ผู้ชายคนนั้น......ที่ฉันรัก



    รายชื่อผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตประจำปีการศึกษา ๒๕๔๓
    ...
    ...
    ...
    ๑๒) นางสาว ประดับใจ คงสงบเสถียร
    ...
    ...
    ...

    ฉันละสายตาจากบอร์ดตรงหน้า ยิ้มให้ตัวเอง
    หลังจากร่วมแสดงความดีใจให้กับรุ่นพี่ที่จบไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า มันก็ถึงวันของฉันเสียที

    ฉันมองไปรอบระเบียงตึกอันว่างเปล่า โต๊ะไม้เก่าๆ สี่ตัวตั้งอยู่ตรงสุดทางเดินเหนือขั้นบันไดทอดสู่ลานกว้าง

    เมื่อเช้านี้ทั้งคณะคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนเหมือนทุกครั้ง ฉันนึกภาพขบวนนิสิตต่อแถวรอรับผลการศึกษาเป็นหางว่าวยาวจากโต๊ะเหล่านั้นข้ามลานไปจนเกือบถึงโรงอาหาร

    แต่ฉันเลือกที่จะมาถึงเวลานี้ เวลาที่ทุกๆ คนแยกย้ายกลับบ้านหรือไปเฉลิมฉลองต่อกันหมด เวลาที่สถานที่ต่างๆ ในคณะร้างจากผู้คน เวลาที่ฉันจะได้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว

    ฉันกำลังจะเดินทางย้อนเวลาเพื่อเก็บภาพความทรงจำในฐานะนิสิตเป็นครั้งสุดท้าย

    ฉันไม่ลืมที่จะเข้าไปรับใบคะแนนในห้องธุรการก่อนอื่น ขณะหมุนตัวกลับออกมานั้น ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง คนละฟากของประตูจากจุดที่ฉันเคยยืนเมื่อครู่ ประตูอันเป็นเส้นแบ่งแดนระหว่างนรกกับสวรรค์ เส้นคั่นระหว่างประกาศรายชื่อผู้จบการศึกษากับรายชื่อผู้ถูกจำหน่ายชื่อออกจากมหาวิทยาลัย

    ผมรองทรงสั้นกับใบหน้าอ่อนวัยรูปไข่หล่อเหลาไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันต้องหยุดมอง หากแต่เป็นแววเจ็บช้ำในดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ตรึงฉันไว้ เขากำลังแหงนเงยจับจ้องกระดาษใบหนึ่งบนบอร์ด

    วินาทีที่หยาดน้ำใสๆ ล้นจากตาข้างขวาและไหลเป็นทางลงมาตามร่องแก้ม ความรู้สึกอิ่มเอมทั้งมวลของฉันเหมือนจะระเหยหายไปในแดดยามบ่ายของเดือนเมษา ทิ้งไว้แต่รอยรวดร้าวราวเจ้าของดวงตาสามารถถ่ายทอดมันผ่านอากาศที่กั้นระหว่างเรามาสู่ฉันได้

    เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวปราศจากเนกไทบอกว่าเขาไม่ใช่นิสิตปีหนึ่ง เขาเป็นใคร ทำไมฉันจึงไม่เคยเห็นมาก่อน

    ฉันตัดสินใจก้าวเข้าไปหา ยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะพูดอะไร แต่ความอาทรในใจสั่งให้ฉันไม่นิ่งดูดาย

    "พี่ครับ"
    ฉันหันขวับตามเสียงเรียก

    "ช่วยเก็บบอลให้หน่อยครับ"
    ฉันมองไปรอบๆ อย่างงงๆ ลูกบอลพลาสติกลูกหนึ่งกลิ้งอยู่ไม่ห่างจากปลายเท้า มันมาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันคงตกอยู่ในภวังค์จนไม่ทันได้รับรู้
    ฉันก้มลงเก็บมันโยนคืนให้รุ่นน้องที่รีบวิ่งกลับลงไปสมทบเพื่อนๆ บนลาน
    เมื่อหันกลับไปหานิสิตรีไทร์คนนั้น เขาได้จากไปเสียแล้ว

    * * * * *

    ตลอดบ่ายวันนั้น ฉันย่ำไปยังสถานที่ต่างๆ พร้อมๆ กับนึกย้อนทบทวนความหลัง

    บอร์ดที่ฉันเคยยืนร้องไห้เมื่อพบว่าสอบตกมีนเป็นครั้งแรก

    โต๊ะที่ฉันเคยนั่งเขียนแบบแล้วขี้นกตกลงมาใส่ตอนใกล้จะเสร็จ

    ห้องเรียนที่ฉันชอบหลบเข้าไปงีบตอนพักกลางวัน

    ร้านอาหารที่ฉันกับเพื่อนๆ พึ่งพาเป็นประจำยามต้องทำกิจกรรมดึกดื่น

    ทุกสิ่งล้วนบรรจุด้วยความทรงจำ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งน้ำตา

    เสียงระฆังดังเหง่งหง่างมาจากหอนาฬิกาหลังอาคารเรียนรวม ฉันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ...ยังไม่เย็นเกินไป ขอให้ฉันได้ใช้เวลาอีกสักพัก
    ฉันเดินทอดขาเรื่อยมาหยุดข้างเก้าอี้หินคร่ำคร่าหน้าคณะ และทรุดตัวลงนั่งมองอาทิตย์ที่กำลังอัสดง

    ฉันเลือกเก้าอี้ตัวนี้เป็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางย้อนอดีต เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้รู้จักและหลงรักที่นี่ คณะแห่งนี้

    หลายปีก่อนสมัยที่ฉันยังเรียนมัธยม ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงปิดเทอมพ่อจะพาฉันไปเดินเลือกซื้อหนังสืออ่านเสริมจากร้านขายหนังสือใช้แล้วแถวราชดำเนิน แล้วเราสองพ่อลูกจะมานั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ อ่านหนังสือด้วยกัน

    ใช่แล้ว พ่ออ่านหนังสือกับฉัน พ่อรู้ทุกอย่างที่ฉันรู้ พ่อเรียนไปพร้อมๆกับฉัน พ่อเป็นครูสอนพิเศษคนเดียวที่ฉันเคยมี

    "ไหมจะสอบเข้าที่นี่" ฉันบอกพ่อในเย็นวันหนึ่ง พ่อไม่พูดอะไร แต่ฉันยังจำคำที่พ่อว่าไว้เสมอ

    "เรียนอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ขยันและตั้งใจ"

    4 ปีผ่านไป แต่ภาพทุกภาพยังคมชัดเหมือนเกิดขึ้นเมื่อ 4 วันก่อน
    จากวันนั้นบนเก้าอี้ม้าหินตัวนี้ จนวันนี้ที่ฉันรู้จักเก้าอี้ทุกตัวในคณะ

    ฉันยันตัวลุกขึ้นเมื่อแสงสุดท้ายของตะวันกำลังจะเลือนลา ใจประหวัดไปถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีกจนได้

    แล้วเขาล่ะ เขาได้สร้างสายใยผูกพันกับสถานที่แห่งนี้มากมายเท่าฉันไหม
    แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อวันเหล่านั้นถูกบั่นให้สั้นและจบสิ้นลงก่อนเวลาอันควร
    เขาจะเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อต้องเดินจากไปมือเปล่า ในเมื่อขณะนี้แม้แต่ฉันเองยังอดรู้สึกว่างเปล่าไม่ได้

    * * * * *

    เวลาผ่านไปหลายเดือนจนกระทั่งมาถึงวันรับปริญญา แต่ฉันยังคงคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่เนืองๆ

    ในขณะนั่งอยู่ในหอประชุม ฟังเพลงขับร้องกล่อมอำลาจากวงนักร้องประสานเสียงของมหาวิทยาลัย ฉันน้ำตาไหล และอดนึกไม่ได้ว่า เขาอาจกำลังร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่งเหมือนกับฉัน

    ฉันเดินตามแถวเพื่อนขึ้นไปบนเวที เมื่อรับกระดาษห่อด้วยปกผ้ามาถือไว้ในมือ ฉันแนบสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าเป็นใบเบิกทางไปสู่อนาคตไว้กับอก

    สำหรับฉัน มันคือตัวแทนของมิตรภาพและความพากเพียรบากบั่น คือที่ระลึกแห่งความทรงจำอันมีค่าตลอดสี่ปี สี่ปีที่ดีที่สุดในชีวิต

    ฉันไหลตามกระแสบัณฑิตจบใหม่ออกมาจากหอประชุมเมื่อพิธีสิ้นสุดลง รับบูมครั้งสุดท้าย และร่วมถ่ายรูปพร้อมปริญญากับเพื่อนๆ ก่อนจะร่ำลาเพื่อแยกย้ายกันไปตอนใกล้ค่ำ

    "จบไปหนึ่ง" จู่ๆ วิวัฒน์หัวโจกประจำรุ่นก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความงุนงงของคนอื่นๆ

    "ไม่เคยได้ยินเหรอ วันสำคัญที่สุดในชีวิตคนๆ นึงน่ะมีสองวัน หนึ่งคือพิธีจบการศึกษา สองคือแต่งงาน" เขาขยายต่อ ทำให้เพื่อนถึงบางอ้อกันเป็นแถบๆ

    ถ้าเชื่อเช่นนั้นมันอาจจะจบไปแล้วหนึ่งสำหรับคนอื่นๆ แต่หนึ่งนั้นของฉันเพิ่งจะเริ่มต้น

    พ่อนั่งรออยู่บนเก้าอี้ม้าหินตัวเดิม ตัวที่เราเคยนั่งด้วยกันสมัยฉันยังเป็นเด็ก

    ความดีใจฉายชัดในดวงตาสีขุ่นเมื่อยื่นมือมาลูบปริญญาบัตรที่ฉันส่งให้ แล้วเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเมื่อฉันคุกเข่าลงบนพื้นเบื้องหน้า ฉันบรรจงวางมาลัยมะลิที่ซื้อเตรียมมาตั้งแต่บ่ายลงบนตัก และก้มตัวลงกราบแทบเท้าของคนที่ทำให้ฉันมีเวลาที่ดีและมีวันนี้ของชีวิต พ่อไม่พูดอะไรเลยนอกจากดึงตัวฉันไปกอด ของเหลวอุ่นๆ หยดลงต้องบนบ่าทำให้ฉันเงยขึ้นมองใบหน้ายาวรูปไข่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย และหยาดน้ำใสๆ ที่ไหลลงมาตามร่องแก้มข้างขวา

    ไม่ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นจะอยู่ที่ไหน ฉันแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ร้องไห้อีกต่อไปนับแต่วันนี้




    * * * * *



    เรื่องสั้นที่เขียนไว้นานจนเกือบลืมไปแล้ว
    ไม่สวยงามเท่าไหร่ แต่ไม่ได้แก้ไขเพราะเห็นเป็นงานชิ้นแรก ภาษาซื่อๆ ยังไง ก็อยากให้มันคงอยู่อย่างนั้น

    ถือว่าอ่านฆ่าเวลาละกันนะคะ




    แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 46 08:01:08

    แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 46 07:59:20

    จากคุณ : Laylah - [ 14 ส.ค. 46 07:56:53 ]