แม่จ๋า......

    แม่จ๋า…
    นานมาแล้วที่ผมไม่ได้พูดคำนี้ เป็นคำที่เมื่อพูดเมื่อไรก็รู้ทันทีว่ามันออกจากหัวใจ
    จากหัวใจของลูกคนหนึ่ง ที่รักแม่ไม่น้อยกว่าลูกทุกคนในโลกนี้
    ผมมีเรื่องจะคุยกับแม่เยอะแยะเลย
    ………….

    ลูกชายคนนี้ของแม่ หลังจากเลิกตักตวงเอาเลือดจากอกของแม่มาเป็นอาหารเลี้ยงตัวเองได้ไม่นาน ผมก็ได้ใช้หยาดเหงื่อแรงกายของแม่แลกมาซึ่งอาหารการกิน เครื่องแต่งกาย และการร่ำเรียน

    ผมยังจำได้ ภาพการนั่งพับถุงกระดาษของแม่ ที่แม่ทำตั้งแต่เช้ายันดึกดื่น

    แม่ไปรับกระดาษมาจากโรงงานแห่งหนึ่ง โดยขึ้นรถเมล์ไปในตอนเช้า กลับมาในตอนเที่ยง

    ลูกหกในเจ็ดคนของแม่ไปเรียนหนังสือ ลูกคนที่เจ็ดคือผมนั้นจะได้ไปกับแม่ด้วย แม่ไม่เคยทิ้งผมเอาไว้ให้อยู่คนเดียว

    แม่ใช้สองมือที่หยาบกร้านนั้น หิ้วกระดาษหนาหนัก แม้ผมจะเข้าช่วย แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนอกเสียจากทำให้เกะกะมากขึ้น

    เมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่แกะกระดาษออกมาเรียงเป็นแถว ใช้แป้งเปียกที่ทำจากแป้งผสมน้ำร้อนทาบริเวณขอบกระดาษจนทั่วถึง

    แล้วแม่ก็พับ แผ่นแล้วแผ่นเล่าผ่านมือแม่ออกมา ผมได้แต่เพียงช่วยเรียงซ้อน ๆ กันเอาไว้ แล้วเอาท่อนไม้ทับไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม ลมซึ่งมาจากพัดลมเครื่องเล็ก ๆ ที่เวลาจะให้มันหมุนต้องใช้มือหมุนเสียก่อน

    แม่ทำอยู่อย่างนี้เรื่อยมา แม่บอกว่าเงินเดือนที่พ่อทำได้ ไม่พอจะเลี้ยงลูกทั้งเจ็ดคน แม่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยพ่อ

    พ่อเป็นแค่เสมียนบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เงินเดือนเท่าไหร่นั้นผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่มากเท่าใดนัก แต่ก็ได้เยอะกว่าที่แม่ทำได้มาก

    แม่พับถุงกระดาษ ขายได้ร้อยละหกสลึง พันละสิบห้าบาท

    การพับถุงกระดาษหนึ่งพันใบ ต้องเสียเวลาทำไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน

    ผมยังจำได้ เมื่อผมโตขึ้นจนเข้าเรียนแล้ว ผมต้องรอให้แม่พับถุงใบที่พันเสร็จ แล้วยกถุงพันใบนั้นไปแลกเอาเงินมา ก่อนจะเอาเงินนั้นไปใช้ที่โรงเรียน

    ผมรู้ว่าแม่เหนื่อย แต่แม่ไม่เคยปริปากอะไรออกมา ควักสตางค์ให้ทุกครั้งที่ผมต้องการไปซื้อขนมหรือของเล่น

    ไม่เฉพาะผมเท่านั้น ลูกทุกคนเมื่อแบมือขอเงินแม่ แม่มักจะมีให้ แม่มักจะให้โดยไม่พูดไม่บ่นสักคำ

    ……….

    ช่วงเรียนอยู่ป.4 ผมเกเรียนอย่างมาก เนื่องจากเพิ่งเริ่มเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่ชอบ และครูที่สอนก็ดุมาก เป็นครูที่ไร้จิตวิทยาในการสอนโดยสิ้นเชิง

    ผมเคยถูกครูคนนี้ตีด้วยเสาอากาศที่ทำจากแท่งพลาสติก ตีจนเลือดซิบออกมาจากรอยแนวที่เขียวคล้ำสิบรอย จากสาเหตุที่ไม่สามารถท่องศัพท์ได้ให้ครบสิบคำในวันหนึ่ง

    แม่เห็นบาดแผล แม่กอดผมอย่างสงสารจับใจ แต่แม่ไม่โทษครู แม่บอกว่าครูเขาอยากจะให้เราได้ดี ครูเขาถึงตีเรา

    แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมไม่ยอมไปโรงเรียนอีกต่อไป

    ผมบอกแม่ว่า ผมจะอยู่บ้านช่วยแม่พับถุงขาย ผมจะพับให้ได้เยอะ ๆ จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ

    แม่หัวเราะ แล้วบอกผมว่า “ไม่ได้”

    แม่เรียนไม่สูงนัก แม่จึงไม่มีถ้อยคำดี ๆ มาสั่งสอนผม

    ท่านบอกอย่างเดียวว่า “ลูกไม่เรียนไม่ได้..ลูกจะลำบากอย่างแม่กับพ่อไม่ได้..”

    การลากจูงผมไปโรงเรียนจึงได้เกิดขึ้นในวันหนึ่ง

    ผมเดินร้องไห้ตลอดทาง ผวาเข้าเกาะต้นไม้ทุกต้น เสาไฟฟ้าทุกต้น แม้แต่ต้นหญ้าหรือรั้วของบ้านทุกบ้านที่เดินผ่าน แม่แกะมือผมออก ทั้งลากทั้งจูง ทั้งพร่ำบ่นทั้งเหนื่อยหอบ

    แต่แม่ไม่เคยลงมือตีผมเลย และไม่เคยตีเลยตลอดชีวิตของผม

    เมื่อไปถึงโรงเรียน แม่ขอเข้าพบครูคนนั้น ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ

    แม่ไปพูดอย่างไรไม่ทราบ คุณครูคนนั้นออกมาหาผม ที่ยืนรออยู่หน้าโรงเรียน

    “ครูรับปากว่าจะไม่ตีเธออีกต่อไปแล้ว ครูสัญญา..”

    ………..

    แม่ครับ..เมื่อผมโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นครอบครัวของเรามีฐานะดีขึ้นบ้าง เพราะพี่ชายคนโตและคนรอง สามารถหางานทำได้ในขณะที่เรียนไปด้วย

    แต่ทำไมแม่ถึงไม่หยุดพับถุง???

    อาจจะเป็นเพราะพ่อป่วยบ่อย ร่างกายที่กรำงานหนักและดื่มหนักสูบหนัก ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้

    พ่อทำงานได้บ้างไม่ได้บ้าง วันไหนขาดงานวันนั้นก็จะถูกหักจากเงินเดือน

    นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ต้องพับถุงขายต่อไป
    ……….

    แม่เป็นผู้หญิงร่างอ้วน..เวลาหัวเราะแม่จะตาหยี..

    สิ่งหนึ่งที่แม่เสพติด เป็นสิ่งเดียวที่ลูก ๆ ทุกคนมักจะจามเมื่อเข้าใกล้แม่

    แม่ติดยานัตถุ์ ท่านั่งนัตถุ์ยาของแม่ก็เป็นภาพที่ติดตาของผมจนทุกวันนี้

    แม่จะเหยียดขาออกไป เอาขาหนึ่งไปซ้อนกับอีกข้างหนึ่ง มือซ้ายแบ มือขวาถือหลอดเป่าบดยาไปมา ก่อนจะใส่เข้าหลอดแล้วเป่าพรืด

    ลูก ๆ ที่อยู่ใกล้กระเจิงออกไปอย่างรวดเร็ว

    แม่หัวเราะพุงกระเพื่อม..ใช้ผ้าเช็ดหน้าสั่งน้ำมูกดังปื้ด

    วันละสองสามครั้งที่แม่ทำอย่างนี้ จนผ้าถุงและเสื้อของแม่เหม็นแต่ยานัตถุ์

    แต่แม่รู้ไหม ผมชอบนอนตักแม่ที่สุดเลย

    ตักแม่ที่มีผ้าถุงกลิ่นยานัตถุ์นี่แหละ เป็นความนุ่มนิ่มที่ผมคุ้นเคย เป็นกลิ่นที่ผมจดจำ

    ………

    ลูกของแม่คนนี้เรียนไม่เก่ง แต่ก็พอเอาตัวรอดได้

    ใกล้จะจบก็ได้งานทำ เป็นงานที่ผมชอบทำมาก แม่มักเป็นห่วงผมเสมอที่ผมต้องกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ

    ไม่ว่ากี่โมงที่ผมเข้าบ้าน แม่จะลุกขึ้นมาดูผม แล้วถามว่ากินข้าวมาหรือยัง

    ผมจำได้ดีถึงวันแรก ที่ผมนำเงินมาให้แม่

    เป็นเงินที่ผมได้จากการทำงานก้อนแรกในชีวิต จำนวนเก้าร้อยบาทถ้วน

    ผมยื่นให้แม่เงียบ ๆ แม่รับไปเงียบ ๆ

    ผมไปนั่งกินข้าว แม่นั่งดูโทรทัศน์

    ผมเห็นแม่นั่งน้ำตาไหล ทั้ง ๆ ที่โทรทัศน์กำลังเสนอข่าวจากทางราชการ

    แม่หยิบเงินนั้นขึ้นมามาดู บรรจงพับอย่างสุดหวง ค่อย ๆ สอดเข้ากระเป๋าเสื้อคอกระเช้าของแม่อย่างทะนุถนอม

    ผมไม่ถามแม่ว่าแม่เป็นอะไร เพราะผมเองก็กำลังกินข้าวแกล้มน้ำตาอยู่เหมือนกัน

    เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตัน เป็นน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจ

    ผมจะไม่ยอมให้แม่พับถุงขายอีกต่อไปแล้ว…

    ………

    วันแม่นี้นะครับ..ผมจะไปกราบแม่
    ผมจะไปกอดแม่ หอมแก้มแม่ และนอนหนุนตักแม่
    แม้แม่จะไม่ได้นัตถุ์ยาแล้ว แม้แม่จะมีแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว แม้แม่จะลุกนั่งเดินเหินไม่ได้แล้ว
    และแม้แม่จะมองอะไรไม่เห็นแล้ว
    แต่ผมเชื่อว่าอ้อมกอดของแม่นั้น จะอบอุ่นมิรู้วาย
    และคำว่า “ลูกต่อ มาหาแม่หรือลูก…” นั้น
    จะเรียกขวัญและกำลังใจสำหรับการดำเนินชีวิตของผมให้กลับมาอีกครั้ง
    เหมือนกับทุกครั้งที่ผมเคยได้รับจากแม่เสมอมา
    แม่จ๋า…ผมรักแม่ครับ…

    ………………………………

    จากคุณ : ลูกของแม่คนนี้ที่ชื่อ...แทน - [ 11 ส.ค. 46 12:53:50 A:202.5.83.71 X: ]