อิ่มไออุ่น
ฉันดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นกลางบ้าน ได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อแม่เดินเข้ามาที่โซฟาตัวเดียวกัน นั่งลง แล้วถามขึ้นว่า เป็นอย่างไรบ้างลูกวันนี้
ก็เรื่อย ๆ ค่ะ ฉันตอบกลับไป จะให้บอกได้ไงว่าไม่สบายใจเลย วันนี้แย่จริงๆ นายชัยนะนายชัยทำกันได้อย่างไร ไหนว่าจะไม่ไปเกาะแกะหญิงอื่น ฮึ่ม...เอาคำขอโทษกองไว้ตรงนั้นหล่ะ คอยดูสิจะไม่พูดด้วยเลย
จริง ๆ รึ แม่ถามเพราะเห็นฉันทำท่าครุ่นคิด หรือรังสีอำมหิตของเราจะสื่อไปถึงแม่ได้นะ เขาบอกว่าพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมีความรู้สึกสื่อถึงกันได้นี่ ทำไงดีหล่ะอยากจะปรึกษาแม่อยู่หรอก แต่เราก็เพิ่งกลับเข้ามาอยู่บ้านนี้ได้ไม่นานเท่าไหร่ จะเป็นการนำเรื่องไม่สบายใจมาให้หรือเปล่า แล้วเรื่องแบบนี้จะมีผู้ใหญ่สักกี่คนรับได้กัน แต่ท่าทางแม่ก็วัยรุ่นอยู่นะตั้งแต่ย้ายมา ก็พาไปเดินห้างดูหนังอยู่บ่อย ๆ สติ๊กเกอร์ก็ยังเคยไปถ่ายด้วยกันเลย สมัยก่อนนู้นที่อยู่ด้วยกันก็ยังเคยจับเข่าคุยกันอยู่บ่อย ๆ
เฮ้อ...คิดถึงเพื่อน ๆ ที่อยู่โรงเรียนประจำมาด้วยกันจัง ตอนนั้นนี่ป่วนไปทั้งโรงเรียน ตอนนี้ต่างคนต่างแยกไปตามสถาบันที่เรียน ติดต่อกันไม่ค่อยสะดวกเลย ไอ้ที่สนิท ๆ นี่ก็เชียงใหม่อย่างนี้ สงขลาอย่างนั้น ไม่รู้จะไปทำไมไกล ๆ คงจะอยู่กันลำบากนะ คิดไปคิดมานี่ชีวิตเราเหมือนกบในกะลาอย่างไรก็ไม่รู้ เพื่อนถามเคยไปเที่ยวไกล ๆ มั้ยดันพาซื่อไปตอบว่าเคย จำได้ตอนนั้นดันบอกไปว่าเหนือสุดก็นครสวรรค์(บ้านคุณตา) ใต้สุดก็ประจวบฯ(โรงเรียนเก่า) ดีนะไม่ได้ตอบตะวันออกกับตะวันตกด้วย แค่นี้ก็กลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั้งคณะแล้ว แถมไอ้พวกพี่เชียร์ยังแซวอีก ไม่ต้องกลัวน้อง ไปรับน้องคราวนี้น้องได้ทำลายสถิติไปเที่ยวไกลกว่าเดิมแน่
จะมีปลอบประโลมใจได้บ้างก็นายชัยนี่หล่ะ ไม่รู้ตามมาได้อย่างไร พบครั้งแรกที่ประจวบฯ โน่น มาถึงนี่นึกว่าจะไม่มีใครรู้จักแล้ว พอมาเจอเข้าก็เลยคุยกันถูกคอ ไป ๆ มา ๆ จับพลัดจับผลูกลายเป็นมากกว่าเพื่อนไปได้อย่างไรไม่รู้ ก็ดีนะสบายใจดี แต่ก็มาเป็นแบบนี้ไปซะอีก เอาหล่ะ...เป็นไงเป็นกัน คุยกับแม่นี่แหล่ะ ที่เขาบอกว่าน้ำไกลดับไฟไม่ถึงก็เพิ่งเข้าใจวันนี้เอง ไว้คุยกับแม่แล้วค่อยโทรไปหายายยุ้ยที่สงขลาก็ได้
แม่คงจะเห็นฉันกระสับกระส่ายอยากจะพูดไม่พูดสักที จึงเอ่ยลอย ๆ ขึ้นมาว่า งั้นแม่ไปอาบน้ำดีกว่านะ ด้วยความกลัวว่าจะไม่มีใครคุยด้วยเลยคว้าชายเสื้อแม่ไว้ก่อน ตอนนั้นถึงรู้ตัวว่าแม่ แกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง ตัวของแม่ไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปเลย แถมยังพูดขึ้นมาอีก เอ้ามีอะไรก็ว่า มาสิ นี่แม่นะ ไม่ใช่อาจารย์ ไม่ต้องกลัว โห เด็กสมัยนี้กลัวอาจารย์ที่ไหนกันแม่ โดดกันหัวหกก้นขวิด ยิ่งพวกรุ่นพี่นี่ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ละคนเหมือนกับว่าจะโดดมากขึ้นตามความแก่พรรษา คุยกับพี่ซุปเปอร์คนนึงแกบอกว่าอย่างพี่อ่ะไม่ต้องเข้าเรียนแล้วมันอยู่ที่นี่ แล้วก็ชี้นิ้วใส่ขมองตัวเอง เพิ่งมารู้ทีหลังว่าแกเป็นนักวิ่งประเภทสี่คูณร้อย วิชานึงนี่ต้องลงสี่ไม้อย่างต่ำ อาจารย์รู้จักแกทุกคนแหล่ะไม่มีใครให้แกหมดสิทธิสอบสักคน ถือเป็นรายได้เข้ามหาวิทยาลัยสนับสนุนนโยบายหาทุนสร้างอภิมหาตึกไป เอ...แล้วที่พี่เขาชี้นิ้วเข้าขมองตัวเองนี่ มันมีอะไรอยู่ข้างในนั้นนะ เฮอ เฮอ ดันเผลอขำออกมาอีก โอ้ย...ไปถึงไหนกันวะเนี่ย ช่วงนี้ความคิดมันเรื่อยเปื่อยชอบกล
ฉันหลับตาลงแล้วปรับอารมณ์เข้าสู่ห้วงซึมเศร้าใหม่ในใจนึกถึงแต่เรื่องนายชัย เมื่อลืมตาขึ้นเห็นแม่เดินไปปิดโทรทัศน์กลับมาพอดี โห..เป็นงานเป็นการเลยวุ้ย อืมดีเหมือนกันจะได้มีสมาธิเล่าเรื่อง เรื่องพวกนี้นี่ถนัดอยู่แล้วสมัยอยู่โรงเรียนเก่านี่เคยแข่งขันเล่านิทานพิศดาร(เอานิทานที่เป็นที่รู้จักมาเล่ากลับด้าน ประมาณตัวเอกเป็นตัวร้ายตัวร้ายกลายเป็นพระเอก) จำได้ว่าตอนนั้นเล่าเรื่องกระต่ายกับเต่าเรียกน้ำตาผู้ฟังได้มาแล้ว นึก ๆ ไปก็ขำเหมือนกัน สคริปที่ใช้ตอนนั้นยังเก็บไว้อยู่เลย
ฉันเริ่มเล่าเรื่องนายชัยให้แม่ฟัง โดยพยายามใช้เทคนิคทั้งภาษากายและน้ำเสียงสร้างอารมณ์ร่วมให้แม่ไปด้วย นึกว่าพอฟังจบแม่จะร่วมสาปแช่งนายชัยไปกับฉันด้วย เหมือนที่เคยเล่า ๆ ให้เพื่อนฟัง แต่เปล่าเลยแม่ใคร่ครวญอยู่พักนึง ไม่ได้แสดงอาการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยออกมา ไม่มีอาการที่จะดุด่าว่ากล่าวออกมาเหมือนที่เสี้ยวนึงในความคิดฉันนึกวิตกก่อนที่จะเล่าให้แม่ฟัง ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ห้วงคำนึงอีกครั้ง ฉันก็ได้ยินเสียงแม่ ถามออกมาเบา ๆ แต่ชัดเจนว่า ลูกมั่นใจแล้วเหรอว่าเขาทำผิดจริง ๆ เคยคุยกับเขาเรื่องนี้หรือยัง ก็หนูเห็นเองนะแม่เดินตามกันอยู่ต้อย ๆ ในมหาวิทยาลัยเลยนะ พอเจอหนูนี่แยกกันแทบไม่ทันเลย นายชัยยังมีหน้ามาพูดอีกว่า ไม่ได้เข้าเรียนหรือ ทำไมหล่ะก็อาจารย์ไปธุระ(ธรรมดาของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีจ็อบพิเศษ)นี่เลยเลิกเร็ว นายชัยรับคำว่าเหรอพร้อมกับกวักมือเรียกน้องคนนั้นเข้ามาหา น้องเขาก็เชื่อฟังดีนะเดินเข้ามาหา พอมาเจอใกล้ ๆ เนี่ยเพิ่งรู้ว่าน้องเขาน่ารักมากเลย ได้ยินนายชัยเขาแนะนำว่านี่ แฟนพี่ แล้วชี้มาที่หนู น้องคนนั้นยกมือขึ้นไหว้แล้วบอกชื่อตัวเองโดยไม่รอให้นายชัยแนะนำเลยว่าชื่อเอ๋ เรียนอยู่โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยนี่เอง พอดีวันนี้เข้ามาหาพี่แล้วหลงมาเจอพรรคพวกของนายชัยเข้า
ตอนนั้นก็ไม่มีอะไรหรอกกลับมาหนูนั่งคิดดูนี่น้องเขาน่ารักขนาดนั้นจะไม่มีอะไรได้ไง สักพักนายชัยก็โทรมาขอโทษขอโพยใหญ่ แน่ะดูสิเหมือนร้อนตัวเลย หนูก็เลยวางสายไปซะ แม่นิ่งไปอีกพักนึง จึงพูดขึ้นมาว่าที่แม่ถามน่ะก็เพราะว่า คนเราน่ะมักใช้ความคิดตัวเองตัดสินใจในสิ่งต่าง ๆ เห็นอย่างนั้นก็สรุปเลยว่าเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเรามาลองพูดกันดี ๆ ฟังเหตุผลของแต่ละฝ่ายแล้วมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นี่จริงมั้ย อืม.. มีเหตุผล ฉันนึกอยู่ในใจ แต่จะให้ยอมง่าย ๆ ไปง้อน่ะไม่มีทางซะหรอก
เพิ่งสังเกตเห็นเหมือนกัน ว่าแม่เปลี่ยนไป ในความทรงจำเก่า ๆ ของฉันแม่นุ่มนวลอ่อนโยน แต่ก็ยังอารมณ์ร้อนพอสมควร อย่างไรก็ตามฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลย ก่อนจากไปก็เห็นแม่ซึมเศร้าเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ดูแม่เป็นผู้ใหญ่จริง ๆ ดูพึ่งพิงได้ทุกอย่าง ทำให้พลอยนึกไปถึงน้องชายคนโตที่ดูเหมือนจะรับเอาอิทธิพลของแม่ไปเต็ม ๆ ดูเขาเป็นคนช่างคิดและเป็นผู้ใหญ่ บางครั้งยังรู้สึกว่าตัวเองนี่วุฒิภาวะยังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม่เห็นฉันครุ่นคิดอยู่นาน คงจะสังเกตเห็นความขัดแย้งในตัวฉันที่ยังมีอยู่หล่ะมั้ง จึงพูดขึ้นมาว่า ว่าอย่างไรหล่ะ เรา จากความคิดก็เลยกลายเป็นคำพูดออกจากปากไป แม่รับฟังจนจบ จึงแยกข้อมูลออกมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับฉันเก็บไปคิด สักพักนึง ก็เห็นแม่ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
ว่าแล้ว แม่ก็ให้ไปเอากระดาษ A4 ที่ข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์มา พอวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ก็ถามว่านี่เป็นกระดาษขาวใช่มั้ย ฉันพยักหน้า เป็นเชิงว่าเห็นด้วย เห็นแม่ใช้ปากกาลูกลื่นนี่หล่ะ แต้มจุดลงไปสองจุดระยะห่างกันพอประมาณ แล้วถามขึ้นมาว่าทำไมเราต้องสนใจในจุดเล็ก ๆ สองจุดนี้ด้วยหล่ะ ในเมื่อยังมีที่ว่างอีกตั้งเยอะ ให้มอง
โห... คิดได้อย่างไรเนี่ยอึ้งเลย ยิ่งพยายามคิดทบทวนเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเนี่ย ยิ่งรู้สึกเห็นด้วยมาก ๆ เลย ลองมานั่งนึกดูที่ผ่านมาเขาก็ทำ สิ่งดี ๆ ให้เราตั้งเยอะ พื้นที่สีขาวของเขาในใจของเรานี่ใหญ่กว่ากระดาษ A4 มากมาย ความผิดพลาดเพียงแค่นี้ เรารับไม่ได้เชียวหรือ เราเลือกได้ นี่นา ว่าจะทำให้จุด สองจุดมันโตขึ้น หรือจะจำกัดมันไว้เท่านี้ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าความโกรธก็เหมือนกองไฟ เชื้อเพลิงอย่างดีก็คือ เรื่องเดิม ๆ ที่ไม่พอใจกันนั่นหล่ะ เวลาโกรธกันทีเนี่ยก็นำมาเพิ่มกันเข้าไป ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ถ้าเราลองมานั่งแยกแยะดูแก่นของมันแล้ว สนใจแต่เรื่องที่เป็นปัจจุบันเนี่ย เรื่องที่มองว่ามันใหญ่อาจจะเหลือเพียงนิดเดียวก็ได้ เหมือนพวกแหนมไง เวลาซื้อเนี่ย โห...ดูมัดเบ้อเร่อเลย ขนาดนี้กินทั้งบ้านยังเหลือเลย เอาอันเดียวก็พอแล้วเห็นบอกว่ากินมากไม่ดี มีพยาธิ กลับมาบ้านแกะใบตองดู เหลือนิดเดียว แค่เนี้ย....ต่อให้มีพยาธิทั้งดุ้น มันยังไม่คณนาน้ำย่อยเลย
กลับมาในห้องถือกระดาษ A4 แผ่นนั้นกลับมาด้วย ปล่อยความคิดให้ล่องลอยสักพัก เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวห่อเหี่ยว ไม่รู้อะไรดลใจ ดันนึกขึ้นมาได้ว่า เอ๊ะ... แล้วไอ้จุดสองจุดนี่มันไม่ถือว่าเป็นปัญหาเหรอ ถึงเราจะพยายามมองพื้นที่ ๆ เหลือ แต่ในความเป็นจริง มันก็ยังมีจุดสองจุดนี้เกิดขึ้นมาไม่ใช่เหรอ จะให้ลืมหรือไม่สนใจมันอ่ะ ไม่ได้หรอกจริงมั้ย เอ...ไม่น่าเชื่อว่าไอ้จุดสองจุดบนกระดาษแผ่นเดียวมันจะมีผลต่อชีวิตเราขนาดนี้ จะไปถามแม่อีกก็ดึกมากแล้ว โอย... เครียดจังทำไงดี มองไปทางหัวเตียงมีรูปตอนไปเที่ยวทะเลยิ้มแฉ่งเลยเราตอนนั้น เหมือนกับเกิดมานี่จะไม่ต้องเจอความทุกข์อย่างวันนี้เลย เหอ ๆ เผลอยิ้มขึ้นมาอีกได้อย่างไรเนี่ย นี่เรากำลังเครียดนะ ทำตัวให้เหมาะสมหน่อย กลับมาเครียดต่อดีกว่า...
ทะเล ใช่เลย ทะเล เราไปทะเล เราเคยเห็นคนนั่งนับเม็ดทรายไหม ไม่เคย ทำไมหล่ะ จะบ้าเหรอ ใครจะมานั่งทำอะไร ที่มันไร้ประโยชน์อย่างนั้น แถมทำไปก็ไม่สำเร็จ ไร้สาระอีกด้วย แล้วทำไมบางครั้งคนเราก็ชอบทำอะไรที่มันไร้ประโยชน์อย่างนั้นหล่ะ บางครั้ง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์แถมทำไปจะมีแต่ผลเสีย ก็ยังทำ โอ้..นี่หล่ะชีวิตมนุษย์ เกิดมาย่อมมีบ้างสิ่งที่พึงกระทำ และไม่พึงกระทำ โก้วเล้งมาเองเลย ถ้าจะเทียบกับคำพูดในหนังก็คงกลาดิเอเตอร์มั้ง ตอนที่พระเอกหุ่นบึกถามผู้ช่วยว่า ชีวิตเป็นไงบ้าง แล้วผู้ช่วยที่มีแผลเป็นที่หน้าตอบกลับมาประมาณว่า ส่วนมากผมจะทำงานตามหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมาย ส่วนที่เหลือผมทำในสิ่งที่ควรทำ อืม...เท่จังนะ ชักง่วงแล้ว ดี ๆ หลับไปเลย พรุ่งนี้เอาไอ้จุดสองจุดนี้ไปใส่กรอบไว้ติดห้องดีกว่า จะได้เอาไว้เตือนใจเวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้นอีก เอ...แล้วถ้าจุดสองจุดนี้มันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็มพื้นที่หล่ะ ...ไม่เอาดีกว่านอนแล้ว...
จากคุณ :
ริสรน (biblio)
- [
10 ส.ค. 46 16:14:13
]