กองพันพระเจ้าCE28 : จบตอนเวลาที่สูญหาย (แนวแฟนตาซีจากมือใหม่หัดเขียน...ขอคำวิจารณ์ด้วยจ๊ะ)

                       

                           

                    กระทั่งพลาลี่เลิกคิดจะเอะอะโวยวายอันใดแล้ว  ผู้สวมผ้าคลุมดำก็ยังไม่มีท่าทีจะกล่าวสิ่งไรด้วย  หลังจากที่ถูกโยนลงในกะบะรูปทรงประหลาดคล้ายสังข์หงายขนาดยักษ์  ก็เพียงได้แต่นั่งฝืนตัวไม่ให้ล้มกลิ้งไปข้างใดข้างหนึ่ง  สายตาที่พอจะโผล่พ้นขึ้นมาได้นิดเดียวเห็นได้เพียงไม้ประธานค่อยๆ ห่างไกลออกไปด้านหลัง จะชะโงกมองไปข้างล่างว่ามาไกลถึงไหนแล้วนั้นสุดคิด  จึงได้แต่มองตรงไปยังสลุปเปอร์ที่ตนพ่วงท้ายอยู่ด้วย อย่างไม่รู้จะทำอะไรอื่น

    “นี่ท่าน…เอ่อ…ท่านจะเป็นใครก็ช่างเถอะนะ….แต่ว่าไอ้สลุปเปอร์ของท่านเนี่ยไปขุดมาจากสุสานหรือขโมยมันมาจากพิพิทภัณฑ์ไหนกัน…ข้าว่ารุ่นที่ท่านใช้อยู่นี่มันมีเหลืออยู่แต่ในภาพสลักโบราณแล้วไม่ใช่หรือ”  ผู้ถูกลักพาไม่รู้สึกตัวว่าสามารถเปล่งเสียงออกมาได้เมื่อไร  แต่ก็พยายามรักษาถ้อยคำให้สำรวมพอเหมาะสำหรับการได้รับอิสระเพิ่งขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

    นาวากาศที่ลุยอยู่เบื้องหน้า มีรูปร่างคล้ายกระดานโต้คลื่น หากเทอะทะกว่ากันมาก ส่วนที่นั่งแทนที่จะเป็นอานอย่างที่วัยรุ่นอย่างพลาลี่นิยม ก็กลับเป็นกูบกัลปังหาสีดำทึม คดงอแต่ก็คล้ายดัดให้กลายเป็นตั้งทรงเตี้ยมีพนักพิงและเท้าแขนเสร็จสรรพ  มุกดาสองสายถูกโยงจากส่วนหน้าของยานแลคล้ายสายบังเหียนบังคับสัตว์มากว่าจะใช้บังคับทิศทางของนาวากาศได้  และส่วนประกอบทั้งหมดก็มีเพียงแค่นั้น  กำลังขับเคลื่อนคงมาจากมหามนตราบทใดบทหนึ่งของผู้แกร่งเวทคาถาเป็นแน่  คิดมาถึงตรงนี้ชายผู้มีร่างลายพรางสีเขียวก็หดหัวลงในสังข์หงายอันใช้เป็นเรือพ่วงนั่นโดยไม่รู้ตัว…..ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าตนเห็นภาพข้างหน้าอย่างแจ่มชัดได้อย่างไร

    “รูปร่างแบบบางคล้ายสตรีเช่นนี้ แต่กลับมีพลังเวทกล้าแข็งขนาดสามารถบังคับนาวากาศได้นี่…เราหมดสิทธิ์ตอแย…เฮ้อ…มันอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย….”

    เขาแทบจะเอาหัวโขกกับเปลือกหอยยักษ์ด้วยความโมโหตัวเอง

    ขณะกำลังจะตั้งท่าเพื่อสงบสติตนเอง ก็รู้สึกเหมือนถูกเหล็กร้อนๆ จี้เข้าที่สะโพกจนถึงกับสะดุ้ง กลิ่นไหม้คลุ้งขึ้นจมูก  พร้อมกับมีเกล็ดหิมะเย็นเฉียบปลิวมากระทบใบหน้าหลายแห่งจนต้องชะเง้อออกมามองหาเหตุการณ์ภายนอกอีกครั้ง

    “เฮ้ย!!!…นี่เรากำลังอยู่กลางฝูงเทโพไลท์ตาไฟ…ท่าน…ท่านเสียสติไปแล้วฤ”  

    แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกว่าแขนขาถูกวัตถุนุ่มหยุ่นงอกออกมาจากสังข์ยึดไว้อีกชั้นหนึ่ง จนไม่สามารถโผล่หัวออกมาพ้นเปลือกหอยได้อีก    สลุปเปอร์ของผู้ลักพาเร่งความเร็วพร้อมกับแล่นฉวัดเฉวียนหลบหลีกฝูงปลาอากาศนั้น  บางครั้งถึงกับม้วนตัวตีลังกาจนชาวไพรแทบวิงเวียน  คราวหนึ่งกลุ่มเมฆสีขาวผ่านสายตาไป จนครั้งที่สองครั้งที่สามจึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

    “จะมีเมฆขาวๆ อะไรได้ในตอนกลางคืน…”

    ในครั้งที่สี่  จึงฝืนใจจับตามองให้ชัด

    “พราโนม!!!!….นั่นมันลามู….ท่าน…ท่าน….นั่นเพื่อนข้าเอง…ช่วยเพื่อนข้าด้วย…”

    เขาออกอุทาน คำ “พราโนม”  แทนการเรียกหาพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์   ทุกผู้ในซีอี28 ถูกสอนให้เชื่อในเทพฮิวแมมนุสส์เท่าเทียมกับการสอนให้เชื่อมันในถิ่นฐานบ้านเกิด  ขนาดลูกครึ่งอย่างสคริพยังต้องอุทาน “พราโนมซาฮาล” ให้ได้อย่างสม่ำเสมอจนคล่องปาก

    นาวากาศสีขาวคลายผลึกน้ำแข็งลอยลำนิ่งเพราะผู้บังคับยานกำลังวุ่นวายกับการวาดวงแขนสร้างเกราะกำบังตนจากรังสีตาไฟของเทโพไลท์  เกราะขาวใสกรุ่นไอเย็นพลันระเหิดระเหยทุกครั้งเมื่อโดนปะทะเพียงครั้งเดียว  อาการเหลียวซ้ายแลขวาป้องกันตัวจึงแลทุลักทุเลยิ่งนัก

    “ท่าน…ท่าน….ช่วยลามูด้วย…นั่นเพื่อนข้าเอง….จะพานางไปกับเราด้วยก็ได้นะ”  

    พลาลี่โพล่งออกไปด้วยไม่รู้จะหาคำใดมากล่าววิงวอน

    CeCeCeCeCeCeCeCeCe

    “กอดเอวข้าให้แน่นๆ นะสไปร์ท  เดี๋ยวจะตกลงไป”

    ผู้มีร่างลายพรางสีปูนแดงกล่าวขึ้นลอยๆ

    “อภิโธ่!….สคริพ….ต่อให้ข้ากระโดขึ้นมายืนขาเดียวบนหัวเจ้า แล้วตีลังกาหกสูงสักสามสี่รอบก็ไม่มีทางหล่นลงไปหรอก….นี่น่ะหรือที่คุยนักคุยหนาว่าเป็นของขวัญที่ท่านผู้เฒ่าแห่งซาฮาลส่งมาให้หลานชายสุดที่รัก…..ข้าว่าท่านแซนซาร่าคงไม่รู้จะเอามันไปทิ้งที่ไหนมากกว่า….”

    ชาวน้ำร่างเล็กสยายผมยาวสลวยออกอาบแสงดาว  มันล้อรับกับแสงนั้นจนแลระยิบระยับคล้ายท้องน้ำสะท้อนแสงดาว  

    “ข้าก็เพิ่งรู้นี่แหละนะ ว่าพอเดินทางติดต่อกันนานๆ แล้วมันจะอืดขนาดนี้”

    “งั้นเจ้าให้ข้ากอดเอวเจ้าทำไม…”

    “ก้อ…อะนะ…แหม….ข้าก็ไม่เสียหายอะไรนี่นะสไปร์ท”

    “ก็ใช่น่ะสิเจ้าบ้า!!…เฮ้ยนั่นมันพรายน้ำที่ท่านกระเบนวาฬราริกพ่นออกมานี่นา….งั้นก็หมายความว่า…”

    “เรามาผิดทาง…”

    แล้วผู้กุมคันบังคับก้หักเลี้ยวมาทางขวาทันทีพร้อมกับโยนความผิดให้คนซ้อนท้าย

    “ข้าบอกแล้วให้ส่องไฟให้ตรงทาง  เจ้าส่องไปทางไหนข้าก็ขับไปทางนั้น…เฮ้อ!..แล้วก็พาข้ามาหลงทางจนได้”

    “อย่ามาหาเรื่องใส่ความกันดีกว่าเจ้าหางแดง….ใครๆ ก็รู้ว่าแค่ตั้งลำให้ตรงกับภาคภูฟ้าเมนาลักซ์แล้วขับไปตรงๆ…ยังไงซะเราก็ต้องไปถึงฝั่งโน้นจนได้”

    “ตกลงว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้างั้นสิ”

    “ก็เออซิ!….”

    ชาวน้ำแทบเอาไฟฉายในมือฟาดศรีษะคนข้างหน้า

    ทั้งคู่ไม่มีทางรู้เลยว่า ทุกปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกับอาการผิดปกติของไพพาร่าพยากรณ์  ซึ่งหมายถึงความคลาดเคลื่อนของวันคืนที่ผลึกแห่งแสงเป็นผู้มองให้ชาวอีซีทั้งมวล

    “ทีนี้เราจะทำยังไงจึงจะไม่หลงทาง…วิชาดูดาวของเจ้ากับเข้าก็ออกจะเก่งกล้าสามารถพอกันซะขนาดนี้…”  คนซ้อนท้ายประชดถาม

    “ข้าว่าตอนนี้เราหลุดมาถึงกึ่งกลางหุบเหวกากบาทแล้ว…เจ้าบองกางแขนออกซิ”  คนขับออกคำสั่ง

    “ข้าถือไฟฉายอยู่”  คนหลังแย้ง

    “ไม่ต้องใช้แล้ว…ไม่ใช่รึ…กางแขนออกเถอะน่าสไปร์ท”  น้ำเสียงคราวนี้เป็นการเป็นงานจนคนตั้งท่าจะเถียงต้องทำตาม

    “ฟังข้านะชาวน้ำ….หากตรงหน้านั่น….เห็นไหม..แสงขาวที่กระพริบๆ เป็นจังหวะอยู่นั่นเป็นประภาคารของชาวภูฟ้า….ด้านแขนขวาของเจ้าก็ต้องเป็น…แสงสีเหลืองของประภาคารภาคพราโนม….”

    ทั้งคู่หันไปมองขวามืออย่างไม่มั่นใจนักว่ามันเป็นแสงนิ่งของประภาคารหรือจากดาวเคราะห์ดวงอื่นใดกันแน่ ชาวไพรจึงเอ่ยขึ้นอีก

    “…ดังนั้นทางซ้ายมือก็ต้องเป็น แสงสีแดงกระพริบของประภาคารฝั่งภาคซาฮาล…นั่นไง….เห็นไหม…นั่นหละแสงจากฝั่งป่าทราย…”

    สองหนุ่มสาวเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาพร้อมกัน

    “ขอให้ข้าพึ่งเจ้าได้ไปตลอดรอดฝั่งเถอะนะสคริพ”  

    ชาวน้ำร่างเล็กเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง

    เมื่อตั้งลำตรงสู่ภาคภูฟ้าเมนาลักซ์ได้ ทั้งสองจึงได้เห็นว่าสภาพอากาศไกลออกไปจนสุดฉากหลังของแสงจากประภาคารตรงหน้านั่น แปรปรวนหนัก มีสายฟ้าแล่นแปลบปลาบไปมาอยู่ตลอดเวลา  กระทั้งฟ้ายังส่งเสียงคำรามอึงอล  จนน่าหวั่นใจ

    จากคุณ : DEGAGE - [ 8 ส.ค. 46 06:51:12 A:203.121.131.38 X:203.121.146.139 ]