"แม่"

    ณ มุมหนึ่งของกรุงเทพฯ ภายใต้แสงไฟจากหลอดไส้ ๓๐ แรงเทียน ซึ่งนับวันจะกลายเป็นของหายากเต็มทนในเมืองหลวงของเรานี้  “อารี” หยิบบะหมี่สำเร็จรูปซองสุดท้ายออกจากถุง  บรรจงแกะมันออก  สายตาก็เหลือบดูนาฬิกาปลุกเรือนเล็กที่วางอยู่ข้างฟูกนอนสีตุ่น ๆ ซึ่งวางอยู่บนพื้นห้อง  

    “สามทุ่มแล้ว”  อารีรำพึงในใจ  มิน่าเล่าท้องของหล่อนถึงร้องจ๊อก ๆ ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่อาหารที่โรงงานเขาจัดให้ตอนกลางวัน  อารีก็กินเต็มที่แล้วเพื่อให้ยังท้องมื้อเย็นได้นานที่สุด  แต่..ก็ไม่วาย

    “เฮ้อ ! คนเราทำไมต้องกินด้วยนะ”  อารีรำพึงอีกก่อนที่จะหย่อนบะหมี่ลงในชาม  เสียงบะหมี่หล่นกระทบชามกระเบื้องดัง กริ๊ก ทำให้อารีสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วหยิบบะหมี่ก้อนนั้นขึ้นมาใหม่  

    “เดี๋ยวกลับมาร้องหิว จะพาลโมโหแม่อีก”  อารีพึมพำกับตัวเอง แล้วแบ่งบะหมี่ออกเป็นสองส่วน  เก็บส่วนหนึ่งกลับเข้าถุง แล้วเทอีกส่วนหนึ่งกลับลงไปในชาม  หล่อนเทน้ำร้อนใส่แล้วทำการปิดฝา
    ระหว่างรอบะหมี่สุก  อารีหยิบรูปลูกสาวคนเดียวของหล่อนขึ้นมาดู แล้วยิ้ม  ลูกสาวของอารีสวยจนอดภูมิใจไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าคนหน้าตาขี้ริ้วอย่างหล่อนจะมีลูกสาวสวยถึงเพียงนี้  

    “มันได้แบบจากพ่อมาเยอะ”  อารีหวนนึกถึงชายคนแรกและคนเดียวในชีวิตที่หล่อนเคยมอบกายและใจให้…

    …ตอนนั้นอารีเพิ่งอายุ ๒๐ ปี รู้จักกับเขาตอนไปเที่ยวงานวัดกับเพื่อน ๆ เป็นแฟนกันได้ ๓ เดือน  อารีก็ท้อง  พอเขาทราบว่าหล่อนท้องก็ไม่เคยเห็นหน้ากันอีกเลย
     
    อารีหลบหนีออกจากบ้านเพราะกลัวว่าพ่อแม่จะหาว่า ‘ท้องไม่มีพ่อ’  ดั้นด้นเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ โดยอาศัยอยู่กับเพื่อนสาว  อารีได้งานเป็นกระเป๋ารถสองแถว มีรายได้วันละประมาณ ๑๒๐ บาท พอแค่อาหารประทังท้องเท่านั้น  ตอนนั้น อารียังไม่ได้นึกรักลูกเท่าไรนัก  ดูจะเป็นภาระให้อารีต้องลำบากในการหาเลี้ยงด้วยซ้ำ บ้านช่องก็กลับไม่ได้  ท้องก็เริ่มโต  อารีเคยหาทางที่จะเอาเด็กออก แต่เมื่อทราบถึงค่าใช้จ่ายทำให้หล่อนต้องเลิกล้มความตั้งใจ  จนเมื่อลูกเริ่มดิ้น.. อารีก็เริ่มรู้สึกถึงชีวิตอีกชีวิตหนึ่งในท้องของหล่อน  

    “เขามีความรู้สึกนะ ..เขาดิ้นรน”  

    อารียิ่งทำงานหนัก เขายิ่งดิ้นหนักขึ้น  อารีอึดอัดท้องที่โตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เป็นอุปสรรคในการทำงานเป็นกระเป๋ารถ  เมื่อท้องได้ ๕ เดือน อารีก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าหล่อนคงไม่สามารถยืนเกาะราวบันไดรถนาน ๆ ได้อีกต่อไป  พี่เอก คนขับรถก็เข้าใจ เขาบอกให้อารีทำงานอีก ๑ เดือนแล้วหยุดพักได้แล้ว ..เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของแม่และลูก  ตอนนั้น อารีมีเงินเก็บอยู่ ๙๐๐ กว่าบาท หากทำงานอีก ๑ เดือน โดยแทบไม่กินอะไรเลยก็คงเก็บเงินได้อีกสัก ๑,๐๐๐ บาท อาจจะอยู่ได้สัก ๒-๓ เดือนจนคลอด  อารีคิดในใจว่า เมื่อคลอดลูกแล้วหล่อนจะทิ้งลูกไว้ที่โรงพยาบาลแล้วหนีออกมา ‘คงมีผู้ใจบุญหรือมิฉะนั้นก็ทางโรงพยาบาลรับเลี้ยงไป’  ลาก่อนเด็กน้อย  หล่อนจะได้กลับไปทำงานเป็นกระเป๋ารถต่อ โดยไม่ต้องมีภาระอีก

    อารีอดมื้อกินมื้อกัดฟันทำงานต่อจนท้องได้ ๖ เดือน คืนหนึ่งฝนตกหนักมาก อารียืนเกาะบันไดรถด้านท้าย ปากคอสั่นด้วยความหนาว  หมดเที่ยวนี้แล้ว หล่อนคงต้องบอกพี่เอกขอกลับไปพักผ่อน เพราะหล่อนรู้สึกหนาวคล้ายจะไม่สบาย ลูกในท้องก็ดิ้นมากขึ้นทุกที..มากกว่าทุกครั้ง
    จากการที่อารีได้รับอาหารน้อยลงกว่าปกติทำให้อารีหมดเรี่ยวแรง ตาของอารีเริ่มหนัก และเริ่มบังคับได้ยาก  ชั่ววูบเดียว มือที่จับราวบันไดก็คลายออก อารีตกจากรถในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออก  หล่อนได้ยินเสียงผู้โดยสารร้องเอะอะโวยวาย  หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
    จนกระทั่งมารู้ตัวอีกครั้งท่ามกลางหมอและพยาบาลล้อมรอบ  สัมปชัญญะเริ่มแรก  อารีเอามือคลำท้องแล้วอุทานเบา ๆ  

    “ลูก” นับเป็นครั้งแรกที่อารีสื่อสารกับเขาด้วยการเรียกหา

    หมอที่ตรวจอารีอยู่บอกกับอารีว่า

    “เด็กอาจได้รับความกระทบกระเทือนถึงชีวิต  แต่ขณะนี้หัวใจยังเต้นอยู่ หากรักลูก คุณจะต้องไม่ขยับเขยื้อนตัวบ่อย ๆ”

    ‘หากรักลูก’ ทำไมคุณหมอจึงคิดเช่นนั้นเล่า..หรือที่ผ่านมา หล่อนไม่เคยมอบสิ่งนั้นให้กับเขา

    อารีซึ่งมีรอยฟกช้ำไปทั่วตามร่างกายหลับตาลงอีกครั้ง น้ำตาของหล่อนเอ่อท้นเบ้าตาทั้งสองข้าง  ความรู้สึกต่อทารกในท้อง ที่ไม่เคยเกิดกับหล่อนมาก่อนเลย เริ่มเกิดขึ้น  อารีไม่ต้องการสูญเสียเขาไป  อารีพยายามทุกวิถีทางที่จะสื่อความรู้สึกนี้กลับไปสู่ทารก

    “ดิ้นสิ..ลูก ทำไมเงียบไป”  อารีพึมพำกับตัวเอง  ..การดิ้นที่ทำให้หล่อนหงุดหงิดรำคาญตลอดเวลา แต่ถึงวินาทีนี้อารีต้องการเห็น  ต้องการรู้สึกมากที่สุด  เมื่อลูกไม่ดิ้น อารีก็ยิ่งร้องไห้  อารีปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายหมอและพยาบาล ปากก็พร่ำรำพันถึงความทุกข์ยากต่าง ๆ นานา  ..จนกรทั่งม่อยหลับไป

    อารีนอนอยู่โรงพยาบาล ๑ สัปดาห์ โดยมีพี่เอกและชาวรถสองแถวบริจาคเงินเป็นค่ารักษาพยาบาลให้  หล่อนกลับมายังบ้านเช่า  ลูกของหล่อนปลอดภัย  อารีใช้เงินที่หล่อนเก็บหอมรอมริบมาใช้จ่ายจนถึงวันคลอด  หล่อนเดินทางไปโรงพยาบาลคนเดียว  นอนรอหมอด้วยความกระวนกระวาย  เจ็บท้องอยู่หลายชั่วโมง  หมอจะไม่ทำการคลอดให้ถ้าหากไม่มีคำยินยอมจากสามี  อารีโกหก! หล่อนบอกว่าพี่เอกเป็นสามีและกำลังขับรถอยู่มาไม่ได้  หมอรับทราบแต่ไม่ยอมลงมือ จนเห็นว่าอารีร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจนทนไม่ไหวแล้ว  จรรยาแพทย์ทำให้หมอสั่งให้เข็นเข้าห้องผ่าตัดด่วน  อารีกำมือแน่น  หล่อนหายใจแรงและได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นทะลุออกมานอกอก  หมอและพยาบาลให้กำลังใจและคอยเชียร์ให้เบ่ง.. แต่อนิจจา เบ่งอย่างไร เบ่งเท่าไร ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลโดยง่าย  ความอัดอั้นใต้ท้องน้อยที่เหมือนจะโผล่แต่แล้วก็ผลุบหายเข้าไปอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    “หัวโผล่แล้ว”  พยาบาลร้อง  อารีเหมือนคนหมดแรง หล่อนไม่มีแรงเบ่งอีกต่อไปแล้ว  

    “ถ้าคุณไม่เบ่งเด็กจะไม่ออก และหายใจไม่ได้ เราอาจจำเป็นต้องผ่าออก”  ได้ยินดังนั้น  อารีก็กลั้นหายใจรวบรวมกำลังครั้งสุดท้าย หล่อนกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซิบ เบ่งเต็มที่.. มันเหมือนมีอะไรกำลังจะหลุดออกมาจากตัวหล่อนจริง ๆ  แววตาของหมอทำให้หล่อนรู้ว่า..หล่อนทำสำเร็จแล้ว  หมอพยักหน้าช้า ๆ ให้กับอารี พร้อมกับชูเด็กที่ร้องไห้เสียงดังขึ้นตรงหน้าอารี  

    “ลูกสาวครับ”  แล้วอารีก็หมดสติไป

    “น้องเอ๋” ทำให้อารีต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่มีคนเลี้ยงตอนกลางวัน ทำให้หล่อนทำงานที่เคยทำไม่ได้  อารียึดอาชีพเร่ขายล็อตเตอรี่ตามข้างถนนเรื่อยไป เพื่อที่จะสามารถกระเตงลูกไปกับตัวได้  หล่อนเช่าห้องเล็ก ๆ หลังนี้อยู่กับลูกตั้งแต่น้องเอ๋ อายุได้ ๓ ขวบ จนน้องเอ๋เข้าโรงเรียน อารีจึงเริ่มหางานงานประจำ  และก็ได้งานที่โรงงานทอผ้า  หล่อนเก็บเงินเดือนไว้เป็นค่าเล่าเรียนและให้น้องเอ๋ได้ใช้สอยจนหมด  ตัวเองประทังชีวิตไปวัน ๆ กับอาหารขาด ๆ เกิน ๆ มื้อต่อมื้อ

    อารีไม่คิดแต่งงานใหม่แม้จะมีคนมาชอบ เพราะกลัวว่าพ่อใหม่จะไม่รักลูก  ซ้ำจะเป็นภัยแก่ลูกของหล่อนในภายหลัง  ปีนี้น้องเอ๋อายุ ๑๗ ปีแล้ว เรียนอยู่โรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่ง  อารีหวังว่าลูกจะเรียนจบ มีงานทำดี ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนหล่อน

    น้องเอ๋ เริ่มเที่ยวตามประสาเด็กวัยรุ่น  คบเพื่อนชายและเริ่มกลับดึก  อารีไม่เคยตีลูก กลัวว่าจะทำให้เขาเสียใจและเตลิดไปจากหล่อน  น้องเอ๋เริ่มใช้จ่ายมากขึ้น นอกเหนือจากค่าเล่าเรียน  อารีเริ่มเป็นกังวล แต่หล่อนยังเชื่อว่า ‘แม้หล่อนจะเป็นคนไม่มีอนาคต แต่หล่อนสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกได้’  

    “เด็กวัยรุ่นก็เป็นอย่างนี้แหละ เรียนจบแล้วก็รู้คุณค่าของเงินเอง”  อารียังยิ้มอยู่ เอื้อมมือไปเปิดฝาชามกระเบื้องออก ควันและกลิ่นบะหมี่ฉุยจนอารีแทบอดใจไว้ไม่อยู่  หล่อนยกชามบะหมี่มาตั้งบนโต๊ะเล็ก ๆ เตี้ย ๆ แล้วนั่งพับเพียบลงกับพื้นกำลังจะลงมือทาน  
    ทันใดนั้น! เสียงเดินกึ่งวิ่งดังมาจากโถงบันไดมาที่ประตูห้อง  อารีตาใสขึ้นมาทันที หันไปมองที่ประตู ลูกสาวคนสวยของอารีกลับมาแล้ว

    “แม่จ๋า!”  น้องเอ๋วิ่งโผเข้ามากอดอารีจนแน่น  อารีกอดตอบไป ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ลูกไม่ค่อยทำแบบนี้บ่อยนัก  อารีกลัวเกินกว่าจะตั้งคำถาม  ใจคิดถึงแต่ความเป็นไปได้ในทางที่ดีทั้งหมดที่มีอยู่
    ลูกสาวซบหน้ากับอกแม่ เนื้อตัวสั่นน้อย ๆ จนรู้สึกได้  อารีไม่กล้าผละลูกออกไปปล่อยให้อากัปกิริยาการกอดนั้นทอดนานออกไป.. ไม่มีเสียงพูดจากปากลูก  อารีกำลังรอให้ลูกเอ่ยปากก่อน  แต่น้องเอ๋ยังกอดแม่แน่น  จนอารีหมดความอดทน รวบรวมกำลังใจเอ่ยปากทักขึ้นมาก่อน

    “ทำไมกลับดึกจัง.. หิวไหมลูก”  ประโยคสั้น ๆ แต่อารีรู้สึกว่ามันยาวเสียจนหล่อนจำไม่ได้ว่าขึ้นต้นว่าอย่างไร  อารีลูบไล้ผมยาวสลวยของลูกสาวช้า ๆ  น้องเอ๋เริ่มคลายวงแขนออกจากตัวหล่อนแล้วแต่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น

    “แม่จ๋า..”  เด็กสาวร้องเรียก เสียงทอดยาวก่อนหยุดวรรคนิดหนึ่ง..

    “เอ๋กำลังจะมีลูก”

    อารีเหมือนหัวใจหยุดเต้นลงไป แล้วร่างกายทุกส่วนก็ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น มีเพียงเบ้าตาทั้งสองที่ร้อนผ่าว  หยดน้ำใส ๆ จากตาของอารีเอ่อล้นไหลเรื่อยแก้มลงมาใต้คาง แล้วหยดลงในชามบะหมี่สำเร็จรูปชามนั้น..

    จากคุณ : *bonny - [ 11 ส.ค. 46 08:45:53 ]