มันเป็นบ่ายวันศุกร์ที่เปียกฝน ดวงอาทิตย์ยังคงซ่อนตัวอยู่หลังเมฆที่ดูซึมเศร้าจนต้องร้องไห้ออกมา หมู่เมฆคงอาลัยราตรีที่ฟ้าของมันแต่งแต้มแซมดาว เพื่อราตรีจะกลับมาอีกครั้ง เมฆทั้งหลายจึงต้องร่วมด้วยช่วยกันบดบังแสงอาทิตย์จากตะวันดวงนั้น ราวกับจะดับมันด้วยหยาดน้ำตาของตัวเอง ตะวันเองก็อ่อนแรงลงไปมาก แต่ยังพยายามสาดแสงของมันลงทาบทาผืนโลก แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็พอจะเปิดเผยสิ่งต่างๆ แก่สายตา
น้ำตาของพวกมันช่างเย็นเยียบ ดุจไหลออกมาจากใจอันหนาวเหน็บที่เจ็บปวดไปด้วยความคะนึงหาฟากฟ้าราตรีที่จากไป
ผมเพียงต้องการออกไปเอารูปจากรุ่นน้องคนหนึ่งแถวๆ เกษตรฯ และผมต้องไปต่อรถอีกสายหนึ่งที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผมออกจากบ้านเมื่อฟ้าหยุดหลั่งน้ำตา เหลือเพียงอาการสะอึกสะอื้นอันหงอยเหงา
ป้ายรถเมล์ใกล้ๆ บ้านผมป้ายนั้น ... ผมยืนรอรถเมล์อยู่ที่นั่น ท่ามกลางบรรยากาศเศร้าๆ เย็นๆ ชื้นๆ จากกระไอฝนบนพื้นซีเมนต์ในป่าคอนกรีตแห่งนี้
ถนนเบื้องหน้าเป็นถนนวันเวย์ขนาดสองเลน มันเป็นภาพคุ้นตาเพราะผมต้องมารอรถเมล์ที่นี่เป็นประจำ ฝั่งที่ผมยืนอยู่นี้เป็นป้ายรถเมล์สีเทาเข้ายุคสหัสวรรษ แต่มันกลับเป็นสิ่งแปลกปลอมเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งปลูกสร้างรายรอบ เบื้องหลังของผมเป็นร้านสะดวกซื้อที่เปิดสาขาอยู่ทั่วประเทศ มีเลขเจ็ดอารบิกเป็นสัญลักษณ์ของร้าน ผมแวะซื้อลูกอมที่ร้านนี้ เป็นความเคยชินตั้งแต่ผมรู้จักกับเธอคนนั้นเมื่อแปดปีก่อน เธอมักจะมีลูกอมติดกระเป๋าอยู่เสมอ และเราก็ไปไหนต่อไหนด้วยกันเสมอเช่นกัน ทุกครั้งที่ผมเห็นลูกอม ผมมักจะคิดถึงเธอกับเรื่องราวมากมายของเรา รวมทั้งคำพูดนั้นที่เธอพูดกับผมในวันสุดท้าย
มองฝ่าความเหงาของบรรยากาศรอบข้างบนถนนสีเทาคุ้นตา สายตาพลันเห็นสิ่งคุ้นตาอีกสิ่งหนึ่ง มันมีสีน้ำเงินเข้ม เหนือกระจกหน้าของมันปรากฏตัวเลข "509" สีขาวบนพื้นสีน้ำเงิน
"509 วัดม่วง - หมอชิตใหม่" เป็นชื่อของสายรถเมล์สายนี้ ก่อนนั้น วันที่ยังมีเธออยู่ข้างๆ รถสายนี้รู้จักกันในนาม "ปอ.9 บางแค - นนทบุรี" แน่นอน มันเคยแล่นผ่านเกษตรฯ เหมือนกับเธอที่เคยอยู่ในเส้นทางชีวิตของผม ผมกับเธอเคยนั่ง "ปอ.9" เคียงข้างกัน แต่วันนี้ ผมต้องนั่งรถเมล์ที่คุ้นเคยอย่างเดียวดาย มันเป็น "ความเดียวดาย" ที่ผมพยายามจะ "คุ้นเคย" แต่แม้ขวบปีจะผ่านเลย ผมก็ไม่เคยทำสำเร็จ
เบาะสีน้ำเงินเข้มเหมือนตัวรถนั้น ดูเหมือนจะปกปิดร่องรอยการใช้งานมานานได้เป็นอย่างดี ถ้าเพียงแต่มันจะโขยกเขยกน้อยกว่าที่เป็นอยู่ และลดเสียง "เอี๊ยดๆ อ๊าดๆ" ที่ดังอยู่ตลอดเวลานั้นลงได้
เบาะที่ผมนั่งเป็นเบาะริมหน้าต่าง ผมมองออกไปไกลๆ ด้านนอกผ่านเม็ดฝนเม็ดเล็กๆ มากมายที่เกาะอยู่บนกระจกนั้น ผมเห็นเมฆในบรรยากาศเศร้าๆ บดบังท้องฟ้า มันเป็นฟ้าเดียวกับที่ผมและเธอเคยอยู่เคียงข้างกัน เมฆนั้นมัวแต่คิดถึงราตรีที่ผ่านผัน คงไม่มารับรู้ว่าผมก็กำลังคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่เช่นกัน
ผมละสายตาจากฟ้าเปียกฝนลงมายังเบาะข้างๆ ที่ยังว่างอยู่ ทันใดนั้น ใครบางคนก็เดินมาจากประตูรถ และนั่งลงบนเบาะข้างๆ ผมนั้นเอง กระเป๋าผ้าวางลงบนกระโปรงสีดำยาวแค่เข่าของเธอ มันเป็นกระโปรงนักศึกษาที่ร่นขึ้นมาเหนือเข่าเล็กน้อยเมื่อเธอนั่ง ขาเนียนๆ ของเธอโผล่พ้นชายกระโปรงออกมา ผมเห็นขาอีกคู่หนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เธอ
"อนุสาวรีย์ฯ"
เธอบอกเจ้าของขาคู่นั้น รับตั๋วรถเมล์ใบจิ๋วจากเขา เก็บใส่ไว้ในแฟ้มใสที่หยิบออกมาจากกระเป๋าผ้า นิ้วเรียวยาวของเธอบรรจงสอดมันเข้าไปถึงสันแฟ้ม และก่อนที่เธอจะดึงมือกลับออกมา เธอก็คว้ากระดาษแผ่นหนึ่งติดมาด้วย มันเป็นบันทึกย่อวิชาการโฆษณา ที่มุมของกระดาษแผ่นนั้นมีรอยปากกาหมึกสีชมพูเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า ...
"PEACH"
พีช ... นั่นคงเป็นชื่อของเธอ และเธอก็คงกำลังจะไปสอบที่มหาวิทยาลัย
ผมแกะลูกอมเม็ดหนึ่งใส่ไว้ในปาก หันออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เธออ่านบันทึกย่อของเธอไป ผมเริ่มคิดถึงใครคนนั้นอีกครั้ง ... ครั้งนั้น ผมก็เหมือนกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างผมคนนี้ หัวหมุนวุ่นวายอยู่กับการเรียนการสอบ และใครคนนั้นของผมก็มักจะไปรอผมที่ตึกสอบเสมอ คอยซื้อน้ำ ซื้อขนมมารอ และเราก็กลับบ้านด้วยกัน
วันนั้น แม้จะเป็นช่วงบ่ายคล้อย แต่ดูเหมือนท้องฟ้าจะมืดก่อนตะวันจะตกดิน เพราะวันนั้นก็มีฝนตกอย่างวันนี้ ท่ามกลางการจราจรมหาโหดของเมืองกรุงในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ทุกคนต่างเลิกงาน เลิกเรียน และพร้อมใจกันออกมาเดินทางเพียงชั่วโมงละไม่กี่คืบศอก ฝนจากฟ้าแทบทำให้การจราจรเป็นอัมพาต เธอมารอรับผม และนั่ง ปอ.9 ออกมาจากเกษตรฯ ด้วยกัน ผมสอบเสร็จแล้ว แต่เธอนั้นยัง เธอหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านข้างๆ ผม เหมือนกับที่ "พีช" กำลังทำอยู่นี้
ภาพนั้นกลับมาอยู่ตรงหน้า เพียงต่างเวลา ต่างสถานที่ ผมหันไปมองเธออีกครั้ง
"พลั่ก"
แฟ้มของเธอตกไปอยู่กลางรถตรงทางเดิน ผู้โดยสารที่นั่งอยู่เบาะตรงข้ามก้มลงหยิบให้เธอ และนั่นเองที่ทำให้ผมได้สังเกตเธอมากขึ้น เธอสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินเข้มเข้าคู่กับสีของ 509 ด้านหลังเสื้อเขียนว่า "Boardcast" ตามด้วยชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมมองผ่านช่องว่างระหว่างซิปเข้าไป เห็นกระดุมสีเข้มตัดกับเสื้อนักศึกษาสีขาวของเธอ บนกระดุมนั้นมีตราประจำมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับที่เขียนไว้หลังเสื้อแขนยาว เธอหยิบแฟ้มของเธอคืนจากผู้โดยสารใจดีคนนั้น พร้อมกล่าวคำขอบคุณ และกลับมานั่งอ่านบันทึกย่อของเธอต่อไป
ผมก้มลงมองกระเป๋าของผมที่วางอยู่บนตัก ข้างๆ กระเป๋าผ้าของเธอ กระหวัดนึกถึงสาวบน ปอ.9 คันนั้น ...
เมื่อเธออ่านหนังสือไปได้สักพักหนึ่ง เธอก็ปิดหนังสือ เก็บมันลงในกระเป๋า มือของเธออุ่นอยู่ในมือของผม การจราจรแบบนี้ บวกกับความเย็นจากสายฝน (ที่ทำให้แอร์ในรถได้ทำความรู้จักกับความเย็นกับเขาบ้าง) คงทำให้เธอง่วง เธอหลับตา เอนกายมาทางผม ใบหน้าของเธอซุกอยู่บนไหล่ของผม สัมผัสนั้นเนิ่นนาน ... แนบชิด
ในภวังค์ความคิดนั้น ผมรู้สึกถึงสัมผัสและน้ำหนักกดทับจริงๆ ราวกับมันกำลังเกิดขึ้นต่อหน้า ช่างเป็นความทรงจำที่แจ่มชัดนัก
ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถมาถึงถนนราชดำเนิน และนั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้คิดไปเอง สัมผัสและน้ำหนักนั้นมาจากเธอ ... พีช ... สาวสีน้ำเงินคนนั้น เธอกำลังหลับอยู่บนไหล่ผม ผมรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงทำแฟ้มหล่น มือของเธอที่เคยถือแฟ้ม บัดนี้กลับวางแบอยู่ข้างกายผม กลิ่นผมของเธอลอยกระทบจมูก มันเป็นกลิ่นที่ผมคุ้นเคยตลอดระยะเวลาแปดปีที่ผ่านมา ... กลิ่นแห่งความใกล้ชิด
เธอยกหัวขึ้น ผมเสมองไปหลังเบาะที่อยู่ด้านหน้า หางตาเห็นใบหน้านั้นหันมาทางผม มือของเธอยังวางอยู่ที่เดิม ผมค่อยๆ หันไปมองใบหน้านั้น สิ่งแรกที่ผมเห็นคือเปลือกตาที่ยังคงปิดสนิท ขนตาไม่สั้นไม่ยาวลู่ลงไปทางจมูกขนาดพอเหมาะของเธอ ข้างๆ จมูกนั้น ผมเห็นพวงแก้มขาวใสที่มีสีชมพูเรื่อๆ ด้วยเลือดในกาย ไม่ใช่ด้วยเครื่องสำอางแต่อย่างใด เป็นสีเดียวกับริมฝีปากของเธอ สีนั้นอาจจะเป็นที่มาของชื่อ "พีช" ก็เป็นได้
ผมหวนนึกไปถึงอีกวันหนึ่งในระยะเวลาเกือบเจ็ดปีที่เราเคียงข้างกัน มันเป็นวันรับพระราชทานปริญญา บัณฑิตมากมายต่างแต่งหน้าทำผมเตรียมเข้าพิธี แต่ในชุดครุยสีดำแถบส้มของเธอ ใบหน้านั้นไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ มาแต่งเสริมเติมใส่ มีเพียงกิ๊บตัวน้อยที่หนีบผมของเธอไว้ เพื่อมันจะได้ไม่บังใบหน้าหวานๆ นั้นเมื่อเธอรับพระราชทานปริญญาจากพระหัตถ์ในหอประชุม เธอไม่เคยดูถูกความงามของเธอ ด้วยการนำเอาความงามภายนอกมาเสริมใส่
"พลั่ก"
เสียงนั้นฉุดผมออกจากภวังค์ เธอทำแฟ้มหล่นอีกแล้ว ผมเห็นดวงตาคู่นั้นของเธอแวบหนึ่ง เป็นดวงตาที่ก่อให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหว คงเป็นเพราะใบหน้านั้นที่เคยอยู่บนไหล่ผม ผมรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นดูเศร้า เหมือนดวงตาของใครคนนั้นในวันจากลา ...
คืนนั้น ที่ป้ายรถเมล์แถวบ้านเธอ ไกลออกไปจากบ้านผม คำพูดนั้นของเธอยังคงฝังแน่นอยู่ในโสตประสาท สะท้านไปถึงหัวใจ และยังสั่นคลอนความรู้สึกอยู่จนทุกวันนี้ ผมมองเธอด้วยสายตาเศร้าซึ้ง (เธอมักจะบอกว่าตาของผมเป็นแบบนั้น) และคืนนั้น มันคงต้องเศร้ากว่าเดิมมากนัก ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี ผมเห็นดวงตาคู่นั้นของเธอสะท้อนไฟถนนเป็นประกายมากกว่าครั้งไหนๆ เหมือนมีหยดน้ำเอ่อล้นคลอเบ้า มือของเธอที่เคยอุ่นกับเย็นเฉียบ ดุจเดียวกับสภาพอากาศภายนอก ที่สายลมอ้อยอิ่งนั้นพัดพาเอาความหนาวเหน็บติดมาด้วย
รายรอบ ผมเห็นคู่รักหลายคู่เดินเคียงข้างกัน ใบหน้าของพวกเขาปรากฏรอยยิ้ม ในมือมีกุหลาบน้อยใหญ่หลากสีหลากสัน สุดแต่ใครจะชอบและมอบให้แก่กัน ในมือของผมก็มีกุหลาบแดงเช่นกัน จะต่างกันก็เพียงใบหน้าของเราไม่มีรอยยิ้ม กลับเป็นคราบน้ำตาที่ไหลเอ่อ ... คืนนั้น เป็นคืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ใครๆ รู้จักกันดีว่าเป็น "วันวาเลนไทน์" คำพูดนั้นของเธอเอื้อนเอ่ยขึ้นในวันนั้น
แก้มสีชมพูระเรื่อของผู้หญิงที่กำลังก้มเก็บแฟ้มทำให้ผมคิดถึงกุหลาบดอก และคำพูดนั้นในวันร่ำลา ผมอยากบอกพีชด้วยคำพูดเดียวกันนี้ แต่จุดประสงค์นั้นต่างกัน ครั้งหนึ่ง มันเป็นคำพูดตัดรอน อันเป็นเหตุให้ต้องลาจาก แต่วันนี้ มันกลับมีความหมายเพื่อก่อร่างสร้างสิ่งใหม่
เธอหยิบแฟ้มของเธอขึ้นมาวางไว้บนกระเป๋าผ้า หันออกไปมองนอกรถอีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับด้านที่เรานั่งอยู่ ผมมองตามเธอออกไป เรามาถึงโรงพยาบาลรามาธิบดีแล้ว อีกไม่นานเราก็จะถึงจุดหมายของเราทั้งคู่ ผมมีเวลาไม่มากนักที่จะเอ่ยคำพูดนั้นออกมา แต่มันดูจะยากเสียเหลือเกิน ก็ในเมื่อผมยังเจ็บปวดกับคำพูดนั้นอยู่ และการที่จะเอ่ยคำที่ทำให้เราเจ็บปวดนั้น ก็คงไม่ต่างอะไรกับการงัดเอาตะปูที่มีคนตอกฝังไว้ในเนื้อของเราออกมา มันคงเจ็บไม่แพ้กับตอนที่ถูกตอกลงไป
ผมได้ยินเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง เสียงของมันบอกถึงความเจ็บปวด ดูเหมือนว่าเมฆจะยังไม่หายคิดถึงท้องฟ้ายามราตรี จึงเริ่มหลั่งน้ำตาเป็นหยาดฝนโปรยปรายอีกครั้ง โอ้เจ้าเมฆที่น่าสงสาร เจ้ายังจ่อมจมอยู่ในวังวนแห่งอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ เจ้าช่างเหมือนผู้ชายคนนี้เสียเหลือเกิน ผู้ชายที่เคยหลั่งน้ำตาให้กับผู้หญิงคนหนึ่งแม้ในขณะนอนหลับ เขาเป็นคนเดียวกับผู้ชายคนที่ตื่นขึ้นจากฝันร้ายกลางดึก และพบว่าตัวเองกำลังร้องไห้ คิดทบทวนอีกครั้ง จึงรู้ว่าในฝัน เขากำลังวิ่งตามเธอไป แต่เธอกลับห่างจากเขาไปเรื่อยๆ แว่วยินคำพูดนั้นซ้ำไปซ้ำมา
ผมอยากขอบคุณเมฆที่ทำให้ผมได้รู้ว่า การที่ยังวนเวียนอยู่กับความรู้สึกเก่าๆ นั้น มันไม่ได้สร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้น เหมือนกับที่เมฆยังอาลัยราตรี จนต้องหลั่งน้ำตาออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ... 509 คันนี้ก็ออกรับผู้โดยสารเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า สภาพรถที่ดูเก่าของมันเป็นพยานได้ว่า การที่ยังจมอยู่กับสิ่งเก่าๆ นั้น สุดท้ายแล้วจะมีสภาพเช่นไร
ผมรวบรวมความกล้า ... กล้าที่จะพูดคำนั้นกับเธอ ... นั่นจะเป็นบทพิสูจน์ว่าผมจะไม่จมอยู่กับอดีตอีกต่อไป และเพื่อสิ่งใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราทั้งสอง ... มิตรภาพอันงอกเงย ... ผมหันกลับมาจากหมู่เมฆที่อยู่ไกลออกไปบนนั้น ค่อยๆ ไล่สายตาไปตามเรียวนิ้วของเธอที่กำลังเปิดแฟ้ม และสอดกระดาษแผ่นนั้นเข้าไป ผมสังเกตเห็นตัวอักษรสีชมพูที่เขียนชื่อเธออีกครั้ง ลายมือนั้นดูน่ารักเหมือนเจ้าของชื่อ
แต่แล้ว ใบหน้านั้นก็ซุกลงตรงที่เก่า ... ไหล่ของผม ... ทั้งที่เธอยังไม่ทันจะสอดบันทึกย่อเข้าไปในแฟ้มได้ทั้งแผ่น ความล้าจากการเตรียมสอบคงทำให้เธอไม่สนใจสิ่งใด เหมือนกับที่เมฆก็ดูเหมือนจะไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของใครอื่น นอกจากความรู้สึกหน่วงหนักของตัวเอง ผมจึงไม่ได้พูดคำนั้นกับเธอ ปล่อยให้เธอได้พักผ่อนเพื่อจะไปสอบด้วยความสดใส ผมไม่อยากทำตัวเป็นอุปสรรคของเธอ
รถจอดที่ป้ายปลายทางของเรา เธอตื่นขึ้นเมื่อเสียงพนักงานเก็บค่าโดยสารร้องเตือนก่อนถึงป้ายว่าจะถึงอนุสาวรีย์แล้ว ผมลุกตามเธอเดินลงจากรถ ยืนมองเธอหายไปในฝูงชนเบื้องหน้าด้วยสายตาอันหงอยเหงาเช่นเดียวกับบรรยากาศที่ฝนเริ่มขาดเม็ด ผมจำต้องเก็บคำพูดนั้นไว้เพียงลำพัง ... คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของใครคนหนึ่งในคืนนั้น และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีใครได้ยินคำพูดเดียวกันนี้จากปากผมอีกเลย จนกระทั่งบ่ายวันนี้ ผมยืนมองขึ้นไปไกลๆ บนนั้น หวังเพียงหมู่เมฆจะได้ยิน ...
"เราเป็นเพื่อนกันมั้ย"
จากคุณ :
etaBO/etabo@yahoo.com
- [
25 ส.ค. 46 16:54:22
A:158.108.2.2 X:158.108.12.219
]