กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ล้อมรอบด้วยผืนแผ่นดินกว้างใหญ่
ในฤดูกาลที่มีสายฝนพรำสาย ผืนแผ่นดินจะเต็มไปด้วยต้นข้าวที่กำลังระบัดใบ
จวบจนล่วงเข้าฤดูกาลที่ลมฝนจากไป และลมหนาวพัดเข้ามาแทนนั้น
บรรดาต้นข้าวก็จะพร้อมใจกันออกรวงสีทองสุกปลั่ง
เปลี่ยนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่นั้นให้เป็นดั่งทะเลสีทอง
ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ เลี้ยงชีพด้วยการปลูกข้าวมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย
เป็นความสามารถที่สืบทอดกันมา โดยไม่มีใครสอนใคร
เด็กเล็กๆพอจำความได้ ก็จะตามพ่อแม่ไปทำนา เล่นดินเล่นโคลนในช่วงของการหว่านกล้า
กระโดดเล่นขึ้นๆลงๆบนกองฟางหลังช่วงการเก็บเกี่ยวผ่านไป
ค่อยๆซึมซับวิธีการไถ หว่าน ดำ จนทำได้เองเมื่อโตขึ้น
เรื่องราวคงดำเนินไปอย่างมีความสุขอย่างนี้ ถ้าไม่มีชายจากต่างแดนเดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน
ชายคนนี้เดินทางมาพร้อมกับข้าวของต่างๆที่สวยงาม
พวกชาวบ้านแม้ไม่เคยเห็น ไม่เคยใช้ แต่ก็รู้สึกว่าของพวกนี้สวยจริงๆและอยากได้
หากมีของพวกนี้เก็บเอาไว้ คงทำให้ตนพิเศษและดูดีกว่าคนอื่นแน่ๆ
"ทำอย่างไร เราจะได้ของพวกนี้ล่ะ เอาข้าวสักสามถังแลกพอไหม"
ผู้ใหญ่บ้านซึ่งคิดว่าตัวเองสมควรที่สุดที่จะมีของสวยๆงามๆพวกนี้เก็บไว้ ถามขึ้น
ชายแปลกหน้าจากต่างแดนส่ายหน้าแทนคำตอบ
"งั้นก็ห้าถัง"
"หกถัง"
"สิบถัง"
"ท่านไม่ต้องเอาข้าวของท่านมาแลกหรอก"
ชายต่างแดนตัดบท
"ข้าต้องการเพียงน้ำใจ เอาน้ำใจของท่านมาแลกอะไรก็ได้"
ผู้ใหญ่บ้านฟังคำบอกเล่านั้นด้วยความแปลกใจ ของสวยๆงามๆแลกกับน้ำใจ
จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อน้ำใจไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้เลยสักนิด
"ตกลง"
ผู้ใหญ่บ้านรับคำโดยแทบจะไม่คิด ในเมื่อน้ำใจจับต้องไม่ได้ ชายต่างแดนจะมาเอามันไปจากเขาได้อย่างไร
ชายต่างแดนเพียงยิ้ทม และยื่นหินสีฟ้าสะท้อนแสงเป็นประกายวาววับมาให้
"ก้อนหนึ่งแลกกับน้ำใจส่วนหนึ่งของเจ้า"
พวกชาวบ้านพอได้รู้ข่าว ก็อยากจะมาแลกเอาของสวยๆงามๆบ้าง
แต่ละคนจึงมาต่อแถวเอาน้ำใจแลกของสวยๆงามๆ
พวกชาวบ้านที่าสงสาร เขาคงไม่รู้เหมือนที่เด็กๆรู้หรอกว่า
ชายคนนั้นเป็นปิศาจปลอมตัวมา
(แน่นอน ฟังมาถึงตรงนี้เด็กๆที่ได้ฟังนิทานเยอะๆต้องรู้แล้วว่า
ชายแปลกหน้าคนนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่ ไม่อย่างนั้นจะมาเอาน้ำใจของชาวบ้านไปทำไมกัน..ใช่ไหมคะ)
นั่นล่ะ ในเมื่อพวกชาวบ้านไม่รู้อย่างที่เด็กๆรู้ เขาจึงยอมเอาน้ำใจแลกกับทุกสิ่งทุกอย่าง
เห็นคนอื่นมีอะไร ก็นึกอยากมีบ้าง กลายเป็นการแข่งขัน และอิจฉาริษยา
จากที่เคยช่วยกันและกัน ตอนลงแรงทำนา ก็กลายเป็นต่างคนต่างทำ ไม่มีใครสนใจใคร
แล้วในที่สุดเรื่องเลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ ..
ทายสิคะว่ามันเกิดอะไร
(ให้เวลาเด็กๆทาย)
จริงๆแล้ว หลังจากวันนั้นมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย
ทุกคำตอบของเด็กๆเป็นเรื่องเลวร้ายที่เกิดจากความไร้น้ำใจทั้งนั้น
แต่เรื่องที่สำคัญและพี่อยากจะเล่าที่สุดก็คือ ..
ฝนไม่ตกค่ะ
หลังจากที่น้ำใจค่อยๆหายไปจากหมู่บ้าน
ฝนก็ค่อยๆทิ้งช่วงไปทีละนานๆ จนกระทั่งไม่ตกเลยในที่สุด
เพราะเทพธิดาก้อนเมฆจะตื่นขึ้นมาทำฝนก็ต่อเมื่อไอเย็นจากน้ำใจคนระเหยขึ้นไปปลุก
เมื่อไม่มีน้ำใจ จึงไม่มีฝน เมื่อไม่มีฝนชาวบ้านก็พากันเดือดร้อนมาก
เพราะพวกเขารับประทานข้าวเป็นอาหาร และใช้ข้าวแลกของจำเป็นบางอย่างในชีวิต
"ถ้าของพวกนี้กินแทนข้าวได้ก็ดีน่ะสิ"
ชาวบ้านได้แต่คิดอย่างนี้ ตอนที่มองไปรอบบ้านแล้วเห็นแต่ของสวยๆงามๆที่เอาน้ำใจไปแลกไว้
ของที่พวกเขาเคยคิดว่ามันมีค่า พอถึงเวลากลับไม่มีความหมาย
ตอนนี้ที่พวกเขาต้องการคือน้ำใจ
จะทำยังไงให้น้ำใจกลับมาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ดี ?
มีวิธีการมากมายในการแสดงน้ำใจ
แบ่งขนมให้เพื่อนๆ ช่วยคุณแม่รดน้ำต้นไม้ ช่วยจูงมือคุณตาคุณยาย
อะไรก้ได้ที่แสดงออกถึงการแบ่งปัน เกื่อกูลกัน ..อย่างจริงใจ
พี่คิดว่าถ้าเด็กๆอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นก็คงจะช่วยพวกชาวบ้านได้
แต่ชาวบ้านก็ยังโชคดี เพราะมีเด็กหญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านที่ไม่ยอมเอาน้ำใจไปแลกอะไร
เธอมีชื่อว่าเด็กหญิงน้ำใจ เป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้ เพราะอยากให้เธอมีน้ำใจต่อผู้อื่น
ดังนั้นเด็กหญิงน้ำใจจึงยังคอยช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนเท่าที่เธอจะทำได้
หากสามารถแบ่งปัน เธอก็แบ่งปันให้ หากมีใครสักคนท้อถอยเธอก็คอยให้กำลังใจ
น้ำใจของเด็กหญิงที่รินจากใจสู่ใจ ทำให้หัวใจที่แห้งแล้งของชาวบ้านค่อยๆชุ่มฉ่ำขึ้นมา
และพวกเขาสำนึกแล้วว่า สิ่งมีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์คืออะไร
มันคือน้ำใจ
ทันทีที่สำนึกได้ ฝนก็ตกลงมาราวกับปาฏิหาริย์
พวกชาวบ้านหัวเราะเบิกบาน แล้วร่วมแรงร่วมใจกันดำนา หว่าน ไถ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่เคยแล้งน้ำใจ
ทุกๆปีในฤดูฝนจะมีทุ่งข้าวเขียวระบัดใบ และสายฝนเย็นชื่นฉ่ำที่นำมาซึ่งความสดชื่นแจ่มใส
เหมือนน้ำใจที่ชาวบ้านทุกคนมีต่อกัน :D
จากคุณ :
เจ้าหญิงน้อย
- [
15 ส.ค. 46 18:48:43
A:202.57.180.82 X:
]