เรื่องเหล้าริมถนนของคนชอบเขียน(ภาคพิเศษเฉพาะกิจ)

    เรื่องเหล้าริมถนนของคนชอบอ่าน (ภาคพิเศษเฉพาะกิจ)


    ครืน...!!!!

    เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินถล่ม ร้าน “บุ้คคอฟฟี่"  ริมถนนสายพันทิพคาเฟ่  อันแสนคุ้นเคยของหลายคนสั่นวูบวาบ เสียงถ้วยชามหล่นแตกเปรี้ยงปร้าง  

    เจ๊โอซึ่งกำลังแต่งหน้าอยู่ในร้านผวาเข้ากอดหลิงแชมพูอย่างตกใจสุดขีดหวีดสยอง กอล์ฟกับแพรวิ่งหลบไปปีนขึ้นไปบนต้นมะละกอข้างหลังโอนเอนไปมาอย่างน่าหวาดเสียว  สาวกานต์วิ่งลงโอ่งมังกรซึ่งมีน้ำอยู่เต็ม เอาหลอดกาแฟโผล่ขึ้นมาหายใจแบบนินจา หนูยีผวาหลบเข้าไปในตู้เย็นอย่างคนขวัญกระเจิงซึ่งปกติไม่มีทางทำได้

    ส่วนยายหมูไซริ้งกระโดดขึ้นไปเกาะห้อยอยู่บนพัดลมเพดาน เครื่องชงกาแฟของนายหมิงน๋อนส่งเสียงครืดคราดราวกับจะขาดใจก่อนระเบิดออกเป็นเสี่ยง ในขณะที่เจ้าของเครื่องผวาเข้าหายายนัทเปียร์รุส(เพราะความตกใจแบบตั้งใจ)กางมือออกเต็มที่ แต่โดนยายนัทเปียร์รุสซึ่งตกใจเหมือนกันล๊อคจับศรีษะนายหมิงปักลงพื้นในท่าDDT ของพวกนักมวยปล้ำเต็มแรง

    “ตึง!!!!!..”

    “โอ๊ย...!!!”

    เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเกิน นายหมิงครางฮือๆอยู่บนพื้นอย่างเจ็บใจอะไรบางอย่าง แล้วความสั่นสะเทือนก็เงียบลงเหลือเพียงฝุ่นฟุ้งเต็มร้านและร่องรอยความเสียหาย

    สมาชิกร้านกาแฟบุ้คคอฟฟี่ ค่อยๆโผล่หน้าออกไปดูรอบร้านด้วยสภาพฝุ่นมอมแมมเหมือนเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากหลุมหลบภัยภายใต้การถูกถล่มด้วยระเบิดอย่างหนัก  ยกเว้นหนูยีผู้โผล่ออกมาจากตู้เย็นซึ่งมีไอเย็นลอยกรุ่นออกมาตามศีรษะและเสื้อผ้าแต่แล้วเมื่อมองไปด้านข้าง ทุกคนต้องปากอ้าตาค้าง

    ข้างๆร้าน ที่เคยว่างเปล่า บัดนี้มีร้านค้าซึ่งมีรูปทรงคล้ายกันเพียงแต่ว่าสวยกว่า โอ่อ่ากว่า เหนือกว่าด้วยประการทั้งปวง ตั้งเด่นเป็นสง่าราวกับเนรมิตขึ้นมาจากความว่างเปล่าท่ามกลางฝุ่นควัน และหน้าร้านบุรุษชุดดำแว่นดำผู้ไม่ยอมแก่เด็ดขาดเพราะหยุดอายุตัวเองไว้ที่ 25 ปีเท่านั้นเป็นหนุ่มอมตะนิรันดร์กาล

    อาจารย์ปีศาจ GTW นั่นเอง

    “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

    เจ๊โอร้องถามออกไปด้วยความมึนงง อาจารย์จอมปีศาจหันมามอง เลิกคิ้วทำท่าแปลกใจอย่างไม่จริงใจเท่าไรนักก่อนเอียงคอย้อนถามอย่างสุภาพว่า

    “มีอะไรหรือครับ ท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย”

    “นี่มันร้านอะไรกัน แล้วจู่ๆร้านเหล้าร้านเบียร์มาอยู่ข้างๆร้านพวกเราได้ยังไง”    เจ๊โอร้องถามอีก รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอะไรบางอย่าง มันเป็นลางสังหรณ์อัปมงคลชนิดหนึ่งที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

    “อ้อ....”

    อาจารย์จีปีศาจหันไปมองร้านซึ่งอยู่ข้างๆ ยิ้มนิดๆที่มุมปากพลางตอบว่า

    “นี่มันเป็นร้านเหล้าดองยาสากลระดับโลกมาตรฐาน ISO 20011 ขายเบียร์สด เบียร์ทุกยี่ห้อ ระบบน็อคดาวน์สั่งทางเครื่องบินมาจากเมืองนอกเพิ่งทิ้งลงมาติดตั้งหยกๆ  กะว่าจะมาทำตลาดแถวนี้สักหน่อย คงไม่รังเกียจนะครับท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย”

    “ร้านยาดองเหล้า-เบียร์ คู่กับร้านกาแฟปลอดอัลกอฮอร์นี่นะ”  หลิงแชมพูร้องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

    “โอ๊ย...ตายแน่คราวนี้”  

    “ไม่ตายหรอกครับคุณผู้หญิง เรื่องธุรกิจการค้าการขายเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในระบบเสรีนิยม ใครดีใครได้ ดีเสียอีกมีคู่แข่ง เราจะได้พัฒนาธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าครับ”

    “เราไม่ยอมหรอก”   นัทเปียร์รุสร้องขึ้นมาบ้าง

    “จู่ๆจะมาตั้งร้านข้างเราได้อย่างไร มีแผนร้ายสักอย่างล่ะสิ”

    “หามิได้ครับ ท่านสุภาพสตรี ผมหามีแผนการณ์ร้ายใดไม่ อย่าคิดมากสิครับ มันไม่ดี”  อาจารย์จียังคงคัดค้านโต้แย้งอย่างเยือกเย็นสุขุมคัมภีรภาพ

    “ดีเสียอีก ร้านเราจะได้ปรองดองกัน ช่วยเหลือกันแบบบูรณาการ”

    “เชอะ...ไม่มีวัน..”หมูไซริ้งแลบลิ้นยาวเฟี้อย

    อาจารยฺ์ปีศาจได้เพียงแต่ยิ้มไม่ว่าอะไร แล้วทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากหลังร้านในชุดดำหน้าตาคล้ายอาจารย์จีมากแต่ในมือมีเลื่อยไฟฟ้าน่ากลัว ท่าทางกึ่งดีกึ่งบ้าไม่น่าไว้ใจ ผิดจากอาจารย์จีผู้สุภาพและแสนดีราวหน้ามือเป็นหลังมือ

    “ไซโคแมน เรามีของฝากให้สุภาพสตรีเหล่านี้ไม่ใช่หรือ”

    บุรุษผู้มาใหม่มียิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก มือข้างหนึ่งจับสายสตาร์ทเลื่อยไฟฟ้าไว้แน่นแล้วดึงเต็มแรง ทันใดนั้นเลื่อยยนต์เริ่มทำงานหมุนจี๋ส่งเสียงหวีดหวิวกึกก้องเสียดประสาทลงไปถึงรากฟัน เลื่อยยนต์กระตุกระริกไหวเหมือนมีชีวิต แล้วเดินแกว่งเลื่อยไฟฟ้าไปมาอย่างน่าหวาดเสียวตรงมายังร้าน บุ้คคอฟฟี่ช้าๆ ควันสีขาวจางๆกระจายออกมาจากตัวเลื่อยซึ่งกำลังคำรณคำรามกระหายเลือด

    “เอ๊ย....เผ่นเถอะ...!!!!”

    นายหมิงน๋อนหนังสือเพิ่งได้สติลุกขึ้นมามองร้องเสียงหลงเป็นคนแรก ขณะที่สาวคนอื่นๆตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึง ผวาเข้าหาหลิงแชมพูอย่างตกใจแต่โดนหลิงแชมพูพลิกตัวขัดขาผวาชนผนังโครมใหญ่ครางอิ๋งกุมหัวป้อยๆ

    ทุกคนได้สติ เผ่นหนีเข้าไปยังหลังร้าน กระจายไปคนละทิศละทาง ยกเว้นหนูยีโดดหายเข้าไปในตู้เย็นอีกครั้ง

    “เรียกตำรวจเร็ว..”  สาวหมูหมูไซริ้งร้องละล่ำละลักแข่งกับเสียงกึกก้องของเลื่อยไฟฟ้าซึ่งใกล้เข้ามาทุกที เจ๊โอของน้องๆ ได้สติร้องขึ้นสุกเสียงทันที

    “ตำรวจ...ตำรวจ ช่วยด้วย...ตำรวจ..!!”

    “ปัดโธ่....”  หมูไซริ้งเสียงดัง  “ใม่ใช่เรียกแบบนี้ ตำรวจไหนจะมาได้ยิน โทรศัพท์สิโทรศัพท์”

    “โทรศัพท์จ๊า.....โทรศัพท์ ช่วยด้วย!!!!”

    เห็นท่าไม่ได้การเพราะใบเลื่อยคมวาวหมุนจี๋อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสองเมตร หมูไซริ้งเลยกระชากแขนของเจ๊โอวิ่งออกทางหลังร้านอย่างไม่คิดชีวิต ในวินาทีแห่งความเป็นตายนั้นไม่ได้สนใจว่าใครเตลิดไปทิศไหนบ้างแล้วในหัวมีแต่เสียงเสียดประสาทสะท้านของเลื่อยไฟฟ้า

    เจ๊โอกับยัยหมูไซริ้งวิ่งเซซวนออกจากทางหลังร้าน ออกไปยืนตั้งหลักห่างออกไปเกือบสิบเมตรมองกลับมายังร้านอย่างไม่แน่ใจในความปลอดภัย

    ทันใดนั้นประตูหลังร้านซึ่งทั้งสองปิดเอาไว้ก็แตกกระจัดกระจายเศษไม้ปลิวว่อน ท่ามกลางเศษเสี้ยวซากเศษไม้โบยบินร่างทะมึนพร้อมอาการกวัดแกว่งเลื่อยไฟฟ้าไปมาเดินออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวแล้วเริ่มวิ่งตรงเข้ามา

    “โอ๊ย...หนีกันเถอะ ยังจะตามมาอีก”

    สองสาวกระชากแขนกันวิ่งหนีแต่ดันวิ่งไปคนละทางกันเลยดึงกันไปดึงกันมาอยู่อย่างนั้นในขณะที่เงาเลื่อยนรกคุกคามใกล้เข้ามาทุกที

    “วิ่งไปอีกทางสิ วิ่งไปอีกทาง”

    เจ๊โอร้องสุดเสียง แต่พอต่างวิ่งกลับทางเป็นตรงข้าม เหตุการณ์ก็ซ้ำรอยเดิม ทั้งสองยังวิ่งดึงกันไปคนละทางอยู่ดี

    เห็นจวนตัว เจ๊โอตัดสินใจแกะมือเพื่อนออกวิ่งหนีไปตามข้างถนนสายนักเขียนโดยมีผู้คนหันมามองอย่างแปลกใจและสนุกสนานเพราะนึกว่าถ่ายภาพยนต์

    ดูเหมือนว่าไซโคแมนจงใจไล่จำเพาะเจาะจงเจ๊โอเท่านั้น พยาบาลสาวแสนสวยผู้หนีคนไข้มาเฝ้าร้านกาแฟวิ่งสุดกำลังไปตามทางเดินซึ่งมีไม้พุ่มเรียงรายเป็นแนวยาว แต่เสียงกึกก้องของเลื่อยมรณะยังดังไล่หลังมาอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง เศษใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อนกระจายเป็นแนวยาวมุ่งหน้าตามมาติดๆราวกับมีเรด้าห์ติดตามตัว
    เห็นประกายเลื่อยวูบวาบอยู่ท่ามกลางเศษใบไม้ใบหญ้าเหล่านั้น ผู้คนกระโดดหายออกไปสองฟากขณะที่พยาบาลสาววิ่งตะลุยไปแบบไม่คิดชีวิต

    อดหันไปมองหลังไม่ได้ โอย...พระเจ้า เส้นทางที่วิ่งผ่านมาเมื่อครู่กระจัดกระจายราวโดนพายุกวาด ถังขยะถูกตัดขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสาไฟฟ้าโดนเลื่อยตัดขาดกลางล้มครืนลงประกายไฟซ้อตสว่างจ้าพร้อมกับเปลวไฟลุกฮือและกลิ่นเหม็นไหม้ พวกวางของขายตามทางเท้าเผ่นหนีไปคนละทิศละทาง

    มันเป็นภาพสยองขวัญไม่น้อยที่มีคนถือเลื่อยไฟฟ้าไล่กวดคนในเวลากลางวันที่เต็มไปด้วยผู้คนแบบนี้ พวกตำรวจก็พาลนึกว่านี่เป็นการแสดงหนังเลยพากันยืนหัวเราะดูอยู่เฉยๆ

    วิ่งเข้าใบในร้านค้าดีกว่า คนเยอะ หมอนั่นคงไม่กล้าตามมา

    คิดดังนั้นสาวพยาบาลก็หักมุมเลี้ยววิ่งตรงเข้าไปในร้านสรรพสินค้าทันที

    โครม.....!!!!!

    ชนกระจกใสเต็มแรงจนทะลุเข้าไปเป็นรูปตัวคน แต่ไม่มีเวลาเจ็บ เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงเปรี้ยงของกระจกแตกกระจัดกระจายก็ตามมา เสียงคำรามเสียดประสาทของใบเลื่อยคมกริบ กลิ่นน้ำมันฟุ้งกระจายไปทั่วพร้อมกับควันสีขาวจากตัวเลื่อยทำให้พยาบาลสาวแทบเสียสติด้วยความหวาดกลัว

    วิ่งหนีต่อไป ผ่านไปยังบริเวณซึ่งมีการวางขายเสื้อผ้าอยู่เป็นทาง หางตาเห็นเศษเสื้อผ้าสีต่างๆ กระจัดกระจายปลิวขึ้นไปในอากาศราวลมพายุหอบมุ่งหน้าเป็นแนวตรงมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้คน โต๊ะซึ่งวางเสื้อผ้าหักกลางโครมครามพับลงกับพื้นกระจัดกระจายราวถูกถล่มด้วยระเบิดซีโพว์แฝงกั้นร้านพังทะลายลงตามเส้นทางวิ่งผ่าน สาวๆหลายคนกรีดร้องสุดเสียงเพราะโดนเลื่อยตัดเสื้อผ้าขาดกระจายเหลือแต่ชุดชั้นใน

    “ซอยข่อยแน๊........!!!!”

    ร้องเป็นภาษาคลาสสิกเพราะความตกใจวิ่งเตลิดออกจากร้านเสื้อผ้า เป็นที่น่าสังเกตว่าตอนวิ่งเข้ามา เจ๊โอของเรายังมีเสื้อผ้าเก่าๆถูกๆเพราะเป็นคนประหยัด แต่พอวิ่งออกจากย่านนี้ไปกลับมีเสื้อผ้าสวยๆราคาแพงสวมใส่แทน อันเป็นผลจากความตกใจเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบรวดเร็วโดยไม่รู้ตัวนั่นเองและ เป็นของดีมียี่ห้อทั้งนั้น ก่อนเข้าร้านและหลุดออกมาราวเป็นคนละคน

    แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 46 15:08:13

    แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 46 14:43:43

     
     

    จากคุณ : Psycho man - [ 10 ส.ค. 46 14:15:37 ]