เมื่อวานเป็นวันที่ผมเบื่อตัวเองมากที่สุดในชีวิต

    หกนาฬิกาตรง นาฬิกาปลุกทำงานของมันอย่างซื่อสัตย์ ผมหรี่ตาข้างหนึ่งดูมัน ตัวเลขดิจิตอลกระวิบพร้อมกับส่งเสียงน่ารำคาญไปด้วย ผมจึงจำเป็นต้องเบิ๊ดกระโหลกมันไปทีหนึ่งให้มันเงียบ แล้วผมก็นอนต่อ

    เหตุที่นอนต่อ เพราะผมมีอาการมึนอยู่ในหัว มันตื้อ ๆ หนัก ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก ที่คอก็เจ็บจนกลืนน้ำลายไม่ได้ จมูกข้างหนึ่งก็ตื้อตันจนต้องหายใจโดยใช้จมูกข้างเดียว อาการหนาวเป็นละลอกค่อย ๆ ไล่ขึ้นมาจากปลายขาถึงขั้วหัวใจ

    ตกใจตื่นอีกทีตอนแปดโมง อาการต่าง ๆ ยังไม่หายไป หนำซ้ำยังมีอาการปวดเมื่อยตามข้อต่อแขนขาเพิ่มขึ้นมาด้วย ผมจึงจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์โทรไปบอกที่ทำงาน ว่าวันนี้ขอลาป่วย..

    แปดนาฬิกาสามสิบ เจ้านายก็โทร.มา เขาถามผมด้วยเสียงสุภาพว่า “เฮ่ย..เป็นอะไรไปวะ?” ผมก็ตอบเขาไปอย่างสุภาพตามประสาลูกน้องที่ดีว่า “ไข้แ-กว่ะ สงสัยเป็นหวัด” เขาตอบมาว่า “เอ่อ..งั้นเมิงนอนไปเหอะ หายแล้วค่อยมา..” ผมตอบขอบคุณเขาไปเบา ๆ

    เก้าโมงสิบห้า หิวข้าวสิครับ..ทำไงดีล่ะ ทุกวันหากไปทำงานก็จะต้องมีอะไรรองท้องบ้าง แต่วันนี้อยู่กับบ้านจะหาอะไรทานก็ไม่มีอะไรสักอย่าง มีแต่น้ำเปล่าและก็มาม่ารสต้มยำกุ้งอีกสองห่อ แต่แม้จะหิวอย่างไรก็พ่ายแพ้ต่อความขี้เกียจ ผมจึงเผลอหลับไปอีกครั้ง

    หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่หลายคราว เพราะผู้ที่ทราบข่าวจะโทร.มาถามด้วยความห่วงใยและสมน้ำหน้าอยู่ในที กระทั่งเกือบเที่ยงผมจึงจำเป็นต้องลุกขึ้นหาอะไรรองท้อง อะไรที่ว่าก็ไม่พ้นมาม่าเปล่า ๆ กลั้วน้ำเปล่า ๆ ให้รู้สึกว่าท้องไม่ว่าง จากนั้นก็ตามไปด้วยยาสามขนาน คือยาแก้อักเสบเป็นแคปซูลสีเขียวฟ้า ยาแก้หวัดยี่ห้อแอคติเฟด และก็พาราเซ็ตตาแมวอีก 1 เม็ด

    แล้วก็มานอนอืดอยู่บนเตียง เปิดโทรทัศน์ดู โอ้โห..ทุกช่องมีแต่เรื่องของบิ๊กดีทูบี..ผมดูรายงานข่าวนั้นไปด้วยปากที่ขมปี๋เพราะความอิจฉา(ทีเราป่วยไม่เห็นใครมาเยี่ยมมั่งเล้ย)และยังไม่ได้แปรงฟัน เหตุที่ไม่ได้แปรงเพราะผมลืม
    จึงจำเป็นต้องลุกเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการสะสางซะให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็มานอนต่อ

    หลังจากจบข่าวเรื่องบิ๊กดีทูบี ก็มาเป็นข่าวเรื่องส่วยคุณชูวิทย์ หมอนี่ท่าทางชอบกล้องจนน่าจะจ้างมาเป็นพระเอกหนังสักเรื่องหนึ่ง แล้วก็มาเรื่องรถไฟชนกันที่เกาหลีใต้หรือเหนือลืมไปแล้ว แล้วก็กลับมาเป็นรายงานสด ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธเรื่องของน้องบิ๊กหน้าตี๋อีกครั้ง

    ผมสงสารและเห็นใจครอบครัวของน้องเขามาก อุบัติเหตุนำมาซึ่งโรคร้ายอย่างนี้เห็นเขาว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นง่าย ๆ ใจก็คิดว่าน้องเขาคงต้องผ่านการพิสูจน์จากอะไรอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นตัว อะไรอย่างหนึ่งที่ว่าที่ทำให้น้องเขาโด่งดังขึ้นมาเป็นพลุค้างฟ้าตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบปีดี อะไรอย่างหนึ่งที่ว่าได้เวลามาทวง “ต้นทุน” แล้ว หากน้องเขาผ่านไปได้ก็ถือว่าน้องเขาสมควรจะเป็นผู้ที่ได้รับพลังพิเศษต่อไป

    ก็ขอให้น้องเขาผ่านไปให้ได้..เพี้ยงงงงงง

    หันมามองตัวเองมิใช่เพื่อเปรียบเทียบอะไรกับน้องเขา แต่มานอนคิดถึงอะไรอย่างหนึ่งที่ว่านั้นว่าตัวผมเองเคยได้รับหรือไม่ แล้วก็สรุปได้ว่าผมไม่เคยมีอะไรอย่างหนึ่งที่ว่าเกิดขึ้นในชีวิตเลย

    ทำไมอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้หนุ่มเสกโลโซ จากเด็กท้องไร่ท้องนามาเป็นนักร้องชื่อคับประเทศมีเงินเก็บเกือบร้อยล้านในบัญชี ถึงไม่เกิดขึ้นกับผม??

    ทำไมอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้หนุ่มมอส ไปนั่งอยู่ตรงบันไดสยามสแคว แล้วแมวมองเกิดไปมองเห็นเข้า ชักนำน้องเขาเข้าสู่วงการบันเทิงจนโด่งดังอย่างทุกวันนี้ จึงไม่ให้มีแมวมองมามองผมบ้าง??

    อะฮ้า…สงสัยยาเป็นพิษแน่ ๆ เลย คิดเรื่อยเปื่อยเลื่อนเปื้อนไปกันใหญ่แล้ว

    จากฤทธิยา ทำให้ผมเผลอหลับไปอีกครั้ง หลับไปทั้ง ๆ ที่สมองเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวดรวดร้าว ท้อแท้ และสิ้นหวัง

    ผมเลยฝันร้าย เป็นฝันร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำซาก จนผมชักจะชินกับมันแล้ว

    ผมฝันว่าเธอคนนั้นกลับมา กลับมาหาผม
    เธอมาหาผมจนถึงที่นอน
    เธอกระซิบกับผมเบา ๆ  ด้วยแววตาที่อ่อนหวาน ด้วยถ้อยคำที่ตรึงใจ
    “ชาตินี้อย่าได้เจอกันอีกเลย…”

    …………….

    เมื่อวานนี้จึงเป็นวันที่ผมเบื่อชีวิตตัวเองที่สุดในโลก
    กว่าจะผ่านพ้นมาได้จนถึงวันนี้ กำลังใจที่มีอยู่หนึ่งเดียวก็คือ การได้เขียนอะไรออกไปบ้าง การที่ได้รับกำลังใจจากเพื่อน ๆ บนถนนนักเขียนนี้กลับมาบ้าง
    ไม่บ้างสิ เยอะแยะเลยล่ะ ไม่เชื่อกลับไปดูกระทู้โน้นของนายปิ๊วดูสิ ผมอ่านแล้วตื้นตันใจนัก
    คนที่รู้จักมักจี่ สนิทสนมร่วมชีวิตกันมาห้าปีสิบปี กลับไม่มีความห่วงใยให้แก่กันเท่ากับที่ผมได้รับจากเพื่อน ๆ ในถนนแห่งนี้ ทั้งที่หน้าตาก็ไม่เคยเห็น นิสัยใจคอก็ไม่เคยได้สัมผัส แต่ความจริงใจนั้นเหนือกว่ากันมากนัก
    วันนี้ผมจึงมาย่ำเดินบนถนน ด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบ แม้ร่างกายจะยังคงมีอาการหนาวยะเยือกอยู่บ้าง คอยังเจ็บอยู่บ้าง และยังมึนศีรษะอยู่บ้าง
    เช้านี้ผมเลยบอกกับเจ้านายของผม ด้วยเสียงที่ค่อนข้างแหบและอู้อี้ว่า
    “คราวหน้าถ้าข้าป่วยอีก เอ็งอย่าให้ข้าลาป่วยอีกนะโว้ย”
    “ทำไมวะ?”
    “ข้าไม่อยากนอนตายคนเดียว..อย่างน้อยเวลาข้าตาย ขอให้มีคนดูใจเคียงข้างสักคนหนึ่งก็ยังดี..”
    เจ้านายของผม ซึ่งเป็นคนเดียวกับเพื่อนสนิทของผม มองผมด้วยสายตาแปลก ๆ
    “ได้..เอ็งจะตายเมื่อไหร่โทร.บอกข้าก็แล้วกัน ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อน..”
    ผมมองเพื่อนด้วยสายตาแห่งความซาบซึ้ง
    “เผื่อเอ็งจะตกนรกหลุมที่ไม่ลึกนักได้..เอาหลุมรองสุดท้ายก็ยังดี”
    “โอ…เป็นพระคุณอย่างใหญ่หลวง!!”
    ผมอุทานออกมาเบา ๆ
    ……..

    จากคุณ : แทน - [ 9 ส.ค. 46 10:37:44 A:202.5.82.50 X: ]