เรื่องสั้นวันแม่ "มะลิ งานศพ วันแม่"

    มะลิ งานศพ วันแม่

    ชายหนุ่มเดินลัดเลาะออกมาจากพงหญ้าข้างทาง  เสื้อยืดสีน้ำตาลเข้มแขนกุดตัวบางที่เขาใส่อยู่ปรากฏรอยขาดวิ่นหลายแห่ง เผยให้เห็นรอยแผลที่เกิดจากการขีดข่วนของกิ่งไม้และขวากหนามอยู่ภายใต้ร่มผ้านั้น บางแผลยังมีเลือดไหลซิบ ๆ ออกมา แต่ดูท่าทางของเขาจะไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่แม้กระทั่งจะออกแรงปัดดอกหญ้าเจ้าชู้ที่ติดอยู่ตามตัวมากมาย ลำขาที่แข็งแรงมีกล้ามเนื้อของเขาพาร่างมุ่งไปข้างหน้าบนเส้นทางที่เป็นถนนลูกรังสีแดงอิฐทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

      **********************************

    บนลานวัดปรากฏเต็นท์ใหญ่สีน้ำเงินตั้งขวางอยู่หลายเต็นท์ ภายใต้เต็นท์มีโต๊ะกลมตั้งอยู่มากมาย บางโต๊ะก็ปูผ้ากำมะหยี่บาง ๆ สีแดงเรียบร้อยแล้ว บนสนามข้าง ๆ ที่มีหญ้าขึ้นหรอมแหรมนั้นเห็นคนหลายคนกำลังตกแต่งเวทีอยู่ ด้านหลังของเครื่องดนตรีที่วางกลางเวทีมีม่านกำมะหยี่สีแดงเลือดหมูผืนโตกั้น ตัวอักษรที่ทำจากโฟมทาสีแดงส้มสดใสบนผ้านั้น กำลังถูกจัดเรียงเป็นข้อความ เห็นข้อความแถวบนที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว อ่านได้ว่า “งานอุปสมบท วิเชียร พรไพศาลดิลก” ส่วนด้านล่างเป็นข้อความบอกวันที่ 12 สิงหาคม ยังขาดแต่ตัวเลขปีพ.ศ. เท่านั้นที่ยังติดไม่เสร็จ

    “งานใหญ่นะกำนัน” ชายร่างเล็ก หน้าแหลมที่ยืนดูคนงานทำงานอยู่ข้าง ๆ เวทีเอ่ยขึ้น
    “ก็ลูกชายคนเดียวนี่หว่า จัดเล็ก ๆ ก็เสียชื่อข้าหมดสิ” ชายกลางคนร่างสูงใหญ่ที่ยืนใกล้ ๆ กันตอบกลับไป
    “หมดงานนี้ข้าก็หมดห่วงแล้ว ถือว่าชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด”
    “มีลูกดีก็อย่างนี้แหละนะ...” เสียงเอ่ยเบา ๆ ของคนตัวเล็ก ทำให้กำนันสินหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ดังและยาวนาน

      **********************************

    หญิงวัยกลางคนเดินผ่านสนามและศาลาการเปรียญหลังใหม่ที่มีคนกำลังเตรียมงานบวชกันอย่างพลุกพล่านไปทางท้ายวัดที่นั่นมีศาลาเล็ก ๆ หลังเก่าที่ใช้ประกอบงานพิธีอีกพิธีหนึ่งอยู่ เห็นมีผู้คนประมาณสามสี่คนบ้างนั่งบ้างก็นอนเอกเขนกคุยกัน คนที่นั่งกำลังปักดอกไม้ลงไปในพวงฟางรูปครึ่งวงกลมที่วางอยู่ตรงหน้า ที่กลางศาลาบนแท่นสูงมีโลงสีขาว ตามขอบมุมมีลายไทยปิดทองประดับอยู่ บนโลงมีดอกไม้ประดับอยู่ประปราย ตามเสาขึงด้วยเชือกฟางสีแดงสองเส้น บนเส้นเชือกนั้นมีพวงหรีดแขวนห้อยอยู่สามสี่อัน อันหนึ่งมีชื่อเขียนไว้ว่า “กำนัน สิน  พรไพศาลดิลก”

    “งานกำนันคืนนี้ท่าทางจะครึกครื้นนะ เอ็งจะมาหรือเปล่า”
    “มาสิ ยังไงก็ต้องมาช่วนงานยายอิ่มอยู่แล้วนี่”
    “น่าสงสารแกนะลูกเต้าก็ตั้งหลายคน ไม่เห็นหัวเลยสักคน”
    “ไอ้คนรองที่อยู่อเมริกานี่ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้คนโตสิน่าเจ็บใจ อยู่แค่กรุงเทพเองนี่ฉันส่งจดหมายบอกไปเกือบอาทิตย์แล้วมันยังไม่ติดต่อกลับมาเลย ถ้าเป็นลูกฉันนะตัดทิ้งไปแล้ว”
    “แกมีสามคนไม่ใช่เหรอ คนสุดท้ายหล่ะ”
    “อย่าไปพูดถึงมันเลย อ้ายนั่นมันเลว:-)…”

      **********************************

    อาทิตย์อยู่กลางหัวพอดี ชายหนุ่มยังคงเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งไปข้างหน้า ถนนลูกรังอบอวลไปด้วยไอร้อนราวเปลวเพลิง เบื้องหลังของชายหนุ่มปรากฎฝุ่นตลบคละคลุ้งขึ้นมา เสียงของเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นส่งผลให้ชายหนุ่มหยุดเดินและกระโดดเข้าไปแอบยังพุ่มไม้ใหญ่หนาทึบข้างทางทันที เขาไม่อยากแสดงตัวให้ใครเห็นในตอนนี้  ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม  รถสองแถวใหญ่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วข้างหลังรถยังหญิงสาวหลายคนแต่งตัวตามสบายแต่แต่งหน้าเข้มนั่งอยู่บนนั้น ด้านในของรถมีชุดหางเครื่องแพรวพรายใส่ถุงพลาสติกแขวนอยู่กับราวและแกว่งไปมาตามแรงโยกของรถ

    เขารอจนเสียงเครื่องยนต์ลับหายไป จึงก้าวเท้าลงมาบนทางลูกรังอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งเบื้องหน้าของเขานั้นแลเห็นบ้านคนโผล่ขึ้นบ้างแล้ว จึงตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเดินเข้าดงไม้ไป มองหาทางที่พอจะเดินลัดเลาะไปได้ เขาพบมันในระยะเวลาไม่นานและมั่นใจว่าทางสายนี้จะนำเขาไปถึงป่าหลังโรงเรียนประจำตำบลซึ่งอยู่ติดกับวัดที่จัดงานได้

      **********************************

    วิเชียรยังนอนสลบไสลไม่ได้สติ เมื่อคืนเขาหลบออกจากวัดมาตั้งวงกินเหล้ากับเพื่อน ๆ จนฟ้าสาง หลังจากสะลึมสะลือโกนผมในตอนเช้าก็หลับเป็นตายมาจนถึงบัดนี้ นางพิมผู้เป็นมารดานั่งอยู่ด้านข้างคอยไล่แมลงที่จะมาไต่ตอมตัวนาคผู้บริสุทธิ์ของหล่อน หลังจากหลุดพ้นคดีดังคราวนั้นมาได้หล่อนก็โล่งใจที่ดูเหมือนว่า เจ้าเชียรมันจะสำนึกได้อยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานนักก็เข้าอีรูปแบบเดิมเหล้ายาปลาปิ้งผู้หญิงม้าไม่เว้นวัน  ส่งเข้าไปเรียนในจังหวัดก็เอาแต่เกเร คนอื่นเขาเรียนกันสองปีส่วนมันเข้าไปเกือบจะสี่ปีแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ

    หล่อนได้แต่โทษตัวเองว่าเลี้ยงลูกไม่ดี นี่กว่าจะยอมกลับมาบวชได้ก็ทั้งอ้อนวอนบังคับขู่เข็ญสารพัดจนต้องรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะไปขอนังอ้อยบ้านปากคลองที่มันติดพันอยู่ระยะหลัง ๆ ให้นั่นล่ะถึงได้ยอมตกลง แล้วมีอย่างที่ไหนจะมาบวชเอาช่วงเข้าพรรษาอย่างนี้ ถ้าวัดไม่ได้สร้างมากับมือ พระอุปัชฌาย์ ไม่ได้เป็นญาติกันหล่ะก็คงไม่มีทางได้บวชแน่ ๆ

    เฮ้อ... อย่างน้อยมันก็ยอมล่ะน่า พอบวชแล้วหลักธรรมอาจจะกล่อมเกลาจิตใจให้ดีขึ้นก็ได้  ความหวังของหล่อนฝากไว้กับวัดและเวลาอีก 7 วันข้างหน้าเพราะหล่อนไม่สามารถขอลูกบังเกิดเกล้าให้ดำรงเพศบรรพชิตไปนานมากกว่านั้นได้อีกแล้ว

       **********************

    “แม่อิ่มเอ๊ยเองน่ะมันคนมีกรรม มีลูกชายตั้งสามคน แต่ไม่มีบุญได้เกาะชายผ้าเหลืองสักคน ข้าล่ะสงสารเองจริง ๆ รู้มั้ยตอนที่เองนอนพะงาบ ๆ บอกข้าว่าอยากให้ลูกบวชให้ก่อนตายนี่ข้าน้ำตาตกเลย ข้าทำอะไรให้ไม่ได้จริง ๆ แต่ข้าส่งข่าวไปบอกเจ้าคนโตของเอ็งแล้วนะ แต่ก็ไม่รู้มันทำอะไรอยู่ถึงได้หายเงียบไปเลย” ยายเพิ่มเพื่อนสนิทคนตายที่เดินไปข้างโลงสีขาว เคาะโลงเรียกวิญญาณมากินข้าว อดพูดขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้
    “ป้าเพิ่ม ที่เขาบอกกันว่า ในกำปั่นเก่าของยายอิ่มน่ะมีชุดนาคโบราณอยู่ชุดน่ะจริงมั้ย” หญิงสาวที่กำลังจัดดอกไม้บนโลงถามขึ้น
    “โอ้ย... ก็ข้านี่ล่ะคนให้ข่าว เกิดมาข้ายังไม่เคยเจอชุดนาคที่ไหนงามเท่านั้นเลย ทั้งดิ้นทองลายปักนั่นมันงานฝีมือระดับช่างวังหลวงเลยรู้มั้ย”
    “แหม… ฉันอยากดูจัง เอาไปเก็บไว้ที่ไหนล่ะ”
    “ไม่ได้เก็บดอกอยากดูก็ไปดูที่ตัวนาคเชียรสิ พอดีพ่อกำนันเขามาเห็นเข้าเลยอยากได้ ไอ้ฉันมันก็ไม่มีลูกเต้าไม่รู้จะเอาไว้ทำไม ให้กำนันเอาไปบวชลูกจะมากจะน้อยนางอิ่มคงจะพลอยได้บุญกับเขาบ้าง เลยเสนอให้กำนันเขาจัดงานศพให้นางอิ่มมัน แต่พ่อกำนันเขาบอกให้เป็นสตางค์ดีกว่า เพราะเขาจะจัดงานบวชใหญ่ ให้มาจัดงานศพพร้อมกันมันไม่เหมาะ”

      **********************************

    จากคุณ : ริสรน (biblio) - [ 10 ส.ค. 46 16:06:20 ]