาล น่าจะหาเวลาไปพักผ่อนนอกเมืองซักพัก” นั่นเป็นความเห็นของซิลเวียที่ถึงแม้จะอาศัยอยู่ที่ บรูคลิน ตลอดชีวิตของเธอแต่
    เธอก็ยังคิดว่า แมนฮัตตั้น ( Manhattan) เป็นเมืองที่สามารถสูบชีวิตจิตใจของผู้คนให้หมดไปและเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่เลยสําหรับเธอ

    “ผมก็กําลังคิดว่าจะไปพักผ่อนกับเขาบ้างอยู่เหมือนกันครับ”

    “ดีแล้ว” แม่ของเขาเช็ดถูเคาน์เตอร์ในห้องครัวจนสะอาด พ่อกับแม่ของเขากําลังจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้เช้าและซิลเวีย ฟาเร็ลล์จะทําความสะอาดทุกซอกทุกมุมใน
    บ้านของเธอทุกครั้งก่อนที่จะเดินทางไปไหนโดยไม่ยอมทิ้งให้ฝุ่นจับไว้เลยก็ว่าได้

    “ลูกทํางานหนักเกินไป เคลิน ไม่ไช่ว่าพ่อกับแม่จะไม่ภูมิใจในตัวลูกหรอกนะ หลังจากงานนิทรรศการแสดงภาพเดือนที่แล้วพ่อเราเขาก็คุยฟุ้งไปทั่วจนกระทั่งคนข้างบ้านเขาเริ่มจะหลบหน้าหลบตาทุกครั้งที่เห็นพ่อเรา”

    “แหมไม่ใช่ทุกวันนี่นาที่จะมีใครหน้าไหนได้มีโอกาสเห็นผลงานรูปภาพที่ลูกชายตัวเองถ่ายได้ขึ้นไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์แบบนั้น ฉันนะภูมิใจที่สุดโดยเฉพาะรูปโป้ๆพวกนั้นนะ”เขากล่าวจบพร้อมกับขยิบตาให้

    “ตาแก่งี่เง่าเอ้ย” ซิลเวียบ่นงึมงําอยู่ในลําคอแต่ก็ยิ้มไปบ่นไปในขณะเดียวกัน

    “แต่ก็นั่นอีกนั้นแหละใครจะคิดว่าไอ้กล้องอันเล็กๆที่เราซื้อให้ลูกเมื่อวันคริสมาสต์เมื่อตอนเขาแปดขวบแล้ว ยี่สิบสองปีต่อมาเขาจะกลายมาเป็นนักถ่ายภาพที่มีชื่อเสียงและรํ่ารวยไปได้ แต่ไอ้ความมีชื่อเสียงก็มีราคาค่างวดของมันใช่ไหมลูกเมื่อได้อะไรมาก็ต้องเสียอะไรบางอย่างไป”  

    พูดจบแม่ของเขาเอื้อมมือทั้งสองข้างมาประคองหน้าลูกชายของเธอไว้ในฝ่ามือสายตาของแม่สํารวจตรวจตราลูกชายของเธอเพื่อมองหาความผิดปกติด้วยความเป็นแม่ที่รู้จักลูกชายของตัวเองดี ดวงตาของลูกชายเธอดูหม่นหมอง และใบหน้าของลูกก็ดูตอบไปจนเห็นได้ชัด ด้วยความเป็นแม่เธอกําลังวิตกกังวลเกี่ยวกับลูกชายของเธอที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแค่เด็กชายแต่เดี๋ยวนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี้ และทําให้อดคิดย้อนหลังไปในอดีตไม่ได้เกี่ยวกับเด็กชายที่เธอเลี้ยงมากับมือลูกเธอนั้นเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าเด็กคนอื่นๆ

    “ลูกกําลังชดใช้ค่าแห่งความมีชื่อเสียงเกียรติยศอยู่ใช่ไหม”

    “ผมสบายดีครับแม่” ทําไมเขาจะอ่านสายตาที่วิตกกังวลของแม่เขาไม่ออกแล้วเขาก็ยิ้มออกมาก่อนจะตอบ
    “ แค่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้นเอง”

    แต่มันเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง ซิลเวียจําได้ที่ลูกชายของเธอดูซีดเซียวและใต้ดวงตาหมองคลํ้าเหมือนนอนไม่พอ เธออดที่จะส่งสายตาที่กังวลไปสบสายตาของสามี
    เธอข้ามไหล่ของคาลไป

    “ลูก เอ่อ...เคยไปหาหมอมาบ้างไหมจ๊ะ”
    “แม่ครับผมสบายดี” เขารู้ว่านํ้าเสียงที่เขาตอบแม่เขากลับไปฟังดูเหมือนรําคาญต่อคําถามเหล่านี้แต่เขาก็เผลอตอบป้องกันตัวเองออกไปอย่างไม่รู้ตัว เขาพยายามสะกด
    ใจตอบแม่เขากับไปอย่างปกติธรรมดามากที่สุดเท่าที่เขาจะทําได้

    “ผมสบายดีจริงๆครับแม่”

    “อย่าบ่นกับลูกนักเลย ซิล” แต่ตััวของจอห์นสํารวจลูกชายเขาอย่างถ้วนถี่เช่นกันโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว ทําไมเขาจะจําไม่ได้ถึงอดีตเกี่ยวกับลูกชายเขาเหมือนที่ภรรยาเขาจํามันได้เช่นกันเขาจําได้ว่าลูกชายเขาเคยนั่งพูดคนเดียวอยู่กับความมืด เคยแม้แต่หลับละเมอเดินไปมาและก็ฝันถึงแม่มด เลือด และการสู้รบ

    “ฉันไม่ได้บ่นนะ แต่ฉันกําลังเป็นห่วงลูกฉันอย่างที่แม่ทุกคนต้องห่วง” ในที่สุดเธอก็ฝืนใจยิ้มออกมา

    “ผมไม่อยากให้แม่ต้องเป็นห่วงเลย ก็แค่ช่วงนี้เหนื่อยมากไปหน่อยเท่านั้นเองครับ”เขาพยายามจะคิดว่ามันก็แค่นั้นเองจริงๆอย่างที่บอกแม่ออกไป เขาอยากจะคิดว่าเขาไม่ได้
    แตกต่างจากใครตรงไหนและเขาไม่ได้อยากเป็นตัวประหลาดให้ใครมาหัวเราะเยาะเอาได้เขายังจําได้เมื่อในอดีตพวกหมอทั้งหลายที่พ่อกับแม่เขาพาไปรักษาตอนที่เขายังเด็กๆ หมอบอกว่า เขาสบายดี ก็แค่มีจินตนาการกว้างไกลไปหน่อยสําหรับเด็กผู้ชายอายุแค่นี้และไม่ใช่ตัวเขาเองหรอกหรือที่หยุดไอ้จินตนาการพวกนั้นด้วยการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างไปกับการถ่ายรูปเพื่อจะลืมมัน และหลังจากนั้นเขาไม่ได้มีจินตนาการบ้าๆเหล่านั้นอีกเลย

    ซิลเวียพยักหน้าทําท่าว่าเข้าใจและพยายามบอกตัวเองให้ยอมรับคําตอบของลูกชายเธอว่ามันก็แค่นั้นจริงๆ

    “มันก็แค่ความกังวลเล็กๆของแม่เอง ลูกนะทํางานหามรุ่งหามคํ่าตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมามันถึงเวลาแล้วนะที่จะหยุดพักผ่อนซะบ้าง หาที่สงบๆอยู่เงียบๆผ่อนคลาย
    สักพักให้เวลาและเอาใจใส่กับตัวเองบ้างนะจ๊ะ”

    “ไปมอนทาน่าเถอะ” จอห์นชวนลูกชายเขาอีกครั้ง “ ไปสักสองอาทิตย์ตกปลาท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ทิ้งความกังวลหนักใจเอาไว้ที่นี่”

    “ผมกําลังจะไปไอร์แลนด์” คําตอบหลุดออกจากปากคาลก่อนที่เขาจะรู้ตัวเองด้วยซํ้าว่าอยากไปที่นั่นมันคงจะอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา

    “ไอร์แลนด์หรือ” ซิลเวียเหยียดริมฝีปากขึ้นอย่างครุ่นคิด “ไม่ใช่ไปทํางานนะเคลิน”

    “ไม่ใช่หรอกครับก็แค่ไป...เที่ยวชมเฉยๆ” เขากล่าวยํ้าอีกครั้ง “ก็แค่ไปเที่ยวจริงๆเท่านั้นเองครับ”  แม่เขาพยักหน้าพอใจซึ่งในความคิดของเธอถ้าจะไปพักผ่อนก็ต้องไปพักผ่อนจริงๆไม่ใช่หาข้ออ้างไปทํางาน

    “ดีแล้วหละลูกประเทศไอร์แลนด์นะเป็นประเทศที่น่าไปท่องเที่ยวผ่อนคลายจริงๆด้วยพ่อกับแม่เองยังอยากไปที่นั่นเลยใช่ไหมจอห์น”  สามีเธอทําเสียงขึ้นจมูกทําท่าเหมือนยอมรับ

    “จะไปตามหาบรรพบุรุษแกหรือไง คาล”
    “ใครจะไปรู้ละครับผมอาจจะลองดูก็ได้”  ดูเหมือนว่าเขาเองรู้อย่างแน่นอนแล้วว่าเขาปรารถนาจะไปที่ไหนดังนั้นเขาหันกลับมาจิบกาแฟถ้วยเก่าอีกครั้ง เขารู้ว่าเขากําลังไปตามหาอะไรบางอย่างเขาเพิ่งจะแน่ใจเดี๋ยวนี้เอง หรือเขาอยากจะไปตามหาใครบางคน

    จากคุณ : โรส สลาลินน์ - [ 4 ส.ค. 46 23:55:34 A:12.108.141.217 X: ]