เพลิงพระคงคา(บทที่๘)

    บทที่๘….

    …มหามโหรีค่อยๆชะลอคลายท่วงทำนองเร็วเร่ง..ทิ้งทอดจังหวะเนิบช้า  นาฏกรผู้อยู่บนเวทีจึงพริ้วกายไหวตามเสียงดนตรีที่อ่อนละมุนลง.

    ....ขยับท่วงท่าให้ อ่อนช้อยประสานกับบทเพลงที่ดังกังวาลก้องทั่วโถงกว้าง

       จากความเร็วเร่ง…คลี่คลายคืนสู่ความสงบเเช่มช้า…
    ศิลปะเเห่งนาฏการเป็นเช่นนี้

      “เสร็จสิ้นเสียที….”

       นฤตยาคลายใจ ที่ภาระของนางกำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้า  ดวงหน้าละมุนประดับรอยเเย้มบนริมฝีปากระเรื่อด้วย
    สีชาด กรายกรีดเเขนอ่อนกลมกลึง ไกวข้อมือสะบัดกำไลโปร่งให้กระทบกันเป็นเสียงใสได้จังหวะ

       ร่างบางทอดลมหายใจยาว…พยายามควบคุมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับเสียงดนตรี..มิให้ประหวั่นหวาดไปกับสายพระเนตรอันหมายมาดจากองค์ราชะ…

        ผู้ประหนึ่ง พญาราชสีห์ซึ่งกระหายที่จักลิ้มรสหวานเเห่งเนื้อมฤคี….

        องค์วาสุเทวะเทพ…ละสายพระเนตรโกรธกริ้วจากวงพักตร์ขรึมเครียดของราชโอรสเพียงในนามของพระองค์.. ทั้งๆที่ในพระทัยยังคงกรุ่นไปด้วยโทสะจริต

      “เสด็จพี่…”
      สุเมธะอุปราชตรัสเรียกกระซิบ เมื่อเห็นสีพระพักตร์ขุ่นเคืองเเห่งองค์ราชะ

    “มันกล้าขัดใจข้า….เจ้าก็เห็น….มันมองข้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ”

    “บุรุษหนุ่มก็เช่นนี้….เมื่อรักแรงก็ย่อมมีหึงหวงบ้างเป็นธรรมดา”  

    พระอนุชาทูลอย่างพระทัยเย็น

    “เเต่ถ้าทรงปราถนาจักได้นฤตยามาชื่นชมจริงๆ…เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้น่าจักทรงมองข้ามไปเสียเพียงขอให้เอาตัวนางมาได้ก็เป็นพอ…จักต้องใส่พระทัยกับผู้อื่นไปใยเล่า”

    ผู้อื่น….ผู้กล่าวเน้นคำในที…สำหรับองค์มคธปติ…
    สุริยะราเชนทร์ผู้มิใช่เชื้อสายของพระองค์…

    ย่อมเสมือนผู้ที่มิมีความสำคัญใดเลยที่จักต้องสนพระทัย…

    เช่นชนกเเละบุตรจักควรเป็น….

        สุเมธะอุปราชยกน้ำจัณฑ์รสหวานเเหลมขึ้นจิบช้าๆ ประหนึ่งกำลังใช้ความคิดใคร่ครวญ

    “เจ้าจักช่วยข้าได้หรือไม่…”

       องค์ผู้ประทับบนบัลลังก์ทองก้มพระพักตร์ลงมาตรัสถามอย่างร้อนรนจนมหาพิชัยมงกุฏมณีโน้มต่ำสะท้อนเเสงประทีประยับวาว

    “ได้สิ..พระเจ้าข้า…..”

      เเววเนตรเรียวปานนาคาซ่อนกระหยิ่มยินดีไว้อย่างเเนบเนียน ด้วยอีกไม่ช้าการที่วางไว้คงจักประสบผลสำเร็จเเม่นมั่น..

    “ประเดี๋ยวก็ทรงประทานเป็นทรัพย์สินเงินทอง เครื่องประดับอาภรณ์อันงดงาม เป็นรางวัลเเก่นางสักหน่อย

    …อันข้าวของเหล่านี้ จักทำให้ศูทระผู้ยากไร้เช่นนางนึกนิยมในตัวพระองค์เเละต่อไปข้าก็จักให้บุตรีของข้าไปเจรจากับนาง…ให้มาเป็นบาทบริจาริกาของพระองค์…
    ซึ่งนฤตยาก็คงจักโอนอ่อนยอมตามพระทัยโดยดี…”

    จักมีนรีคนใด…ที่ไม่นิยมชมชอบความสวยความงาม

        วาสุเทวะปติยกหัตถ์ลูบพระมัสสุย้อมดำอย่างตริตรอง ก่อนที่จักพยักพักตร์อย่างทรงเห็นชอบด้วยในดำริของพระอนุชา

    “ก็ดี เเล้วข้าจักไปสั่งการตามที่เจ้าว่า..”

    ………………………..

       น้ำจัณฑ์สีทองถูกรินลงถ้วยสำริดใบย่อม..เติมเเล้วเติมเล่า..ก็ยังมิสามารถทำให้ผู้เสวยคลายความรู้สึกเคืองขุ่นในหทัยได้ดังที่ปราถนา..เเต่หากยิ่งเสวย…กลับยิ่งทวีความกริ้วให้คุกกรุ่นยิ่งขึ้น…

    “เสด็จพี่….พอเถิด”

       จนองค์อนุชาใช้ฝ่าพระหัตถ์ปิดปากถ้วย…ด้วยเกรงพระเชษฐาจักทรงมึนเมาไปมากกว่านี้

    “…องค์ราชะ  พระองค์มีเหล่านารีอันงดงามคอยปรนนิบัติมากมายอยู่เเล้ว..ใยจึงทรงมิรู้จักพอ….”

     ผู้ตรัสยกถ้วยขึ้นเสวยอีก…คล้ายกับทรงปราถนาให้น้ำโสมดับความกลัดกลุ้มในพระทัย

    “ถ้าเจ้าเป็นข้าบ้างจักรู้สึกอย่างไร…จันทรคุปต์…เมื่อนางอันเป็นที่รักของเจ้ากำลังจักถูกพรากไปเช่นนี้….”

        วรองค์สูงทรงอาภรณ์สีครามเข้ม ยังประทับองค์นิ่งมิมีโอนเอน  พระเนตรทอดไปยังสตรีที่ทรงสิเน่หาไม่อย่างมิละสายเนตร  …

    ..มคธบดี…ข้าชิงชังพระองค์ยิ่งนัก…

    “หึ…ข้าบอกให้ทรงตัดพระทัยเเล้วก็ทรงมิเชื่อ…จักทรงเเข็งขืนกับเสด็จลุงรึก็เสียเเรงเปล่า..ปล่อยนางไปเถิดเพคะ..”

       เสียงหวานเอ่ยเอื้อนขณะที่เจ้าตัวขยับกายเข้ามาใกล้เเนบชิดพาหาเเห่งองค์สุริยะราเชนทร์ โดยมุ่งหวังจักให้นางนาฏยกรที่อยู่กลางโถงมองผ่านมาเห็น

    ว่าศูทระเช่นนางมิควรคู่กับสุริยะราเชนทร์เเม้สักน้อยนิด…

    “ชาลินี…ผู้ใดเห็นเข้าจักมิดี”

    คันธาระปติใช้พระหัตถ์เรียวผลักร่างระหงให้ออกห่างวรกายเบาๆ ด้วยทรงมิโปรดให้นางมาวุ่นวายรบกวนพระองค์

    “ทรงเกรงนฤตยา..จักเห็นเข้าหรือ” บุตรีองค์อุปราชทูลยั่วเย้า..

    “เห็นก็ดีสิเพคะ…จักได้รู้ว่า..กษัตริยะเช่นพระองค์เเละธิดาเเห่งอุปราช…เหมาะสมกันเพียงไร”

    รอยยิ้มจากริมฝีปากสีชาดจัดคลี่เเย้มยวน..พลางเกาะข้อพระกรเรียวไว้เเน่น

    “ออกไปห่างๆข้า..ชาลินี…”  

    คำตรัสกราดกริ้ว ตวัดหางเนตรครามอย่างทรงฉุนเฉียว พลางสะบัดข้อพระกรโดยเเรงให้พ้นจากการเกาะกุม

    “จันทรคุปต์….ข้าอยากออกไปข้างนอกสักครู่..ในท้องพระโรงนี้เสียงยิ่งนัก..”

    “ประเดี๋ยวเพคะ…”
    “อย่าตาม…เสด็จพี่กริ้วเเล้ว”

     องค์อนุชารั้งชายผ้าสีชาดของธิดาอุปราชไว้เเน่น..
    ร่างระหงจึงต้องทรุดนั่งลงอย่างจำใจ

       องค์สุริยะราเชนทร์ยันองค์ลุกขึ้นจากอาสนะนุ่ม…ประทับยืนเด่นอยู่กลางโถงท้องพระโรงท่ามกลางความประหลาดใจของเหล่าขัตติยะราชผู้ชมนาฏยการ…

      เสด็จออกไปยังนอกบานพระทวารอย่างมิเกรงพระทัยองค์ราชะผู้ประทับเป็นประมุขโดยมิได้ก้มเศียรทูลลา…พลางทอดสายพระเนตรปรายมายังร่างบางที่อยู่บนเวทีลาดพรม

    ….อย่างทรงเเสนสิเน่หาเเละหวงเเหนยิ่งนัก…

      เพียงชั่วขณะเดียว….ก่อนที่จะเสด็จก้าวพ้นท้อง
    พระโรงออกไปประหนึ่งมิใยดีกับสิ่งใด ณ นั้นเเล้วทั้งสิ้น..

      เเม้กระทั่งพระเกียรติเเห่งองค์ราชะ…หรือนวลอนงค์นาฏยกรผู้เลอลักษณ์..

    “จงดู….มันทำเหมือนมิเห็นหัวข้าเลยสักนิด” มคธปตีตรัสอย่างพิโรธ..ด้วยมิเคยถูกท้าทายเช่นนี้

    “อย่าได้ใส่พระทัยเลย….เสด็จพี่..มันไปเสียก็ดีเเล้ว” สุเมธะอุปราชทูลปรามเบาๆเพื่อให้พระองค์ระงับโทสะจริตที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในพระทัย

    “ทรงอดใจรอประเดี๋ยวเถิด…เมื่อนาฏการจบลง..อย่าทรงลืมที่ข้าเเนะนำเสียเล่า”

       องค์อนุชาค่อยๆเเย้มโอษฐ์อย่างพระทัยเย็น…ลอบทอดสายเนตรคมยังวงพักตร์แห่งเชษฐากษัตริย์

    ซึ่งปรากฎรอยสรวลสราญพระทัยเมื่อทรงคลายจากความกราดกริ้วเมื่อครู่…

    “เสด็จพี่…ข้าได้ถวายสิ่งที่ทรงปราถนาเเล้ว   อีกไม่ช้า.พระองค์จักต้องประทานในสิ่งที่ข้าควรครองด้วยเช่นกัน ….”

    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

       วิจิตรวีณาลดเสียงดังกังวาลเป็นเบานุ่ม…คลอขลุ่ยอ้อทุ้มต่ำ กลองหนังเเละฉิ่งทองทอดจังหวะช้าเนิบนาบ ..ก่อนที่จะทิ้งทำนองหยุดลงยาวนาน

       ทว่าเสียงปรบหัตถ์ฉาดฉานอย่างพอพระทัยจากองค์ราชะเเละเหล่าขัตติยะราชกลับดังก้องทั่วโถงกว้างเเทนเสียงดนตรีที่เงียบหายไป…

        ร่างบางหมอบกรานอยู่บนเวทีที่เกลื่อนไปด้วยกลีบมาลา…เกศเกล้ามวยสูงก้มต่ำ ทำให้นวลนลาภเเนบจรดหลังมือเรียวซึ่งจรดลงชิดพรมเเดง  เป็นการเเสดงอภิวันทาต่อองค์วาสุเทวะอย่างเคารพยิ่ง


    “ท่านทั้งหลาย….”

    มคธปตีเอ่ยโอษฐ์ต่อผู้ชมการเเสดง ณ ท้องพระโรง

    “การประชันในราตรีนี้ ระหว่างบาทบริจาริกาเเห่งวัชชีราช เเละ นฤตยานาฏกร..ได้เสร็จสิ้นเเล้ว”

    โถงกว้างพลันสงัด…องค์ราชะหยุดตรัสชั่วครู่ ทอดพระเนตรกวาดไปรอบๆท้องพระโรง

    “ข้าตัดสินว่า….ทั้งสองฝ่ายมีความสามารถในนาฏการงดงามเสมอกัน”

      เสียงตรัสเอ่ยชมอย่างพึงหทัยจากบรรดาขัตติยะราช..ต่อพระปรีชาชาญในการตัดสินของพระองค์ดังอื้ออึง..
    ด้วยต่างเห็นพ้องต้องกันกับองค์วาสุเทวะเทพผู้เป็นใหญ่เเห่งนครราชคฤห์

    “ราชะ….ทรงปรีชายิ่งเเล้ว..”

      วรองค์ในอาภรณ์ทรงสีขาวปักลายเส้นทองปราณีตค่อยๆผุดประทับยืนขึ้นจากรัตนบัลลังก์โบกหัตถ์ช้าๆเป็นสัญญาณให้ทั่วทั้งโถงกว้างเงียบสนิท..

    “นี่คือรางวัลของเจ้า….นฤตยานาฏกร”

       ทรงชี้หัตถาไปยังนางกำนัลสองนางที่ทยอยคลานเข่าเข้ามายังเบื้องพระพักตร์ ในมือของนางคนซ้ายประคองถาดอาภรณ์เเพรพรรณหลากชนิดพร้อมด้วยเครื่องประดับมณีอันงดงามยิ่ง

       ส่วนของอีกนางคือถาดเหรียญทองที่วางพูนอยู่บนผืนไหม…เปล่งประกายระยับตา


      นฤตยาเงยดวงหน้าขึ้นจากพื้นพรม..ทันที่ที่สายตาของนางเห็นราชรางวัลที่ทรงประทาน..จึงรีบทูลปฏิเสธละล่ำละลัก..

    “ทรงประทานอภัยให้ข้าเถิด ฝ่าพระบาท…ราชรางวัลของพระองค์นั้นล้ำค่าเกินกว่าที่..ข้าจักรับได้เพคะ”

    “เมื่อข้าให้..เจ้าก็ควรรับไป” ทรงคลี่ รอยสรวลเเย้มอย่างพึงหทัย

    “สำหรับผู้ที่ให้ความบันเทิงใจเเก่ข้าได้…สิ่งของเหล่านี้มิมากไปหรอก”

    “ขอบพระทัย..เพคะ”  ดรุณีร่างบางเอ่ยทูล..พลางก้มเกศกราบอีกคำรบหนึ่ง

    “ราตรีนี้เจ้าคงเหนื่อยมากเเล้วจงกลับคืนเรือนไปเถิด..”
       
      มคธปตีทรุดองค์ลงประทัยนั่งบนราชบัลลังก์เช่นเดิม..อังสากว้างขยับเอนทำให้สายมุกดาวลีบนภูษาพาดอังสะพลอยกวัดไกว

    “ใต้ฝ่าพระบาท…ข้าขอทูลลาเพคะ”

       สตรีในอาภรณ์สีกุหลาบงามรับราชบัญชา…กระถดกายคลานถอยไปยังนอกบานพระทวารพร้อมด้วยนางกำนัลทั้งสองนางที่เดินเข่าตามมา …

       ครั้นเมื่อจวนจักสุดลาดพรม..นฤตยาพยายามกวาดสายตาเเลหา ..วรองค์สูงในอาภรณ์สีครามตามเเถวอาสนะเรียงรายรอบเวที…เเต่หากมิพบ…

    “เสด็จไปที่ใดเเล้ว….เมื่อครู่ยังเห็นอยู่”
    ริมเสากลมกลึง มีเพียงอาสน์ว่างระหว่าง ขัตติยะราชจันทรคุปต์ เเละ สตรีร่างระหงอีกนางหนึ่ง..ซึ่งมองมาทางนางด้วยสายตาเฉยชา

    ….ประหนึ่งดูถูกเหยียดหยัน..หมิ่นเเคลน….ระคนกันในความเยียบเย็น

        เมื่อม่านบางกั้นพระทวารถูกรวบปิด…ราชมโหรีจึงเริ่มบรรเลงดนตรีขับกล่อมองค์ราชะเเละราชบริพารมิให้ท้องพระโรงกว้างเงียบเหงา..สำรับอาหารอีกชุดหนึ่งในถาดสำริดถูกทยอยยกมาตั้งเทียบอาสนะเเห่งเหล่าขัตติยะวงศ์จนถ้วนทุกองค์

        เครื่องเสวยอันโอชะ วางถวายอยู่บนตั่งงาช้างเคียงบัลลังก์ ..

        หากเเต่องค์มคธราชหาได้ใส่พระทัยกับเครื่องคาวหวานอันปรุงวิจิตร  ด้วยเพราะทรงเอาหทัยจดจ่ออยู่กับอนงค์นาฏยกร ซึ่งพระอนุชาธิราชรับคำมั่นว่าจักนำนางมาถวายเป็นบาทบริจาริกาเเห่งพระองค์ให้จงได้…

    …วรองค์บนบัลลังก์กระสับส่าย…ด้วยต้องมนต์เเห่งกามะเร่งเร้า


      “ไหนเจ้าว่าจักช่วยข้า….”

      ผู้เป็นเจ้าของเนตรเรียวปานนาคา ค้อมเศียรลงน้อยๆประหนึ่งน้อมรับราชประสงค์

      “รอประเดี๋ยวเถิด…ข้าจักสั่งให้ชาลินีไปเจรจากับนางเอง”

       องค์สุเมธะราชอุปราช ทอดสายเนตรไปยังบุตรี…ร่างระหงเมื่อเห็นบิดามองมาจึงคลี่เเย้มยิ้มรับ ด้วยทราบว่าทรงเเสดงสัญญาณนั้นด้วยเหตุอันใด

    …..การที่คบคิดมา…จักสำเร็จหรือไม่…ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้..

    บุตรีเเห่งอุปราชค่อยๆยันกายลุกขึ้น..ขยับอาภรณ์สีชาดจัดให้เรียบร้อย

    “จะไปที่ใด…”

    จันทรคุปต์ราชโอรสตรัสถาม ด้วยเกรงจักตามไปกวนหทัยพระเชษฐา

      ธิดาองค์สุเมธะชะงักเท้าเรียว หันวงพักตร์ยังมาณวกะ
    ขัตติยะราช ก่อนที่จักทูลตอบชัดเจน

    “วางพระทัย…ข้ามิได้ตามไปกวนเสด็จพี่ของพระองค์เเน่”

    โอษฐ์เรียวสวยเเย้มเยียบเย็น…ก่อนที่จะสาวเท้าออกไปยังนอกท้องพระโรง
    ๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓

    จากคุณ : อชันฏา - [ 11 ส.ค. 46 23:21:18 ]